Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี : KSS Daily Strategy

266

 

 


"Earthquake Benefit Play"

 

KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "Down" ต้าน 1180/1185จุด รับ 1155/1130จุด ประเด็นสำคัญวันนี้ 1.) ความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯเสี่ยงต่อภาวะ Stagflation / ถดถอย เพิ่มขึ้น หลังเงินเฟ้อ Core PCE ก.พ. 25 +0.4%m-m สูงกว่าคาด ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค มี.ค. 24 (U of Michigan) ต่ำสุดตั้งแต่ ก.ค. 22 2.) ภายในผลกระทบกรณีแผ่นดินไหว 8.2 ริกเตอร์ในเมียนมาร์ นำมาสู่การถล่มลงอาคาร สตง. ที่กำลังสร้างและความเสียหายอาคารสูงใน กทม. คาดเป็นลบหลักๆเฉพาะภาคอสังหา (2.5% ของ GDP) ลบต่อหุ้นอสังหาและประกันที่ต้องรับความเสียหาย กลุ่มที่มีรายได้ในเมียนมาร์ และท่องเที่ยว ส่วนกลุ่มอื่นด้วยผลกระทบจำกัด โดยกลุ่มจำหน่ายสินค้า+บริการจำเป็นกลุ่มจำหน่ายสินค้าซ่อมแซ่มจะได้ประโยชน์ ขณะที่ผลกระทบ SET จากกรณีดังกล่าวเราประเมินจะผันผวนช่วงสั้นก่อนฟื้นตัว ขณะที่ในมุมลบ 2 ประเด็นดังกล่าว เราประเมินอาจนำมาสู่ 3.) ผลกระทบภาษีเท่าเทียมสหรัฐฯ ที่จะมีความชัดเจน 2. เม.ย. มีโอกาสเห็นภาพผ่อนคลายกว่าตลาดกังวล เริ่มหนุน SET ฟื้นตั้งแต่กลางสัปดาห์ กลยุทธ์ระยะสั้นตั้งรับหุ้น Deep Value ในกลุ่มที่จำหน่ายสินค้า+บริการจำเป็น อาทิ CPALL, HMPRO, BDMS, BH, GPSC, SCGP หุ้นได้ประโยชน์จากการฟื้นฟู+ซ่อมแซ่ม อาทิ SCC ผสาน หุ้นสื่อสาร วันนี้แนะนำ ADVANC, SCC, HMPRO

 

 

 

Daily outlook: "Down" ต้าน 1180/1185 จุด รับ 1155/1130 จุด

What happened around the world?

(-)US Stocks :ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงแรงรับตัวเลขเงินเฟ้อ PCE สูงกว่าคาด และคาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐช่วง 12 เดือนข้างหน้าพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปีครึ่ง หนุนมุมมองโอกาสดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายไม่เร่งเร็วที่คาด ผสาน ตลาดรอ Reciprocal tariff อิง Dow jones --1.69%d-d, ดัชนี Nasdaq -2.7%d-d, S&P500 –1.97% โดยดัชนี S&P 500 Sector ที่ปรับขึ้น มีเพียง Utilities ส่วนกลุ่มที่ปรับลงหลักๆคือ ICT, Consumer discretionary, IT, Industrials ฯลฯ หุ้นรายตัวที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อาทิ Amazon -4.3% Microsoft -3% Apple -2.7%, กลุ่มยานยนต์ปรับลงต่อจากภาษีนำเข้ารถยนต์สหรัฐ General Motors- 1.1% และ Ford -1.8% หุ้นบริษัทเหมืองแร่ได้รับแรงหนุนจากราคาทองคำที่สูงขึ้น Harmony Gold +9.5% และหุ้น Gold Fields +4.5% ฯลฯ

(*) US Econ : ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาชะลอย้ำมุมมอง Stagflation และทำให้ Fed ตัดสินใจยากในการปพิจารณาดอกเบี้ยฯ คือ 1.) เงินเฟ้อ PCE เดือน ก.พ. +0.3%m-m ,+2.5%y-y ตามที่คาดและทรงตัวจากเดือนก่อน แต่ Core PCE ปรับขึ้นมากที่สุดในรอบ 13 เดือน และสูงกว่าคาดอยู่ที่ +0.4%m-m ,+2.8%y-y prev. 2.7%y-y 2). ม. มิชิแกน เดือน มี.ค ชี้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนมี.ค. ปรับลงสู่ระดับ 57.0 จุดระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค.2022 และต่ำกว่าตลาดคาดที่ 57.9 จุด prev. 64.7 และคาดการณ์เงินเฟ้อในช่วง 1 ปีข้างหน้า เร่งขึ้นมาที่ 5.0%y-y และสูงกว่า ที่ 4.3% และคาดการณ์เงินเฟ้อในช่วง 5 ปีข้างหน้า จะเพิ่มขึ้น 4.1% สูงกว่าคาดที่ 3.5% โดยรวมเป็นผลจากความกังวลเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ KSS มองย้ำมุมมองภาพ Stagflation 3.) Fed Atlanta เผยคาด GDPNow สหรัฐ งวด 1Q25 -2.8%q-q มากกว่าตลาดคาด -1.8%

(*) China Monitor : วันนี้ติดตามจีนรายงายตัวเลข PMI ภาคผลิต มี.ค. ตลาดคาดตัวเลขจะเร่งขึ้น 50.4 จุด prev. 50.2 และรายงานตัว PMI ภาคบริการ มี.ค. 24 ตลาดคาด 50.6 จุด vs prev. 50.2 จุด KSS ประเมินภาพตัวเลขที่ยังสูงกว่า 50.0 จุด บ่งชี้ภาคผิลตและภาคบริการขยายตัว มองบวกต่อหุ้นในกลุ่ม China play เน้น SCGP SCC IVL PTTGC

(*) To Monitors : ฝั่งสหรัฐ 1 เม.ย PMI ผลิต (ISM) มี.ค. ตลาดคาด 49.8 จุด prev. 50.3 3 เม.ย. PMI ภาคบริการ (ISM) มี.ค. ตลาดคาด 53.2 จุด prev. 53.5 จุด 4 เม.ย. ยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร มี.ค. คาด 1.35 แสนราย prev. 1.51 แสนราย อัตราการว่างงานมี.ค. ทรงตัวที่ 4.1% ค่าจ้างรายชั่วโมง คาด 0.3%m-m, 3.9%y-y ฝั่งจีน 1 เม.ย. Caixin PMI ภาคผลิต คาดทรงตัว 50.8 จุด, 3 เม.ย. Caixin PMI ภาคบริการคาด 51.5 จุด prev. 51.4 2 เม.ย. การประกาศใช้ภาษีเท่าเทียมของคุณ Trump คาดอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยง (ไทยเก็บภาษีสูงกว่าสหรัฐฯเก็บไทย) อาทิ ยานยนต์+ชิ้นส่วนยานยนต์ ,สินค้าเกษตร, ชิ้นส่วนฯ ซึ่งระยะสั้นกรณีดังกล่าวอาจสร้างแรงกดดันก่อนที่จะมีความชัดเจนเพิ่มขึ้น

(*) US Bond Yields & Dollar : US Bond Yields อายุ 2 ปี ปรับลงหลุดแนวรับโซน 4% ลงมา -3 bps อยู่ที่ 3.99% เช่นเดียวกับอายุ 10 ปี -1 bps 4.35% หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ส่วน Dollar Index แกว่งตัวอ่อนค่าลงมาที่ 103.9 จุด

(*/-)Oil : ราคาน้ำมันดิบปรับลง อิง น้ำมันดิบ Brent -0.54%d-d ปิดที่ USD 73.63/barrelน้ำมันดิบ West Texas -0.8%d-d ปิดที่ USD 69.36/barrel มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTTEP, PTT

 

What happened in Thailand?

(*/-) SET: SET Index เปิดทำการเช้าถึงช่วงบ่ายสอง หลัง กทม. เผชิญผลกระทบเหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาร์ ปิด -12.45 จุด ปิดที่ 1175.45 จุด หุ้นกดดันตลาด อยู่ในส่วนกลุ่มชิ้นส่วนฯ (DELTA, CCET) ประเมินลดความเสี่ยงก่อนคุณ Trump จะประกาศใช้ภาษีเท่าเทียมสัปดาห์หน้า 2 เม.ย. กลุ่มพลังงาน (PTT, PTTEP) หลังน้ำมันชะลอปรับขึ้นและตลาดเริ่มกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯมากขึ้น กลุ่มหนุน ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว อาทิ TRUE คาดผลประกอบการ 1Q25F ออกมาดี กลุ่มที่มีศักยภาพดำเนินโครงการหุ้นทุนซื้อคืน (Treasury Stock) อาทิ BJC OR

(*/-) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติเป็นภาพไหลเข้า ขายหุ้น -66.8 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +116ล้านเหรียญฯ Net Short TFEX ที่ -1,848 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าสู่ 33.9+/- บาท

(-) Myanmar Earthquake Impact : วันศุกร์ 13.20น. เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่ขนาด 8.2 ริกเตอร์ที่ประเทศเมียนมาร์ สร้างความเสียหายรุนแรงในเมียนมาร์ และเกิดแรงสั่นสะเทือนมาที่ประเทศไทยแบบไม่คาดคิด ซึ่งเป็นแผ่นดินไหวในเขตเศรษฐกิจ กทม ครั้งที่รุนแรงที่สุด ส่งผลอาคารสำนักงานใหม่ของ สตง. ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างถล่ม และความเสียหายบางส่วนต่ออาคารสูง ในเขต กทม.

 

กรณีศึกษาในอดีต :

 

1.) สีนามิในไทย วันที่ 26 ธ.ค. 2004 SET ปรับตัวลง -1.2% ในวันทำการหลังเกิดเหตุ และฟื้นตัวภายใน 2 วันทำการ สู่ระดับเดิม (น่าจะนำมาประกอบการวิเคราะห์ได้ แม้เหตุการณ์นี้จะรุนแรงกว่าสถานการณ์ปัจจุบัน)

 

+กลุ่มที่ Outperform กว่า SET ใน 1 วัน ทำการหลังเกิดเหตุ คือ วัสดุก่อสร้าง , สื่อสาร, อาหาร, ร.พ. และปิโตรเคมี

 

-ส่วนกลุ่มที่ Underperform ตลาด คือ กลุ่มท่องเที่ยว, กลุ่มเช่าซื้อ, กลุ่มธนาคาร และกลุ่มอสังหาฯ

 

+กลุ่มที่ Outperform กว่า SET ใน 1 สัปดาห์ หลังเกิดเหตุ คือ วัสดุก่อสร้าง , สื่อสาร, แพ็คเกจจิ้ง, บันเทิง และพลังงงาน

 

-ส่วนกลุ่มที่ Underperform ตลาด คือ กลุ่มท่องเที่ยว และ กลุ่มประกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่กระทบโดยตรงจากผลเสียหายของสึนามิในไทย

 

2.) แผ่นดินไหว ในประเทศไต้หวัน เมืองฮัวเหลียน วันที่ 3 เม.ย. 24 ดัชนี TAIEX วันที่ 3 เม.ย. 24 ปรับตัวลดลง -0.63% และใช้เวลา 1 วันในการกลับสู่ระดับเดิม (นำมาประกอบการพิจารณาผลกระทบต่อไทยครั้งนี้ได้)

 

3.) แผ่นดินไหวใหญ่ ภูมิภาคโทโฮคุ (โรงไฟฟ้าฟูกูชิมะระเบิดในลำดับถัดมา) วันที่ 11 มี.ค. 2011 ดัชนี NIKKEI ปรับตัวลงต่อเนื่องอีก 2 วันทำการถัดมา (14-15 มี.ค.) และลงทำจุดต่ำสุด -17.5% ในวันที่ 15 มี.ค. ใช้เวลา 21 เดือนในการฟื้นตัวกลับสู่ระดับเดิม(ผลกระทบรุนแรงเกินกว่า สถานการณ์ ในไทย ไม่ควรนำมาประกอบการวิเคราะห์)

 

ประเมินผลกระทบแผ่นดินไหวต่อตลาดหุ้นไทย : KSS ประเมิน SET จะลดลงเพียงระยะสั้นในวันพรุ่งนี้ ราว -1.8% ถึง -3% ประเมินกรอบตั้งรับ 1155- 1130จุด( PER 2025F 12.8-12.5x) และน่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวหลังจากนั้นใน 3 วัน หากไม่มีปัจจัยลบใหม่ เนื่องจากผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจและหุ้นในตลาดค่อนข้างจำกัด โดยกลุ่มอสังหาฯระยะสั้น จะมีความกังวลต่อโครงการแนวดิ่ง แต่สัดส่วนอสังหาฯในไทย คิดเป็นเพียง 2.5% ของ GDP ปี 2024 ขณะที่กลุ่มประกันมูลค่าความเสียหายราว 2.2-2.5 พันล้านบาท คิดเป็น Market EPS เพียง -0.05 บาทต่อหุ้น ส่วนหุ้นที่มีธุรกิจในเมียนมาร์ เป็นหุันขนาดกลางเครื่องดื่ม และอาหารเป็นส่วนใหญ่ และสุดท้ายกลุ่มท่องเที่ยว บริษัทส่วนใหญ่ แจ้งว่ายังไม่มีการยกเลิก Booking แบบมีนัยฯ และโรงแรมยังสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ

 

โดย KSS ประเมินผลกระทบเชิงพื้นฐานรายกลุ่ม ดังนี้

 

(-) a. กลุ่มที่ได้รับผลกระทบเชิงลบ :

 

(-) กลุ่มที่มีธุรกิจในเมียนมาร์ มีสัดส่วนรายได้ในเมียนมาร์สูง แม้ส่วนใหญ่ทรัพย์สินไม่มีความเสียหาย แต่น่าจะกระทบต่อกำลังซื้อ ได้แก่ MEGA 30%, OSP 10% CBG 7% และ ICHI 7% ตามลำดับ ส่วน TOA (2-3% ของรายได้) และ THG (ถือหุ้น 40% ใน ร.พ. Ar Yu) คาดเป็นกลาง

 

- กลุ่มที่มีธุรกิจเกี่ยวโยงกับกรณีอาคาร สตง. ถล่ม คือ ผู้รับเหมา ITD (ส่วนเจ้าหนี้ คือ ธนาคาร คาดกระทบจำกัด เพราะได้ตั้งสำรองไปแล้ว)

 

(-) ประกันที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาคารดังกล่าว TIPH (40% ของวงเงินประกัน 2.2 พันล้านบาท หรือราว 896 ล้านบาท vs ระดับเงินกองทุนสำรองใช้ได้ 7.6 พันล้านบาท ขณะที่คิดเป็นผลกระทบ 1.5 บาทต่อหุ้น) , BKIH (25% ของวงเงินประกัน 2.2 พันล้านบาท หรือราว 560 ล้านบาท vs เงินกองทุนสำรองใช้ได้ 4.1 หมื่นล้านบาท ขณะที่คิดเป็นผลกระทบต่อหุ้นราว 5.4 บาท )

 

(-) กลุ่มอสังหาฯ ที่มีโครงการแนวดิ่ง ในรายที่มียอดขายคอนโดสัดส่วนสูง ANAN LPN ORI สัดส่วน 84%, 82% และ 76% ของยอดโอนรวมปี 2024 และในส่วนที่มีความเสียหายออกสื่อมากกว่าบริษัทอื่นๆ AP และ ORI ต้องรอการตรวจสอบฟื้นความเชื่อมั่น

 

คำแนะนำ : สำหรับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเชิงลบ ระยะสั้นหลีกเลี่ยง แต่ให้รอโอกาสสะสม เพื่อระยะกลาง เช่น กลุ่มอสังหาฯ ที่อาคารมีความเสียหายต่ำ แต่เกิด Panic ราคาลงเกิน -10% รอตั้งรับ SIRI, SC, LH และ กลุ่มประกันที่กำไรจะลดลงเพียง 1 ไตรมาส และเบี้ยประกันในอนาคตจะสูงขึ้น หากหุ้นปรับฐานลึก -15% ขึ้นไป รอตั้งรับ TIPH, BKIH

 

(*/-) b. กลุ่มที่มีผลกระทบระยะสั้นเชิงจิตวิทยา แต่ภาพอุตสาหกรรมมีปัจจัยลบอื่นๆ เน้น Selective หุ้นรายตัวในกลุ่ม : บันเทิง ชิ้นส่วนฯ เกษตร-อาหาร พลังงาน ปิโตรเคมี กลุ่มขนส่งทางบวก ขนส่งทางเรือ

 

คำแนะนำ กลุ่ม b. เน้น Selective หุ้นรายตัวที่แข็งแกร่งในกลุ่ม บันเทิง เลือก PLANB, เกษตร - อาหาร เลือก CPF, ขนส่งทางบก เลือก BTS

 

(*/-) c. กลุ่มที่มีผลกระทบระยะสั้นเชิงจิตวิทยา แต่ราคาน่าจะปรับตัวลงระยะสั้น แต่แนะนำทยอยตั้งรับเนื่องจากอุตสาหกรรมมีภาพบวก คือ กลุ่มท่องเที่ยว การบิน กลุ่มนิคม กลุ่มธนาคาร (กลุ่มเสี่ยงผันผวน คือ กลุ่มที่มีสินเชื่อบ้านสูง อาทิ SCB 32% TTB 25% KTB 19% KBANK 17%) กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่ม ร.พ. กลุ่มเช่าซื้อ กลุ่มรับเหมา

 

คำแนะนำในกลุ่ม c. สำหรับ กลุ่มท่องเที่ยว เลือก MINT, นิคม เลือก AMATA, กลุ่มธนาคาร เลือก KBANK, กลุ่มโรงไฟฟ้า เลือก GPSC, กลุ่ม ร.พ. เลือก BDMS, BH, กลุ่มเช่าซื้อ เลือก MTC, กลุ่มรับเหมา เลือก STECON

 

(+) d. กลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว หรืออาจได้อานิสงส์บวก : กลุ่มจำหน่ายสินค้า+บริการจำเป็น หรือกลุ่มได้ประโยชน์จากการซ่อมแซ่มรอบใหญ่หลังจากนี้ ค้าปลีก (บวกกลุ่มสินค้าจำเป็น และ Home Improvement) กลุ่มสื่อสาร กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มที่ปรึกษางานอาคาร/โครงสร้าง กลุ่มรับเหมาเสาเข็ม

 

KSS แนะนำกลยุทธ์หลัก รวมถึงผู้รับความเสี่ยงได้น้อย ระยะสั้น-กลาง เน้นหุ้นกลุ่มข้อ d โดยเฉพาะกลุ่มที่มี Deep Value อาทิ CPALL, CPAXT, BJC, HMPRO, GLOBAL, SCC กลุ่มที่อยู่ในช่วง Upcycle อาทิ ADVANC, TRUE ส่วนเก็งกำไรเน้นไปที่กลุ่มวัสดุก่อสร้างขนาดเล็ก-กลาง SCGD, DCC กลุ่มเสาเข็ม PYLON และเก็งกำไรกลุ่มที่ปรึกษางานอาคาร/โครงสร้าง STI, TEAMG, PPS

(*/+) Government Measures: วันนี้ 31 มี.ค. เวลา 8:30 น. งาน "แถลงการณ์ร่วมภาคเศรษฐกิจจริงและระบบการเงิน จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว" โดยหน่วยงานที่ให้ข้อมูล ประกอบด้วย สภาวิศวกร, ธนาคารแห่งประเทศไทย, คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.), ก.ล.ต. และ ต.ล.ท. เราแนะนำติดตามมาตรการที่หน่วยงานรัฐฯมีโอกาสออกมาเพิ่มความเชื่อมั่น

(*) TH Politic: 10 เม.ย. ติดตาม ผลสอบของแพทยสภา ที่กำลังจะได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการ กรณีการรักษาอยู่บนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ของคุณทักษิณ ชินวัตร บิดานายกรัฐมนตรี

(*) To monitor: ปัจจัยภายในสัปดาห์หน้า ติดตาม

1 เม.ย. ประชุม ครม. และรายงานนักท่องเที่ยวต่างชาติประจำสัปดาห์

2 เม.ย. ติดตามการประกาศใช้ภาษีเท่าเทียมของคุณ Trump คาดอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยง (ไทยเก็บภาษีสูงกว่าสหรัฐฯเก็บไทย) อาทิ ยานยนต์+ชิ้นส่วนยานยนต์ สินค้าเกษตร ชิ้นส่วนฯ ซึ่งระยะสั้นกรณีดังกล่าวอาจสร้างแรงกดดันก่อนที่จะมีความชัดเจนเพิ่มขึ้น

3 เม.ย. GULF (หลังควบรวม INTUCH) กลับมาซื้อขายในตลาดวันแรก

4 เม.ย. เงินเฟ้อ CPI มี.ค. 25 ไม่มีคาด vs prev. +1.08%y-y , เงินเฟ้อพื้นฐาน CPI ไม่มีคาด vs prev. +0.99%y-y

 

Daily Strategy : ADVANC, SCC, HMPRO

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Down" จิตวิทยาลงทุนต่างประเทศเป็นลบ จากความกังวลต่อความเสี่ยง Stagflation / เศรษฐกิจถดถอยเพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ ขณะที่ภายในคาดกลุ่มอสังหา ประกัน ท่องเที่ยว และกลุ่มที่มีธุรกิจในเมียนมาร์ คาดปรับตัวลงตอบรับผลกระทบแผ่นดินไหวในเมียนมาร์ ขณะที่กลางสัปดาห์ (2 เม.ย.) ตลาดยังรอติดตามความเสี่ยงภาษีเท่าเทียม ทำให้โดยรวมประเมินภายในเป็นแรงหนุนวันนี้ หุ้นนำ คือ หุ้น Deep Value ในกลุ่มที่จำหน่ายสินค้า+บริการจำเป็น อาทิ CPALL, HMPRO, BDMS, BH, GPSC, SCGP หุ้นได้ประโยชน์จากการฟื้นฟู+ซ่อมแซ่ม อาทิ SCC ผสาน หุ้นสื่อสาร

 

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (BTS, VGI, BJC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (BA, AAV, GULF, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
10 หุ้น Deep Value ที่มีความมั่นคงระยะ 2-3ปีข้างหน้า และอยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว

• MAR25 Stock Picks: AMATA, AP, BA, BH, BTS, CPALL, MTC

• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้