"Selective Play"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1195/1202จุด รับ 1175/1165 จุด ประเด็นสำคัญวันนี้ 1.) คุณ Trump ยืนยันการปรับใช้นโยบายภาษีเท่าเทียม (Reciprocal Tax) 2 เม.ย. แต่เรื่องใหม่ คือ การเปิดช่องเจรจา คาดช่วยให้ตลาดหุ้นโลกผ่อนคลายขึ้นต่อความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่หนุนตลาดหุ้นอาเซียนที่เป็นกลุ่มที่ตลาดมองมีความเสี่ยงนโยบายดังกล่าวค่อนข้างสูง 2.) ช่วงที่เหลือสัปดาห์ประเด็นต่างประเทศติดตาม Flash PMI ภาคผลิตและบริการ สหรัฐฯ มี.ค. 25 3.) ภายในติดตามทิศทางเสถียรภาพรัฐบาล การอภิปรายไม่ไว้วางใจ 24-25 มี.ค. กรณีฐาน เราคาดรัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายได้ต่อ ผสาน SET ที่ Underperform ต้นปีจนมี ERP ที่ 4.8% +/- > AVG +1 S.D. อิงประเด็นลบต่างประเทศที่คลายทางบวก ภายในที่ใกล้ผ่านช่วงความไม่ชัดเจน คาด SET น่าจะเริ่มแกว่งขึ้นได้ หุ้นนำ คือ 1.) 10 หุ้น Deep Value 2.) หุ้นที่ตลาดเก็งโอกาสดำเนินการโครงการ Treasury Stock ในกลุ่มธนาคาร พลังงาน อิงราคาหุ้นล่าสุด + ฐานะการเงิน สิ้นปี 24 เราพบว่า หุ้น Big Cap ที่มีศักยภาพ อาทิ PTTEP, SCGP, GPSC, PTTGC, BCP, TOP 3.) เก็งกำไรหุ้น Global Plays / หุ้นอิงภาคส่งออก กับโมเมนตัมท่าทีคุณ Trump วันนี้แนะนำ CPF, PTTEP, TRUE
Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1195/1202 จุด รับ 1175/1165 จุด
What happened around the world?
(*/+) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อวันศุกร์ปรับขึ้น รับมุมมองเชิงบวกเรื่องสงครามการค้าหลังทรัมป์เผยภาษีศุลกากร Reciprocal Tariff ที่ประกาศจะเริ่มบังคับใช้ในช่วงต้น เดือนเม.ย. อาจไม่รุนแรงอย่างที่วิตกกัน อิง Dow jones +0.08%d-d, ดัชนี Nasdaq +0.52%d-d, S&P500 +0.08% โดยดัชนี S&P 500 Sector ปรับขึ้น หลักๆ คือ ICT, Consumer discretionary, IT ในทางตรงข้าม Sector ที่กดดัชนีคือ Real estate, Materials, Utilities, Energy ฯลฯ หุ้นรายตัวที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ กลุ่ม Tech นำโดย Tesla +5.3%, Meta +1.75%, Microsoft +1.14% ส่วน Boeing + 3.06% หลังจากทรัมป์มอบสัญญาให้กับ Boeing เพื่อผลิตเครื่องบินรบที่ล้ำสมัยที่สุดของกองทัพอากาศสหรัฐฯ และหุ้นคู่แข่งอย่าง Lockheed Martin -5.79%, FedEx บริษัทขนส่งพัสดุ -6.45% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์กำไรและรายได้ตลอดทั้งปี, กดดัน UPS ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งของ FedEx - 1.61%, Nike -5.46% หลังจากบริษัทคาดการณ์ว่ารายได้จะลดลงมากกว่าตลาดคาด
(*/+) Trump : ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์สหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ประเด็น US Trade war การขึ้นภาษีศุลกากร Reciprocal Tariff ที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ซึ่งคาดว่าจะเริ่มบังคับใช้ในช่วงต้น เดือนเม.ย. อาจไม่รุนแรงอย่างที่วิตกกัน และหัวหน้าผู้แทนการค้าของมีแผนจะพูดคุยกับคู่เจรจาจากจีนในสัปดาห์นี้ KSS ประเมินถือว่าสอดคล้องกับช่วงก่อนหน้าที่คาด คือ คาดสหรัฐจะไม่เดินหน้ากีดกันการค้ารุนแรง เพราะจะกระทยต่อการเติบโตเศรษฐกิจและเงินเฟ้อจะเร่งขึ้น คาดจะเห็นการเจรจาต่อรองจากประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐ โดยรวมประเมินจากข่าวดังกล่าวมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่ม Global Play อาทิ กลุ่มพลังงาน PTT, PTTEP กลุ่มปิโตรเคมี IVL, PTTGC กลุ่มชิ้นส่วน มองแค่เก็งกำไร อาทิ DELTA, HANA
(*) Fed Speaks : 1.) Fed Williams ประธาน Fed สาขา New York ให้สัมภาษณ์โทน Neutral คือยังไม่มีความจำเป็นต้องเร่งปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินในตอนนี้ 2.) Austin Goolsbee ประธาน Fed Chicago เผยว่าต้องใช้เวลาเพิ่มเติมในการประเมินผลกระทบของนโยบายทรัมป์ที่มีต่อเศรษฐกิจ
(*/+) S.Korea Export : ยอดส่งออกของเกาหลีใต้ 20 วันแรกของเดือน มี.ค. +4.5%y-y แตะที่ 3.554 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้แรงหนุนจากกลุ่มสินค้าที่ขยายตัวเด่น อาทิ หมวด Semi conductor +11.6% แตะ 7.07 พันล้าน รถยนต์ +3.7% สู่ระดับ 3.3 พันล้าน$, เรือ+80.3% สู่ระดับ 2.23 พันล้านดอลลาร์ กลุ่มที่หดตัว คือ กลุ่มเหล็ก ผลิตภัณฑ์น้ำมัน และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน KSS มองคาดจะทำให้ยอดส่งออกไทย เดือน มี.ค. โดยเฉพาะหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีโอกาสดีตาม มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นชิ้นส่วน
(*) DR : 1 สัปดาห์ข้างหน้าคาดมี DR ที่น่าสนใจและคาดจะมีกระแสเก็งกำไร 1.) 26 มี.ค. งานของ Pinewood Studios ที่ LONDON บริษัท SONY จะเปิดตัวสินค้าใหม่คือกล้องสำหรับถ่ายทำภาพยนต์ระดับมืออาชีพ มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อ SONY80 2.)2 เม.ย.งาน Nintendo Direct บริษัท NINTENDO จะเปิดตัวเครื่องเล่นเกมส์ รุ่นใหม่ Nintendo Switch 2 อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเครื่องเล่นเกมส์ที่เหล่า Gammer ให้ความสนมากที่สุดในตอนนี้ KSS มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อ NINTENDO80 และหุ้น ADVICE (TP@7.7) ร้านขายอุปกรณ์ IT และเป็นตัวแทนขายเครื่องเกมส์ คาดจะหนุนยอดขาย และจุดเด่นคือ Valuation ถูกสุดในกลุ่ม 10.6 เท่า เงินปันผล 6.3%
(*) To Monitor : ฝั่งสหรัฐ 25 มี.ค. ติดตามดัชนี Flash PMI มี.ค., 26 มี.ค. ติดตามความเชื่อมั่นผู้บริโภค Conf. Board มี.ค. คาด 94.0 จุด vs prev. 98.3 จุด, 28 มี.ค. รายงาน GDP 4Q24 คาด +2.5%q-q vs prev. +2.3%q-q, 29 มี.ค. รายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม. มิชิแกน มี.ค. คาด 57.9 29 มี.ค. ติดตามรายงานเงินเฟ้อ PCE พื้นฐาน ก.พ. คาด +2.7%y-y, +0.3%m-m ฝั่งจีน 26 มี.ค. ติดตามอัตราดอกเบี้ย Facility Rate อายุ 1 ปี คาดคงที่ระดับ 2.0%
(*) USTR - ติดตามการประชุมสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 24 - 25 มี.ค. โดยการประชุมเป็นส่วนหนึ่งของกระบวณการนโยบายการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ติดตามหัวข้อที่อาจได้รับการพิจารณาในการประชุม ได้แก่ 1) อุปสรรคทางการค้ากับประเทศเฉพาะ 2) การเจรจาการค้าที่กำลังดำเนินอยู่ 3) ภาษีศุลกากรหรือการดำเนินการทางการค้าที่เสนอ และ 4) ผลกระทบของนโยบายการค้าต่ออุตสาหกรรมหรือภาคส่วนต่างๆ นอกจากนี้สำนักข่าว Bloomberg ได้นำเสนอข่าวถึงความเป็นไปได้ที่จะเก็บภาษีจากเรือสินค้าสัญชาติจีน เรามองหากมีการดำเนินการจะส่งผลกระทบต่อการค้าโลกอย่างมีนัย
(*) US Bond Yields & Dollar : US Bond Yields ปรับลง อายุ 2 ปี - 2 bps อยู่ที่ 3.95% เช่นเดียวกับอายุ 10 ปี ปรับ + 2 bps อยู่ที่ 4.25% ส่วน Dollar Index แกว่งตัวแข็งค่ามาที่ 103.7 จุด (มองเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินในสกุลเอเซียอ่อนค่าวันนี้)
(+)Oil :ราคาน้ำมันดิบ Brent +0.2%d-d ปิดที่ USD 72.16/barrelน้ำมันดิบ West Texas +0.3%d-d ปิดที่ USD 68.3/barrel แรงหนุนจากข่าวการคว่ำบาตรอิหร่านจากสหรัฐฯ อิง ธนาคาร ANZ คาดว่า การส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่านอาจลดลง 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTTEP, PTT
What happened in Thailand?
(*/+) SET: SET Index ปรับขึ้น +4.9 จุด (+0.41%) ปิดที่ระดับ 1,186.6 จุด มูลค่าการซื้อขาย 4.7 หมื่นล้านบาท เทียบกับตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในเอเซียที่ปรับลงในทางเดียวกัน โดยวันนี้มีประเด็นสำคัญคือ FTSE Rebalance ราคาปิดเป็น Net inflows +40 ล้านเหรียญ ฯ หุ้นกลุ่มที่หนุนดัชนีหลักๆคือ กลุ่มพลังงาน (PTT,PTTEP) ตอบรับราคาน้ำมันกลับมาฟื้นขึ้น หลังสหรัฐฯคว่ำบาตรอิหร่าน ผสาน PTT ประกาศโครงการหุ้นทุนซื้อคืน กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA) กลุ่มธนาคาร (KBANK, TTB) แรงหนุนความชัดเจนเพิ่มขึ้นมาตรการซื้อหนี้ธนาคารของรัฐ และกระแสข่าว KTB รวม TTB ที่มีการปฎิเสธภายหลัง กลุ่มอาหาร CPF จิตวิทยาบวกยอดส่งออกไก่ยังดี กลุ่มที่กดดัชนีคือ กลุ่มโรงพยาบาล (BDMS, BH) คาดมาจากจิตวิทยาลบนักท่องเที่ยวระยะหลังที่ดูแผ่วลง ผสาน การสลับกลุ่มลงทุน หลัง ร.พ. นำตลาดช่วงก่อนหน้า กลุ่มค้าปลีก (CPAXT, CRC) คาดมาจากจิตวิทยาลบนักท่องเที่ยวระยะหลังที่ดูแผ่วลง ไม่มีมาตรการกระตุ้นบริโภคใหม่ๆ ที่มีนัยฯ
(*/+) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติเป็นภาพไหลเข้า ซื้อหุ้น +13.9 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +15.7 ล้านเหรียญฯ Net Short TFEX ที่ +13,811 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าเล็กๆสู่ 33.9 +/- บาท
(+) Thai Export : ยอดส่งออก ก.พ. 25 ดีกว่าคาด เติบโต 14%y-y เร่งขึ้นจาก prev. +13.6%y-y ส่วนยอดนำเข้า เติบโต +4.0%y-y vs prev. +7.09%y-y หนุนงวด ก.พ. 25 ไทยมี
ทั้งนี้ จุดน่าสนใจเดือน ก.พ. 25
ยอดเกินดุลการค้า ก.พ. 25 อยู่ที่ 1.99 พันล้านเหรียญฯ
สินค้าที่มียอดส่งออกดี ได้แก่
• กลุ่มที่ ++
อาหารสัตว์เลี้ยง ก.พ. 25 ขยายตัว +14.4%y-y (vs 2M25 ที่ +13.7%) จิตวิทยาบวกหุ้น AAI, ITC
เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ส่วนประกอบ ขยายตัว +51.3%y-y (vs 2M25 ที่ +48.2%) จิตวิทยาบวกหุ้น HANA, CCET
แผงวงจรไฟฟ้า +24.8%y-y (vs 2M25 +16.5%) จิตวิทยาบวก KCE
• กลุ่มที่ +
ไก่ ขยายตัว +9.3%y-y (vs 2M25 ที่ +10.8%) จิตวิทยาบวกหุ้น CPF, GFPT
ยางพารา ขยายตัว +35.7%y-y (vs 2M25 ที่ +40%) จิตวิทยาบวกหุ้น STA, NER
รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัว +4.5%y-y (vs 2M25 ที่ -6.2%)
สินค้านำเข้าที่ลดลง คือ สินค้าทุน -11.8%y-y สินค้ายานพาหนะ+อุปกรณ์ขนส่ง -8.6%y-y อย่างไรก็ดี สินค้าวัตถุดิบ+กึ่งสำเร็จรูป ขยายตัว +12.8%y-y โดยรวมเราประเมินเป็นกลางต่อสัญญาณชี้นำการฟื้นตัวภายใน
กลยุทธ์ หุ้นกลุ่มส่งออกในทางพื้นฐาน เราเน้นที่ CPF ส่วนกลุ่มที่โมเมนตัมยังเป็นบวก อาทิ ITC, AAI, STA, กลุ่มชิ้นส่วนฯ จากความเสี่ยง ต้น เม.ย. ที่ตลาดรอความชัดเจนภาษีเท่าเทียมจากสหรัฐฯ แต่ล่าสุดที่มีจิตวิทยาบวกคุณ Trump เปิดช่องถึงแนวทางให้คู่ค้าต่อรองได้ ระยะสั้นคาดกลุ่มดังกล่าวยังมีโมเมนตัมเก็งกำไรต่อจากวันศุกร์ที่ผ่านมาได้
(*/+) Entertainment Complex: สศค.เปิดผลรับฟังความคิดเห็น ร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจร ประชาชนกว่า 70,000 คน เห็นด้วยถึง 80% แต่มีข้อเสนอแก้ไขหลายประเด็น ทั้งลดเกณฑ์เงินฝากขั้นต่ำสำหรับคนไทยที่เข้าไปใช้บริการ + จำกัดวงเงินเล่นพนัน ปประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นในธีม Entertainment Complex เน้น AOT BTS BA ผสานเก็งกำไร VGI
(*/-) TH Tourism: ข้อมูลนักท่องเที่ยวต่างชาติล่าสุดที่เรามี 18 มี.ค. 25 อยู่ที่ 7.55 หมื่นคน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยต่อวันช่วง 1-16 มี.ค. ที่ 9.16 หมื่นคน อย่างไรก็ตาม YTD ถึงวันที่ 18 มี.ค. นักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 8.45 ล้านคน เฉลี่ยวันละ 1.11 แสนคน ซึ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นที่นักท่องเที่ยวปี 2025F อาจต่ำกว่า Krungsri Research ประเมินที่ 38 ล้านคนเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นเราคาดภาคท่องเที่ยวจะมีแรงหนุนช่วงสงกรานต์รออยู่ ตัวเลือกลงทุนน่าสนใจ แนะทยอยสะสมหุ้น Deep Value ในกลุ่มท่องเที่ยว หุ้นอิงภาคบริการ อาทิ AOT CPALL MINT หรือหุ้นที่มีแรงขับเคลื่อนชัด อาทิ BA
(*) To monitor: ปัจจัยภายในสัปดาห์นี้ ติดตาม
24-25 มี.ค. ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
27 มี.ค. ติดตามงานสัมมนา AI Revolution "a New Paradigm of New World Economy" บจ.หลักๆ ที่ร่วมงาน ได้แก่ ADVANC, BBIK, KBANK, WHA
Daily Strategy : CPF, PTTEP, TRUE
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Sideways/Up" ปัจจัยหนุนต่างประเทศอยู่ที่ท่าทีคุณ Trump ในส่วนภาษีเท่าเที่ยมที่เน้นการหว่านแห ขณะที่เปิดช่องให้เจรจาต่อรองได้ ส่วนภายในรอติดตามงานอภิปรายไม่ไว้ใจรัฐบาล 24-25 มี.ค. ขณะที่ SET ที่ Underperform ต้นปีจนมี ERP ที่ 4.8% +/- > AVG +1 S.D. อิงประเด็นลบต่างประเทศที่คลายทางบวก ภายในที่ใกล้ผ่านช่วงความไม่ชัดเจน คาด SET น่าจะเริ่มแกว่งขึ้นได้ หุ้นนำ คือ 1.) 10 หุ้น Deep Value 2.) หุ้นที่ตลาดเก็งโอกาสดำเนินการโครงการ Treasury Stock ในกลุ่มธนาคาร พลังงาน อิงราคาหุ้นล่าสุด + ฐานะการเงิน สิ้นปี 24 เราพบว่า หุ้น Big Cap ที่มีศักยภาพ อาทิ PTTEP, SCGP, GPSC, PTTGC, BCP, TOP 3.) เก็งกำไรหุ้น Global Plays / หุ้นอิงภาคส่งออก กับโมเมนตัมท่าทีคุณ Trump
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (BTS, VGI, BJC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (BA, AAV, GULF, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
10 หุ้น Deep Value ที่มีความมั่นคงระยะ 2-3ปีข้างหน้า และอยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT)
• MAR25 Stock Picks: AMATA, AP, BA, BH, BTS, CPALL, MTC
• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
Strategy Update :SET 50/100 interim Rebalance
การเปลี่ยนแปลง SET50/SET100 ระหว่างกาล Update สืบเนื่องจากกรณี GULF, INTUCH จะมีการควบรวมเป็นบริษัทใหม่ คือ GULF Development ซึ่งจะเข้าตลาดวันที่ 3 เม.ย. ทำให้มีการนำหุ้นเข้า SET50/SET100 ใหม่ในระหว่างกาล ดัชนีละ 1บริษัท KSS ได้ประเมินหุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 และ SET100 ใหม่ผลจากประเด็นนี้
SET50 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่ระหว่างกาล Rebalance สิ้นวันที่ 2 เมย คือ VGI (โอกาสเข้า 95%)
SET100 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่จะแข่งกันระหว่าง MOSHI (โอกาส 50%), THCOM (โอกาส 30%), KAMART (โอกาส 20%)
กลยุทธ์ : เราคาดหุ้นที่ถูกนำเข้า SET50/100 จะถูกเพิ่มน้ำหนักจาก Passive Fund เป็นบวกต่อราคาหุ้น โดยในส่วน SET 50 เราแนะนำเก็งกำไร VGI และ BTS บ.แม่ (ถือหุ้น 57.1%) ส่วน SET100 แนะนำเก็งกำไร MOSHI
Strategy Update : ThaiESG Plays
กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดตั้ง กองทุน ThaiESG กองที่ 2 คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยมีวงเงินประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับกองทุน LTF ที่ครบอายุไปแล้ว ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนและสิทธิประโยชน์ยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งอาจแตกต่างจากกองทุน ThaiESG เดิม แต่ยังคงเน้นลงทุนในประเทศ โดยเราประเมินว่าการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจะช่วยชะลอแรงขายจาก LTF เดิมและเสริมสภาพคล่องใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่ถือ LTF ระยะยาว ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 1,620-1,640 จุด
เรามองปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามซึ่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดในระยะกลางถึงยาว ได้แก่ การขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากมีการเพิ่มเพดานลดหย่อนของ ThaiESG จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท เท่ากับ LTF เดิม จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดมากขึ้น อีกทั้งยังมีการหารือเรื่อง การลงทุนในหุ้นไทย 100% และ การขยายขอบเขตของหุ้น ESG เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนและกระจายความเสี่ยง KSS มองว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการขาดเงินทุนระยะยาวจาก LTF ที่หมดสิทธิประโยชน์ หากภาครัฐมีมาตรการชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ จะช่วยให้ SET ค่อย ๆ ฟื้นตัว
KSS ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการสะสมหุ้น เนื่องจาก SET ยังอยู่ใน Deep Value Zone โดยมีค่า PER ปี 2568 อยู่ที่ 13.5 เท่า และหากไม่นับรวมหุ้น DELTA ค่า PER จะอยู่ที่เพียง 11.5 เท่า ปัจจุบันมีหุ้นที่เข้าข่ายการลงทุนระยะยาว ได้แก่ 300 บริษัทที่มี PER ต่ำกว่า 12 เท่า, 435 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูงกว่า 3%, 548 บริษัทที่มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และ 145 บริษัทที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามข้อ KSS แนะนำ 7 หุ้น Deep Value ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ได้แก่ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP และ HMPRO พร้อมกันนี้ยังแนะนำอีก 5 บริษัท ที่เข้าเงื่อนไข PER < 12X, PBV < 1X และ Dividend Yield > 3% ในกลุ่มธนาคาร KBANK, KTB, BBL ผสาน อสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มมีปัจจัยหนุนเชิงบวก เช่น AP และ SIRI
Strategy Update : Summer Plays
กระแสการเก็งกำไรในหุ้นธีม "หน้าร้อน" กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยาเผยว่าในปีนี้ จะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนในไทยสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน ก.พ. 25 - กลางเดือน พ.ค. 25 ภายใต้คาดการณ์กรมอุตุนิยมวิทยาปี 2025F คาดอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบน 35 – 36 องศาเซลเซียส แม้จะต่ำกว่าฤดูร้อนปี 2024 อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 37.5 องศาเซลเซียส แต่ยังใกล้เคียงค่าเฉลี่ยฤดูร้อนปกติที่ 35.4 องศาเซลเซียส แต่จุดที่น่าสนใจคือ ราคาหุ้นหลายตัวมี Deep Discounts จากภาวะตลาดที่ผันผวน สร้างโอกาสระยะยาวด้วยอีกทางหนึ่ง ทีมกลยุทธ์คาด KSS อากาศที่ร้อนสูงขึ้น จะหนุน
1.) การบริโภคเครื่องดื่มที่มีความคึกคักขึ้น
2.) ประชาชนจะมีความต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งพัดลม, แอร์ เพื่อบรรเทาผลกระทบอากาศร้อน
3.) การทำงานก่อสร้างจะเร่งส่งมอบได้มากกว่าช่วงหน้าฝน
4.) การท่องเที่ยวทะเลที่เป็นจุดเด่นของไทยมักคึกคัก
ภาพรวมดังกล่าวที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มักหนุนกระแสหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์อาทิ กลุ่ม มีภาพถูกเก็งกำไรในช่วงฤดูร้อน อาทิ กลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มค้าปลีกที่เน้นขายเครื่องใช้ไฟฟ้าบรรเทาอากาศร้อน กลุ่มรับเหมา และกลุ่มโรงแรม อิงผลการศึกษาผลตอบแทนย้อนหลัง 9 ปี (ไม่รวมปีที่เผชิญ Covid ในปี 2020 ที่ผลตอบแทนรายกลุ่มกระทบความเสี่ยงตลาด) ช่วงเวลาที่ดีสุดในการลงทุน คือ การลงทุนในช่วงเข้าสู่ฤดูร้อน และขายทำกำไรหลังจากนั้น 1 เดือน โดยช่วงปัจจุบัน คือ ควรเริ่มสะสมหุ้นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของ ก.พ. 25 และขายทำกำไรช่วงปลาย มี.ค. 25 - ต้น เม.ย. 25 โดยกลุ่มโรงแรม (ความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 87.5% ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.7%) ตามด้วยกลุ่มรับเหมา (62.5%, 1.6%) กลุ่มค้าปลีก (50%, 1.2%) สูงกว่า SET (50%, 1.1%) ขณะที่ภาพรายบริษัท คือ CRC(100%, 5.3%) ICHI (87.5%, 3.7%) SAPPE (75%, 7.2%) CENTEL (75%, 4.4%) MINT (62.5%, 3.3%) GLOBAL (62.5%, 2.3%) HMPRO (50%, 4.9%) DOHOME (50%, 2.3%)
ในเชิงกลยุทธ์ Summer Plays ปี 2025F KSS แนะนำลงทุนเน้นไปที่กลุ่มที่มีหุ้นอยู่ในโซนฐาน Valuation ไม่แพง ได้แก่ CRC(TP Con-40.6) ICHI (TP25F-17) SAPPE (TP25F-70) CENTEL (TP25F-40) MINT(TP25F-38) HMPRO (TP25F-13.5) และหุ้น Turn around ที่คาดได้ประโยชน์จากหน้าร้อน คือ หุ้นเครื่องดื่ม คือ MALEE(TP25F – 17.7)
Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง
1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"
2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก
3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก
4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ
เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว
Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
• Bank (Neutral): เรามีมุมมอง Neutral ต่อการรายงานสินเชื่อเดือน ก.พ. 25 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ลดลง -0.2% m-m จากสินเชื่อภาครัฐลดลง ขณะที่สินเชื่อธุรกิจเพิ่มขึ้น ด้านสินเชื่อ SME และสินเชื่อรายย่อยทรงตัว เพราะธนาคารยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ จากความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เดือนนี้ธนาคารที่รายงานสินเชื่อเพิ่มขึ้น m-m เด่นสุดนำโดย BBL +1.0% m-m ตามด้วย TISCO +0.5% m-m / SCB,KKP +0.4% m-m และ TTB +0.1% m-m ขณะที่ธนาคารที่รายงานสินเชื่อหดตัว คือ KBANK -0.5% m-m และ KTB -1.9% m-m ทั้งนี้เราคงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มธนาคารที่ NEUTRAL คง KBANK (BUY, TP 178บ.) และ KTB (BUY, TP 27บ.) เป็น Top pick
• KBANK (Buy, TP25F-178): เราคงคำแนะนำ BUY และคง TP25F ที่ 178 บ. และคงเป็น Top Pick ของกลุ่มธนาคารคู่กับ KTB (BUY, TP 27 บ.) เพราะ i)มีโอกาสเห็นค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) กลับสู่ระดับปกติในปี 2025F ที่ 140-160 bps. ii)กำไรสุทธิ 2025F คาดเติบโต +9% y-y มากกว่ากลุ่มที่ +4% y-y iii)ปันผลต่อปีสูง dividend yield คาดที่ 6-7% โดย 2H24 ประกาศจ่ายปันผล 8 บ./หุ้น (yield ที่ 4.9%) ขึ้น XD วันที่ 17/04/25 และ 2.5 บ./หุ้น (yield ที่ 1.5%) ขึ้น XD วันที่ 15/05/2025 สำหรับกำไรสุทธิ 1Q25F คาดที่ 1.20 หมื่นลบ. กำไรลดลง -11%y-y เพราะการลดลงของ NIM และเงินลงทุน (FVTPL) ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้น +14%q-q จากการลดลงของค่าใช้จ่าย ทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ตามปัจจัยฤดูกาล และค่าใช้จ่ายสำรอง(ECL) จากปี 2024 เร่งจัดการคุณภาพสินทรัพย์
• SCB (Neutral, TP25F-120): เราคงคำแนะนำ NEUTRAL และคง TP25F ที่ 120 บ. เรามอง SCB คงปันผลเด่น dividend yield สูงสุดในกลุ่มธนาคารประมาณ 8-9% ต่อปี โดย 2H24 ประกาศจ่ายปันผล 8.44 บ./หุ้น คิดเป็น dividend yield ที่ 6.8% ขึ้น XD วันที่ 16/04/25 สำหรับกำไรสุทธิ 1Q25F คาดที่ 1.12 หมื่นลบ. กำไรลดลง -1%y-y และ -4% q-q เพราะการลดลงของ NIM Bancassurance และเงินลงทุน (FVTPL) สำหรับสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น +0.7% q-q คิดเป็น +0.7% YTD จากสินเชื่อภาคธุรกิจ ด้านคุณภาพสินทรัพย์ NPL Ratio คาดที่ 3.45% จาก 4Q24 ที่ 3.37% มองว่าหลักๆมาจากลูกหนี้กลุ่มบ้าน
• Soft Commodity (Neutral): สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำตาลเพิ่มขึ้น +5%w-w จากแนวโน้มการผลิตน้ำตาลทั่วโลกลดลง ทั้งในบราซิลและอินเดียจากผลผลิตอ้อยลดลง ราคาถั่วเหลือง เพิ่มขึ้น +0.2%w-w จากความต้องการค่อนข้างทรงตัว ส่วนราคาน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้น -0.4%w-w จากปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น การส่งออกน้ำมันปาล์มของมาเลเซียชะลอตัว ราคายางพารา ลดลง -0.2%w-w จากความกังวลด้านผลกระทบทางภาษีการค้าส่งผลกระทบต่ออุปสงค์
อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ราคาไก่ เพิ่มขึ้น +2.5%w-w อยู่ที่ 40.50 บาท (ต้นทุน 36-37 บาท) จากผลผลิตลดลงเพราะอากาศร้อนทำให้ไก่โตช้า ราคาสุกรไทย เพิ่มขึ้น +2%w-w ที่ 83.10 บาท (ต้นทุน 66-67 บาท) จากอุปทานลดลง ผลจากนโยบายการลดปริณแม่สุกรและการตัดวงจรลูกหมูในช่วงกลางปี24 ราคาสุกรจีน เพิ่มขึ้น +0.3%w-w ที่ 14.68 หยวน หรือ 68.28 บาท (ต้นทุนการเลี้ยง 15 หยวน) จากอุปทานลดลง ผู้เลี้ยงชะลอการเร่งขายสุกรน้ำหนักน้อยและอากาศที่เย็นลงอย่างรวดเร็ว (Cold wave) กระตุ้นการบริโภคและสต๊อกเพิ่มขึ้นในระยะสั้น ราคาสุกรเวียดนาม ลดลง -4.3%w-w ที่ 75,167 ดอง หรือ 99 บาท (ต้นทุนการเลี้ยง 45,000 ดอง) จากความพยายามจัดการกับโรคระบาด คาดอุปทานค่อยๆปรับตัวเพิ่มขึ้น
เราให้น้ำหนักกลุ่มฯ NEUTRAL เรายังคงเลือก CPF (TP25F 27.40) เป็น Top pick ราคาเนื้อสัตว์มีแนวโน้มฟื้นตัว โดยเฉพาะราคาหมูไทยและเวียดนามอยู่ในระดับสูง ขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ยังอยู่ในระดับต่ำ
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI