Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

325

 

ระยะสั้น FLOW ไม่เข้า ระยะยาวไม่แน่หรอก
TOP PICK BEM / WHA / PTTEP

 

EXTERNAL FACTOR

นับถอยหลัง 12 วัน ก่อนสหรัฐฯ สหรัฐฯ จะมีการบังคับใช้ภาษีตอบโต้จากทุกประเทศในวันที่ 2 เม.ย. 68 ขณะที่ความคืบหน้าล่าสุด ปธน. TRUMP ประกาศชัดว่า อินเดียจะถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราเดียวกับที่อินเดียเก็บจากสหรัฐฯ

หากพิจารณาบริบทความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ ของ “อินเดียและไทย” ดูไม่ค่อยแตกต่างมากนักทั้งในแง่มุมการได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ และภาษีศุลกรกรโดยเฉลี่ยสูงกว่าสหรัฐฯ จะกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจในระยะถัดไป

เช้านี้เวลา 10โมง มีรายงานตัวเลขส่งออกไทย ก.พ. COSENSUS คาด +8.0%YOY

 

INTERNAL FACTOR

วานนี้ ธปท ประกาศผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) เป็นการชั่วคราว ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิง
บวกต่อการผ่อนคลายเกณฑ์ข้างต้น ย่อมส่งผลดีต่อทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

ประเมินกลุ่มบริษัทที่ได้ประโยชน์มากสุด ได้แก่ 1) กลุ่มบริษัทที่มี BACKLOG (รวม JV)ระดับสูง ได้แก่ AP, ORI, NOBLE, ASW, SC, SIRI และ SPALI เป็นต้น 2) กลุ่มที่มีสต๊อกคอนโดฯ สร้างเสร็จพร้อมโอนฯ สูง ได้แก่ SPALI, ORI, AP และ ANAN ทั้งหมดมีเกินระดับ 1 หมื่นล้านบาท และ3) กลุ่มที่มีแผนโอนคอนโดฯ ใหม่ปีนี้ เช่น ORI, AP,
SIRI,ASW, NOBLE , SPALI, PSH และ ANAN เป็นต้น

 


INVESTMENT STRATEGY
ค่าเงินบาทไทยจะอยู่ในโซนแข็งค่า 33.5-33.8 บาท/เหรียญฯ จาก FLOW ต่างชาติที่ทยอยไหลเข้าในแต่ละสินทรัพย์ โดยตั้งแต่ต้นเดือนซื้อสุทธิตราสารหนี้ 1.49 หมื่นล้านบาท และ LONG FUTURES 8.7 พันสัญญาอย่างไรก็ตามยังเห็นการขายสุทธิอย่างต่อเนื่องของหุ้นไทย 1.39 หมื่นล้านบาท(MTD)

อย่างไรก็ตามระยะถัดไป น่าจะเห็นการชะลอการขายสุทธิของ FLOW ต่างชาติที่มีต่อหุ้นไทยลงบ้าง จากระดับMEYG ที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ รวมถึงมาตการกระตุ้น สนับสนุนตลาดฯ เด่นๆ อาทิ ดอกเบี้ยขาลง, THAIESGX,ผ่อนปลน LTV และ DIGITAL WALLET เฟส 3-4 ในอนาคต

 

 

ผลกระทบ TRADE WAR ดูเสี่ยงต่อไทยมากขึ้น
นับถอยหลัง 12วัน ก่อนสหรัฐฯ สหรัฐฯ จะมีการบังคับใช้ภาษีตอบโต้ (RECIPROCAL TARIFFS) จากทุกประเทศ ในวันที่ 2 เม.ย. 68 ขณะที่ความคืบหน้าล่าสุด ปธน. TRUMP ประกาศชัดว่า อินเดียจะถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราเดียวกับที่อินเดียเก็บจากสหรัฐฯ แม้จะมีการเจรจาทางการค้ากันไปแล้วหลายครั้ง

หากพิจารณาบริบทความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ ของ “อินเดียและไทย” ดูไม่ค่อยแตกต่างมากนักทั้งในแง่มุมการได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ (อินเดียอันดับ 10, ไทยอันดับ 11) และภาษีศุลกรกรโดยเฉลี่ยสูงกว่าสหรัฐฯ (อินเดีย17%, ไทย 9.8%, สหรัฐฯ 3.3%) ทำให้บ้านเรามีความเสี่ยงมากขึ้น ที่จะกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจในระยะถัดไปโดยเฉพาะภาคการส่งออก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 64% ของ GDP

 

ส่วนเช้านี้เวลา 10.00 น. กระทรวงพาณิชย์มีรายงานภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือน ก.พ. 68 โดยCONSENSUS คาดการณ์ตัวเลขส่งออกขยายตัว +8.0%YOY และการนำเข้าเติบโต +5.4%YOY ซึ่งอาจชะลอตัวลงจากเดือนก่อนที่ +13.6%YOY และ +7.9%YOY ตามลำดับ

 


ปลดล็อก LTV…WIN-WIN ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
วานนี้ 20 มี.ค. 2568 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) เป็นการชั่วคราว โดยกำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV RATIO) เป็น 100% (กู้ได้เต็มมูลค่าหลักประกัน) สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับ 1) กรณีบ้านที่มูลค่าต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป (สำหรับบ้านหลังที่ 1 ที่มีมูลค่าต่ำกว่า 10 ล้านบาท มีเพดาน LTV RATIO 100% รวมสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ TOP-UP อีก10% ตามเดิม) และ 2) บ้านราคาเกิน 10 ล้านบาทขึ้นไป ที่มีสัญญากู้ตั้งแต่หลัง 1 เป็นต้นไป โดยมาตรการ LTV ใหม่
เป็นการผ่อนคลายชั่วคราว สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่ 1 พ.ค. 2568 –30 มิ.ย. 2569

ทั้งนี้ธุรกิจอสังหาฯ มีสัดส่วนต่อ GDP ราว 4.3% อีกทั้งยังมีความเชื่อมโยงกับธุรกิจอื่นๆ เช่น ของตกแต่งบ้าน,เฟอร์นิเจอร์, วัสดุ-รับเหมาก่อสร้าง, บริการ ฯลฯ ส่วนการผ่อนคลาย LTV ครั้งก่อน ต.ค. 64 –ธ.ค. 65 หุ้นอสังหาฯ พุ่ง +20% ขณะที่ SET +4.0%ธุรกิจอสังหาฯ มีสัดส่วนต่

 

ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงบวกต่อการผ่อนคลายเกณฑ์ข้างต้น ย่อมส่งผลดีต่อทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย โดยการปลดล็อก LTVครั้งนี้ ช่วยให้ผู้ซื้อสามารถเข้าถึงที่อยู่ศัยได้ง่ายขึ้น และเอื้อประโยชน์ต่อผู้ต้องการซื้อและกู้เพื่อมีบ้านหลังที่ 2 ขึ้นไปมากสุดสำหรับบ้านไม่เกิน 10 ล้านบาท เนื่องจากเกณฑ์เดิมสำหรับกลุ่มบ้านหลังที่ 2 ถูกจำกัดด้วย LTV ให้กู้น้อยลงเพราะ LTV เดิมต้องวางเงินดาวน์ระหว่าง 10-20% (หรือกู้ได้ 80-90%) ดังนั้นการผ่อนคลายเกณฑ์กำหนดให้ LTV100% ซึ่งหมายถึงกู้ได้ 100% เชื่อว่าจะกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มคอนโดฯ ซึ่งถูกมองว่ามีสัดส่วนการซื้อบ้านหลังที่ 2 และซื้อเพื่อลงทุนรวมถึงเก็งกำไรรวมอยู่ด้วย อาจได้ประโยชน์มากกว่ากลุ่มแนวราบ ซึ่งก็มีโอกาสถูก
เลือกเป็นบ้านหลังที่ 2 ด้วยเข่นกัน (เช่น กลุ่มคนที่มีคอนโดฯ เป็นหลังแรก อาจมองหาบ้านแนวราบเป็นหลังที่ 2 ทั้งเพื่อต้องการพื้นที่ใช้สอยส่วนตัว หรือเพื่อการขยายครอบครัว เป็นต้น)


สำหรับฝั่งผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยก็ได้รับประโยชน์ โดยจะทำให้ BACKLOG (รวม JV) สิ้น 4Q67 ราว 2.14แสนล้านบาท ในมือของผู้ประกอบการ 14 ราย ที่เป็นส่วนที่รอรับรู้รายได้ปีนี้ราว 1.13 แสนล้านบาท และปีหน้า 5.7หมื่นล้านบาท สามารถโอนฯ ได้ง่ายขึ้น รวมถึงการขายสต๊อกสร้างเสร็จพร้อมโอนฯ ของกลุ่มคอนโดฯ สิ้นปี 2567 ที่
มีอยู่ราว 1.2แสนล้านบาท (ยังไม่ได้รวมคอนโดฯ ใหม่ที่จะเสร็จงวดปีนี้) มีโอกาสระบายมากขึ้นเช่นกัน


ฝ่ายวิจัยประเมินกลุ่มบริษัทที่ได้ประโยชน์มากสุด ได้แก่ 1) กลุ่มบริษัทที่มี BACKLOG (รวม JV) ระดับสูง ได้แก่ AP,ORI, NOBLE, ASW, SC, SIRI และ SPALI เป็นต้น 2) กลุ่มที่มีสต๊อกคอนโดฯ สร้างเสร็จพร้อมโอนฯ สูง ได้แก่SPALI, ORI, AP และ ANAN ทั้งหมดมีเกินระดับ 1 หมื่นล้านบาท และ3 )กลุ่มที่มีแผนโอนคอนโดฯ ใหม่ปีนี้ เช่น ORI,AP, SIRI,ASW, NOBLE , SPALI, PSH และ ANAN เป็นต้น

โดยสรุปเชื่อว่า SENTIMENT บวกจากการเปลี่ยนแปลงมาตรการ LTV และการต่ออายุมาตรการลดค่าโอนฯ และจดจำนองจากภาครัฐ คาดมีโอกาสเกิดขึ้นอย่างเร็วภายในเดือนนี้ นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงต่อประมาณการขาลงของกำไรกลุ่มฯ ปี 2568 ยังมีโอกาสสร้าง UPSIDE ส่วนเพิ่ม สะท้อนได้จากช่วงปี 2565 ที่มีการผ่อนปรน LTVชั่วคราว (20 ต.ค. 2564-31 ธ.ค. 2565) บวกกับการฟื้นตัวหลังโควิด-19 หนุนให้ยอด PRESALE ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวมถึงยอดโอนฯ ของกลุ่มผู้ประกอบการเองสูงขึ้น 10% YOY และกำไรปกติเติบโตในระดับ 22% ในปีดังกล่าว นอกจากนี้ราคาหุ้นกลุ่มฯ ที่มี VALUATION ไม่แพง และ DIV YIELD จูงใจ ซึ่งหลายบริษัทขึ้น XD ปันผลช่วงเม.ย.-พ.ค. 2568 จะช่วยลด DOWNSIDE ของราคาหุ้น คงแนะนำเท่าตลาด ฯ เลือกหุ้นเด่นได้แก่ AP (FV@B12.80),SPALI (FV@23.00) และเพิ่มเติมสำหรับ ORI (FV@B3.50)

 

 

ระยะสั้น FLOW ต่างชาติยังไม่เข้า แต่ระยะยาวมีโอกาสชะลอขาย จาก VALUATION ที่ถูกและมาตรการของภาครัฐฯ

แม้ค่าเงินบาทไทยจะอยู่ในโซนแข็งค่า 33.5-33.8 บาท/เหรียญฯ จาก FLOW ต่างชาติที่ทยอยไหลเข้าในแต่ละสินทรัพย์โดยตั้งแต่ต้นเดือนซื้อสุทธิตราสารหนี้ 1.49 หมื่นล้านบาท และ LONG FUTURES 8.7 พันสัญญาอย่างไรก็ตามยังเห็นการขายสุทธิอย่างต่อเนื่องของหุ้นไทย 1.39 หมื่นล้านบาท(MTD)


ซึ่งวันนี้มีโอกาสเห็นความผันผวนของ SET เพิ่มเติมในช่วงภายบ่ายจาก ดัชนี FTSE RUSSELL EFFECTIVE ราคาปิดวันนี้ซึ่งมีจำนวนหุ้นออกดัชนีมากกว่าเข้าดัชนี

 

อย่างไรก็ตามระยะถัดไป น่าจะเห็นการชะลอการขายสุทธิของ FLOW ต่างชาติที่มีต่อหุ้นไทยลงบ้าง จากระดับMEYG ที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ รวมถึงมาตการกระตุ้น สนับสนุนตลาดฯ เด่นๆ อาทิ
1. ปีนี้กนง.ลดดอกเบี้ยมา 1 ครั้ง เหลือ 2% พร้อมกับอัตราดอกเบี้ยโลกอยู่ในช่วงขาลง และแนวโน้มการออกหุ้นกู้ภาคเอกชนไทยลดลง หนุนเม็ดเงินสลับเข้าตลาดหุ้น โดยทาง THAIBMA คาดการณ์ว่ามูลค่าการออกตราสารหนี้ระยะยาวปี 2025 จะอยู่ที่ 8.0-8.5 แสนล้านบาทเท่านั้น (ลดลง 6.9%YOY -12.4%YOY)อาจทำให้เห็นเม็ดเงินสลับมาซื้อหุ้นไทยบ้าง
2. มาตรการโยก LTF เป็น THAIESGX 2Q68 ช่วยลดความกลัวจาการขาย LTF
3. มาตการผ่อนปลน LTV ซึ่งธุรกิจอสังหาฯ มีสัดส่วน 4.3% ของ GDP
4. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น DIGITAL WALLETเฟส 3 (อายุ 16 –20 ปี)ช่วง 2Q68รวมถึงเฟส4 ในอนาคตอันใกล้ด้วย

 

 

Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

เน้นทำรอบ By : นายกล้วยหอม

นายกล้วยหอม มองหุ้นไทย ห้วงเส้นเทคนิค ยังมีทรง มีอนาคต มีความหวัง นักลงทุน ควรใช้โอกาสนี้ เน้นทำรอบ หมุนรอบให้เร็ว....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้