"Selective Play"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "Sideways Up" ต้าน 1202/1210จุด รับ 1182/1175 จุด ประเด็นสำคัญวันนี้ 1.) ผลประชุม Fed "Neutral to Slightly Dovish" แม้คงดอกเบี้ย และคง Dot plot ลดดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้งในปี 2025-2026 และ 1 ครั้งในปี 2027 แต่มีภาพบวกจาก Fed ประกาศชะลอ Qualitative Tightening (QT) เหลือ 4หมื่นล้านเหรียญต่อเดือน ซึ่งดีกว่าตลาดคาด ส่วนเงินเฟ้อปี 2025F แม้เพิ่มสู่ 2.8% (เดิม 2.5%) แต่ Fed มองเป็นเรื่องชั่วคราว และให้น้ำหนักต่อเศรษฐกิจสหรัฐชะลอลงเป็น Soft Landing เล็กๆ ลด GDP ปี 2025F เหลือ 1.7% (-0.4%) ต่ำกว่าศักยภาพที่ 2% เล็กน้อย พร้อมทั้งถ้อยแถลงเอียงมาให้น้ำหนักดูแลเศรษฐกิจ เป็นจิตวิทยาบวกสินทรัพย์เสี่ยงโลกโดยเฉพาะตลาด Laggard ขณะที่จีน มีแรงหนุน TENCENT กำไรดีกว่าคาด 2.) เงินเฟ้อ CPI ยุโรป ก.พ. 25 (ครั้งสุดท้าย) ลงเร่งกว่าคาด +2.3%y-y vs prev. +2.4% สร้างความยืดหยุ่นนโยบายการเงิน 3.) ภายใน หลังชัดเจนนโยบายกีดกันการค้าคุณ Trump ชุดท้ายๆ ในส่วนภาษีเท่าเทียม ต้น เม.ย. จากนี้เราคาดจะการใช้นโยบายการเงินยืดหยุ่นขึ้น หนุน SET แกว่งขึ้นต่อ หุ้นนำ หุ้นวงจรดอกเบี้ยขาลงหนุน หุ้นได้ประโยชน์การเปิดให้โฆษณาเครื่องดื่มแอลกฮอล์ (PLANB, CBG, BJC) หุ้นอิงยุโรปและจีน ผสาน 10 Deep Value วันนี้แนะนำ KBANK, BA, CBG
Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1202/1210 จุด รับ 1182/1175 จุด
What happened around the world?
(+)US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นหลังผลกระชุม Fed คงอัตราดอกเบี้ยตามคาด และส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ 2 ครั้ง อิง Dow jones +0.92%d-d, ดัชนี Nasdaq +1.41%d-d, S&P500 +1.08% โดยดัชนี S&P 500 Sector ปรับขึ้นทุก Sector หลักๆ คือ Consumer discretionary, Energy, IT, Industrials, ICT ฯลฯ หุ้นรายตัวที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ ฯลฯ Boeing +6.84% บริษัทคาดการณ์ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของทรัมป์, Tesla +4.6%, Broadcom +3.66%, Netflix +3.2% ฯลฯ
(*/+) Fed Meeting : ผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) เป็นไปตามที่ตลาดคาด (Inline) โทน "Dovish Neutral" คือ คงดอกเบี้ยนโยบาย 4.25-4.5% แต่ Key สำคัญคือ Dot plot และประมาณการเศรษฐกิจ คือ
1.) คาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยปี 2025 -2027 ถือว่าเป็นไปตามที่ MUFG คาดการณ์ คือ ปี 2025 จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งๆละ 25 bps (เท่ากับ Dot plot รอบก่อน) ดอกเบี้ยสิ้นปีจะอยู่ที่ 3.9% เช่นเดียวกับปี 2026 ลดดอกเบี้ย 2 ครั้งๆ ละ 25 bps ดอกเบี้ยสิ้นปีจะอยู่ที่ 3.4% ส่วนปี 2027 ลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้ง 25 bps ดอกเบี้ยสิ้นปีจะอยู่ที่ 3.1% KSS ประเมินตอกย้ำมุมมอง Cycle อัตราดอกเบี้ยขาลงตามที่คาด
2.) คาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐ ปรับลดปี 2025-2027 ลงจากเดิมราว -0.4% , -0.2%, -0.1% เหลือคาดที่ 1.7% 1.8% 1.8% ตามลำดับใกล้เคียงกับระดับศักยภาพ KSS ประเมินแม้จะปรับ GDP ลงแต่สะท้อนว่า Fed ยังไม่ได้มองเศรษฐกิจสหรัฐจะเกิดภาวะถดถอย Recession ส่วนอัตราการว่างงาน คาดใกล้เคียงเดิมจากรอบก่อน
3.) อัตราเงินเฟ้อปรับเพิ่มปี 2025 ขึ้น 0.2% ที่ 2.7% และปี 2026 +0.1% อยู่ที่ 2.2% และคงปีถัดไป บ่งชี้ประเมินผลกระทบนโยบายกีดกันการค้าเป็นปัจจัยชั่วคราว
4.) ทั้งนี้ Fed ประกาศ QT ชะลอ QT จากเดิม 6 หมื่นล้าน (เหลือ 4 หมื่นบ้านดอลลาร์ต่อเดือน) หลังเริ่มเห็นดัชนีภาวะทางการเงินตึงตัวขึ้น บ่งชี้การให้ความสำคัญต่อทิศทางเศรษฐกิจ
ส่วนการให้สัมภาษณ์ของประธาน Fed Powell : เผยความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจสหรัฐได้เพิ่มขึ้น โดยรวม KSS ประเมินถือว่า Inline ตามที่เราและ MUFG คาด จะสร้างโมเมนตัมบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่ช่วยให้ตลาดหุ้นสหรัฐไม่ผันผวน และบวกต่อหุ้นไทยวันนี้
(*/+) DR : TENCENT รายงานงบ4Q24 ดีกว่าคาด รายได้ดีกว่าคาด 2% ที่ 172.45 bn หนุนจากรายได้จากส่วนดิจิทัลและธุรกิจเกมที่แข็งแกร่งและประกาศเงินปันผลสูงขึ้นเพิ่มขึ้น 32% เป็น 4.50 ต่อหุ้น 41 bn และประกาศแผนซื้อหุ้นคืน โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อ DR อาทิ TENCENT80 วันนี้แนะนำเก็งกำไร
(*) EU CPI : อัตราเงินเฟ้อยุโรป เดือน ก.พ. ชะลอลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 2.3% ต่ำกว่าตลาดคาด 2.4% prev. 2.5% บ่งชี้ธนาคารกลางยุโรปมีความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายทางการเงินระยะต่อไป โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจในยุโรป อาทิ XO SHR MINT IVL
(*) BOJ Meeting : ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับ 0.5% ตามคาด (Inline) โดยตลาดคาด BOJ อาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม รอบ ก.ค. และ รอบ ก.ย. คาดอัตราดอกเบี้ยสิ้นปีอยู่ที่ 1.0% โดย KSS คงมุมมองต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็น Neutral มองยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่หนุนตลาดหุ้น
(*) Indonesia Central bank meeting : ผลประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซีย มีมติ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.75% ถือว่าตามที่ตลาดคาด (Inline) หลังตลาดหุ้นอินโดนีเซียปรับลงแรงช่วงกลางสัปดาห์และเริ่มฟื้นกลับมา *จากความกังวลปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง ฯลฯ และเป็นปัจจัยกดดันหุ้นไทย ที่มีธุรกิจในอินโดนีเซีย อาทิ SCGP : 14% ของรายได้รวม SCC 7%ของรายได้รวม PTTGC 3%ของรายได้รวมBBL 12%ของสินเชื่อรวม KBANK < 5%ของสินเชื่อรวม อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวเริ่มฟื้นตัว และบางบริษัทยังปรับขึ้นต่อยังมองบวก ต่อ KBANK, SCGP, PTTGC โดยรวม KSS ประเมินผลกระทบจากตลาดหุ้นอินโดนีเซียต่อตลาดหุ้นไทยคาดจำกัด มองเป็นเพียงจิตวิทยาลบระยะสั้น
(*) US Bond Yields & Dollar : US Bond Yields ปรับลงหลังประชุม Fed อายุ 2 ปี - 3 bps อยู่ที่ 3.97% เช่นเดียวกับอายุ 10 ปี ปรับลง -3 bps อยู่ที่ 4.23% ส่วน Dollar Index แกว่งตัวแข็งค่ามาที่ 103.2 จุด (มองเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินในสกุลเอเซียอ่อนค่าวันนี้)
(*/+)Oil : ราคาน้ำมันดิบฟื้นเล็กน้อย อิง น้ำมันดิบ Brent +0.31%d-d ปิดที่ USD 70.78/barrel น้ำมันดิบ West Texas +0.39%d-d ปิดที่ USD 67.16/barrel มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTTEP, PTT
What happened in Thailand?
(*/+) SET: SET Index ปรับขึ้น +13.7 จุด (+1.16%) ปิดที่ระดับ 1,189.87 จุด มูลค่าการซื้อขาย 3.70 หมื่นล้านบาท ก่อนประชุม Fed ปรับขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเซีย ยกเว้นญี่ปุ่น ไต้หวัน มาเลเซียที่ที่ปรับลง หุ้นกลุ่มที่หนุนดัชนีหลักๆคือ กลุ่มพลังงาน (PTT, GULF) คาดอานิสงส์เม็ดต่างชาติเพิ่มน้ำหนักหุ้น Big Cap หลักหลังโบรกเกอร์ต่างชาติ Upgrade น้ำหนักหุ้นไทย กลุ่มขนส่ง (AOT) นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มเจอฐาน ขณะที่หุ้นอยู่ในจุด Oversold หลังสะท้อนประเด็นลบไปมาก กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CRC , CPAXT) มองเป็นอีกกลุ่มที่มีโอกาสประโยชน์กรณีรัฐฯรับแนวทางซื้อหนี้ธนาคาร นอกเหนือจากกลุ่มธนาคาร กลุ่ม ICT (ADVANC) ประเมินการทบทวนเกณฑ์ประมูล กสทช. ใหม่ที่ยังมีแนวโน้มหนุนเห็น Upside กำไรจากการประมูล ผสาน เม็ดเงินที่ไหลออกจาก INTUCH ก่อนควบรวม GULF เป็นแรงหนุน กลุ่มที่กดดัชนีคือ กลุ่มโรงพยาบาล (BDMS, BH) BH ขึ้น XD เงินปันผล 3 บาท ส่วน BDMS เกิดจากการขายทำกำไรหลังเป็นกลุ่มแรกๆที่เริ่มฟื้นตัว กลุ่มประกันชีวิต (TLI)
(*/-) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติเป็นภาพไหลออก ขายหุ้น -21.0 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -39.3 ล้านเหรียญฯ Net Short TFEX ที่ -7,336 สัญญา เงินบาทเคลื่อนไหวทรงตัว 33.6 +/- บาท
(*/+) TH Tourism: รัฐทุ่ม 180 ล้าน จัดงานมหกรรม "สงกรานต์สนามหลวง" ระหว่างวันที่ 12-16 เม.ย. คาดหวังเงินสะพัด 4.6 หมื่นลบ. ประเมินมีโอกาสช่วยให้นักท่องเที่ยว เม.ย. 25 มีโมเมนตัมดีขึ้น หลังจากสัปดาห์ล่าสุดเริ่มเห็นฐานที่มีการฟื้นตัวนักท่องเที่ยวรวมทรงตัว ขณะที่นักท่องเที่ยวหลักๆ ฟื้นตัวได้ w-w แล้ว จิตวิทยาบวกต่อหุ้นท่องเที่ยว หุ้นอิงภาคบริการ เน้นหุ้น Deep Value อาทิ AOT CPALL CPAXT MINT
(*/+) Spirits / Beer Advertising: ที่ประชุมสภาโหวตผ่านร่าง พ.รบ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกฮอล์ เนื้อหาสำคัญ คือ การยกเลิกมาตรา 32 ที่ห้ามผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม ประเมินบวกต่อโอกาสเห็นเม็ดเงินโษณาจากกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวเพิ่มขึ้น แต่เน้นลงทุนหุ้นสื่อที่ความเสี่ยงถูก Disrupt ต่ำ อาทิ PLANB นอกจากนี้ จิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่มีการขายสินค้า/ให้บริการเชื่อมโยงเครื่องดื่มแอลกฮอล์ อาทิ BJC CBG
(*/+) Digital Economy: รมว. ดิจิตอลล่าวว่า คาดการณ์ เศรษฐกิจดิจิทัล ปี 2568 พบว่า มูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลโดยรวม จะมีมูลค่า 4.85 ล้านล้านบาท +7.3%y-y โดยการลงทุนจะขยายตัว +9.9%y-y นำโดยการลงทุนภาคเอกชน +10.3%y-y ส่วนการบริโภคเอกชนในด้านดิจิทัล คาด +7.6%y-y การบริโภครัฐฯด้านดิจิทัล คาด +4.3%y-y หลักๆ เป็นการขับเคลื่อนจากกระแส Digital Transformation และการนำ AI เข้ามาต่อยอด ประเมินจิตวิทยาบวกกลุ่มสื่อสาร ADVANC, TRUE และ Digital Tech Consult อาทิ BE8, BBIK
(*/+) Regulatory: 24 มี.ค. ติดตามคณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร วุฒิสภา หารือแนวทางแก้ไขปัญหาการใช้โปรแกรม HFT และชอร์ตเซลหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพตลาดทุน ประเมินสร้างความคาดหวังเชิงบวกต่อ SET ที่ระยะหลังมีความกังวลความผันผวนตลาดมีส่วนจากกลไกดังกล่าวเช่นกัน
(*) Entertainment Complex Roundtable: ในงานเสวนา Roundtable Entertainment Complex "Game Changer for Thailand" ซึ่งเป็นการพูดคุยระหว่างภาครัฐฯ หน่วยงานอิสระเอกชน ประเด็นสำคัญส่วนใหญ่อยู่ที่การนำเสนอข้อคิดเห็นเอกชนเพิ่มเติมจากแผนของรัฐฯ ทั้งนี้ ในส่วนประเด็นหลัก คือ
- รัฐฯมองโครงการสถานบันเทิงครบวงจรเป็นโครงการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ โดยเน้นการบริหารผลบวกเศรษฐกิจ คาดหนุนนักท่องเที่ยวเพิ่มจากฐาน 5-10% และรายได้ต่อหัวนักท่องเที่ยวเป็น 60,000 จาก 40,000 บาท โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการทำสถานที่ท่องเที่ยว Man Made อื่นๆ อาทิ สวนน้ำ สวนสนุก โรงแรม ที่ทำขึ้นควบคู่กับการจำกัดความเสี่ยงจากการที่มีคาสิโนเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ (ไม่เกิน 10% ของพื้นที่) ซึ่งอาจสร้างปัญหาสังคม
- ส่วนความเห็นองค์กรอิสระหลักๆ เน้นไปที่
1.) มุมศรษฐกิจ
- เสนอแนะการทำโครงการในพื้นที่เมืองรอง โดยเน้นเมืองรองที่มี/กำลังจะมีโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงกับเมืองหลัก
- เสนอแนะกลไกควบคุมความเสี่ยงจากการเปิดคาสิโน อาทิ ระบบการเยียวยาหากมีปัญหาสังคมเกิดขึ้นอย่างจริงจังคล้ายสิงคโปร์ เพื่อลดต้นทุนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
- ความเสี่ยงต่อนักท่องเที่ยวจีน ที่รัฐบาลไม่สนับสนุนประชาชนเข้าคาสิโน
2.) อื่นๆ เน้นไปที่ประเด็นที่อยากให้ระมัดระวัง เช่น ความถูกต้องของการเสนอโครงการที่ไม่อยู่ในนโยบายหลักรัฐบาล (เสนอแนะทำประชามติ), การกำกับดูแลคนไทยที่สามารถเข้าคาสิโนได้, ระบบควบคุมการทุจริต, เงื่อนไขต่างๆ ที่กำหนดไว้ต้องมีความเข้มงวด ไม่ให้เกิดการหย่อนเงื่อนไขภายหลัง
เชิงกลยุทธ์ เราประเมิน แม้รัฐฯอาจจะทำการศึกษาข้อเสนอแนะและปรับปรุงเพิ่มเติม อาจเกิดจิตวิทยาลบอ่อนๆต่อหุ้นในธีม Entertainment Complex อย่างไรก็ตาม หากมีการปรับแก้เหมาะสมคาดกระบวนการเดินหน้าได้เร็ว ในท้ายที่สุดเชื่อว่าจะสามารถสร้าง New S Curve ให้เศรษฐกิจไทยได้ เชิงกลยุทธ์ แนะนำทยอยสะสมหากหุ้นอ่อนตัว โดยเฉพาะหุ้นที่มี Deep Value อาทิ AOT หรือมีปัจจัยอื่นหนุน เช่น BTS, VGI ที่มีโอกาสเข้า SET50 แทน GULF และ INTUCH ที่กำลังจะควบรวมกัน
(*) To monitor: ปัจจัยภายในสัปดาห์นี้ ได้แก่
20 มี.ค. GULF INTUCH ซื้อขายวันสุดท้าย ก่อนเข้าสู่กระบวนการควบรวม คาดกลับมาซื้อขายอีกครั้ง 3 เม.ย.
21 มี.ค. FTSE Rebalance มีผล ราคาปิด คาด Net inflow ราว +40 ล้านเหรียญฯ
Standard index (Large-Mid cap)
เข้า : - ออก : EA, IRPC
Small cap
เข้า : CCET, EA, IRPC, SKY, WHART คาดเม็ดเงินเข้าไหลฉลี่ยหุ้น WHART, SKY, TOA, CCET และหากรวมกับหุ้นที่บางส่วน 2-3 บริษัท ที่น่าจะมีการเพิ่มน้ำหนักหุ้นละ +8 ถึง +3 ล้านเหรียญฯ
ออก : BYD, LPN คาดลดน้ำหนักราว -1.5 ถึง -0.5 ล้านเหรียญฯ
Micro cap
เข้า : ADVICE, BYD, KBS, LHSC, LPN, MONO, PCE, SPA, SISB, VIBHA
ออก : FTREIT, JR, LALIN, NTV, NRF, KISS, SMIT, SENA, SGP, SKY, SVOA, TAN, TMT, TTCL, UNIQ, WHART
21-26 มี.ค. รายงานยอดนำเข้า - ส่งออก ก.พ. 25 ยังไม่มีคาด vs prev. 7.9%y-y และ 13.6%y-y
Daily Strategy : KBANK, BA, CBG
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Sideways Up" ผลประชุม Fed หนุนตลาด หลังให้น้ำหนักต่อเศรษฐกิจ ช่วยคลายความกังวลตลาดต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่เงินเฟ้อยุโรป ออกมาต่ำกว่าคาด โดยรวมหนุนจิตวิทยาสภาพคล่องหนุนตลาดหุ้นดีขึ้น ส่วนภายในแรงกดดันมาตรการกีดกันการค้าอยู่ในช่วงปลายแล้ว ประเมิน SET วันนี้แกว่งขึ้นต่อ หุ้นนำ หุ้นวงจรดอกเบี้ยขาลงหนุน หุ้นได้ประโยชน์การเปิดให้โฆษณาเครื่องดื่มแอลกฮอล์ (PLANB, CBG, BJC) หุ้นอิงยุโรปและจีน ผสาน 10 Deep Value (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT)
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (BTS, VGI, BJC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (BA, AAV, GULF, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
10 หุ้น Deep Value ที่มีความมั่นคงระยะ 2-3ปีข้างหน้า และอยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT)
• MAR25 Stock Picks: AMATA, AP, BA, BH, BTS, CPALL, MTC
• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
Strategy Update :SET 50/100 interim Rebalance
การเปลี่ยนแปลง SET50/SET100 ระหว่างกาล Update สืบเนื่องจากกรณี GULF, INTUCH จะมีการควบรวมเป็นบริษัทใหม่ คือ GULF Development ซึ่งจะเข้าตลาดวันที่ 3 เม.ย. ทำให้มีการนำหุ้นเข้า SET50/SET100 ใหม่ในระหว่างกาล ดัชนีละ 1บริษัท KSS ได้ประเมินหุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 และ SET100 ใหม่ผลจากประเด็นนี้
SET50 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่ระหว่างกาล Rebalance สิ้นวันที่ 2 เมย คือ VGI (โอกาสเข้า 95%)
SET100 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่จะแข่งกันระหว่าง MOSHI (โอกาส 50%), THCOM (โอกาส 30%), KAMART (โอกาส 20%)
กลยุทธ์ : เราคาดหุ้นที่ถูกนำเข้า SET50/100 จะถูกเพิ่มน้ำหนักจาก Passive Fund เป็นบวกต่อราคาหุ้น โดยในส่วน SET 50 เราแนะนำเก็งกำไร VGI และ BTS บ.แม่ (ถือหุ้น 57.1%) ส่วน SET100 แนะนำเก็งกำไร MOSHI
Strategy Update : ThaiESG Plays
กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดตั้ง กองทุน ThaiESG กองที่ 2 คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยมีวงเงินประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับกองทุน LTF ที่ครบอายุไปแล้ว ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนและสิทธิประโยชน์ยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งอาจแตกต่างจากกองทุน ThaiESG เดิม แต่ยังคงเน้นลงทุนในประเทศ โดยเราประเมินว่าการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจะช่วยชะลอแรงขายจาก LTF เดิมและเสริมสภาพคล่องใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่ถือ LTF ระยะยาว ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 1,620-1,640 จุด
เรามองปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามซึ่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดในระยะกลางถึงยาว ได้แก่ การขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากมีการเพิ่มเพดานลดหย่อนของ ThaiESG จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท เท่ากับ LTF เดิม จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดมากขึ้น อีกทั้งยังมีการหารือเรื่อง การลงทุนในหุ้นไทย 100% และ การขยายขอบเขตของหุ้น ESG เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนและกระจายความเสี่ยง KSS มองว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการขาดเงินทุนระยะยาวจาก LTF ที่หมดสิทธิประโยชน์ หากภาครัฐมีมาตรการชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ จะช่วยให้ SET ค่อย ๆ ฟื้นตัว
KSS ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการสะสมหุ้น เนื่องจาก SET ยังอยู่ใน Deep Value Zone โดยมีค่า PER ปี 2568 อยู่ที่ 13.5 เท่า และหากไม่นับรวมหุ้น DELTA ค่า PER จะอยู่ที่เพียง 11.5 เท่า ปัจจุบันมีหุ้นที่เข้าข่ายการลงทุนระยะยาว ได้แก่ 300 บริษัทที่มี PER ต่ำกว่า 12 เท่า, 435 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูงกว่า 3%, 548 บริษัทที่มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และ 145 บริษัทที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามข้อ KSS แนะนำ 7 หุ้น Deep Value ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ได้แก่ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP และ HMPRO พร้อมกันนี้ยังแนะนำอีก 5 บริษัท ที่เข้าเงื่อนไข PER < 12X, PBV < 1X และ Dividend Yield > 3% ในกลุ่มธนาคาร KBANK, KTB, BBL ผสาน อสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มมีปัจจัยหนุนเชิงบวก เช่น AP และ SIRI
Strategy Update : Summer Plays
กระแสการเก็งกำไรในหุ้นธีม "หน้าร้อน" กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยาเผยว่าในปีนี้ จะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนในไทยสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน ก.พ. 25 - กลางเดือน พ.ค. 25 ภายใต้คาดการณ์กรมอุตุนิยมวิทยาปี 2025F คาดอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบน 35 – 36 องศาเซลเซียส แม้จะต่ำกว่าฤดูร้อนปี 2024 อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 37.5 องศาเซลเซียส แต่ยังใกล้เคียงค่าเฉลี่ยฤดูร้อนปกติที่ 35.4 องศาเซลเซียส แต่จุดที่น่าสนใจคือ ราคาหุ้นหลายตัวมี Deep Discounts จากภาวะตลาดที่ผันผวน สร้างโอกาสระยะยาวด้วยอีกทางหนึ่ง ทีมกลยุทธ์คาด KSS อากาศที่ร้อนสูงขึ้น จะหนุน
1.) การบริโภคเครื่องดื่มที่มีความคึกคักขึ้น
2.) ประชาชนจะมีความต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งพัดลม, แอร์ เพื่อบรรเทาผลกระทบอากาศร้อน
3.) การทำงานก่อสร้างจะเร่งส่งมอบได้มากกว่าช่วงหน้าฝน
4.) การท่องเที่ยวทะเลที่เป็นจุดเด่นของไทยมักคึกคัก
ภาพรวมดังกล่าวที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มักหนุนกระแสหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์อาทิ กลุ่ม มีภาพถูกเก็งกำไรในช่วงฤดูร้อน อาทิ กลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มค้าปลีกที่เน้นขายเครื่องใช้ไฟฟ้าบรรเทาอากาศร้อน กลุ่มรับเหมา และกลุ่มโรงแรม อิงผลการศึกษาผลตอบแทนย้อนหลัง 9 ปี (ไม่รวมปีที่เผชิญ Covid ในปี 2020 ที่ผลตอบแทนรายกลุ่มกระทบความเสี่ยงตลาด) ช่วงเวลาที่ดีสุดในการลงทุน คือ การลงทุนในช่วงเข้าสู่ฤดูร้อน และขายทำกำไรหลังจากนั้น 1 เดือน โดยช่วงปัจจุบัน คือ ควรเริ่มสะสมหุ้นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของ ก.พ. 25 และขายทำกำไรช่วงปลาย มี.ค. 25 - ต้น เม.ย. 25 โดยกลุ่มโรงแรม (ความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 87.5% ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.7%) ตามด้วยกลุ่มรับเหมา (62.5%, 1.6%) กลุ่มค้าปลีก (50%, 1.2%) สูงกว่า SET (50%, 1.1%) ขณะที่ภาพรายบริษัท คือ CRC(100%, 5.3%) ICHI (87.5%, 3.7%) SAPPE (75%, 7.2%) CENTEL (75%, 4.4%) MINT (62.5%, 3.3%) GLOBAL (62.5%, 2.3%) HMPRO (50%, 4.9%) DOHOME (50%, 2.3%)
ในเชิงกลยุทธ์ Summer Plays ปี 2025F KSS แนะนำลงทุนเน้นไปที่กลุ่มที่มีหุ้นอยู่ในโซนฐาน Valuation ไม่แพง ได้แก่ CRC(TP Con-40.6) ICHI (TP25F-17) SAPPE (TP25F-70) CENTEL (TP25F-40) MINT(TP25F-38) HMPRO (TP25F-13.5) และหุ้น Turn around ที่คาดได้ประโยชน์จากหน้าร้อน คือ หุ้นเครื่องดื่ม คือ MALEE(TP25F – 17.7)
Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง
1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"
2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก
3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก
4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ
เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว
Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
Strategy Update: FTSE Rebalance
FTSE GEIS Semi-Annual Review Update มีผลราคาปิด 21 มี.ค. มีหุ้นไทย เข้า/ออก ดังนี้
Standard index (Large-Mid cap)
เข้า : - ออก : EA, IRPC
Small cap
เข้า : CCET, EA, IRPC, SKY, WHART
ออก : BYD, LPN
Micro cap
เข้า : ADVICE, BYD, KBS, LHSC, LPN, MONO, PCE, SPA, SISB, VIBHA
ออก : FTREIT, JR, LALIN, NTV, NRF, KISS, SMIT, SENA, SGP, SKY, SVOA, TAN, TMT, TTCL, UNIQ, WHART
• BA (Buy, TP25F-29.75): เราคงคำแนะนำ Buy และปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย (TP25F) เป็น 29.75 บาท (เดิม 28.75 บาท) จากการปรับเพิ่มกำไรปี 2025F-26F สะท้อนแนวโน้มราคาตั๋วเฉลี่ยและอัตราบรรทุกผู้โดยสารสูงกว่าคาด คาดกำไรสุทธิปี 2025F-26F โตต่อเนื่อง +10%yy และ +8%yy ตามลำดับ โดย BA มีจุดเด่นจากการครองเส้นทางบินหลัก (เข้า-ออกสมุย) และพึ่งพิงนักท่องเที่ยวจีนต่ำ
• SIRI (Buy, TP25F-2.34): มุมมอง slightly positive ต่อ average take-up rate โครงการ condo เปิดใหม่ 8 โครงการ มูลค่ารวม 10.7 พันลบ. ที่ทำไป 38% ซึ่งถือว่าค่อนข้างดี โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า โครงการที่มี demand ต่างชาติ เช่นภูเก็ต, พัทยา และโครงการกลุ่ม ready to move ยังมี take-up rate ที่สูงกว่าโครงการอื่น สำหรับเป้า 1Q25F presale ที่ 10.0 พันลบ. คาดทำได้ตามเป้า / มากกว่าเป้า ในขณะที่เป้า 1Q25F transfer ที่ 7.5 พันลบ. น่าจะทำได้เช่นกัน เรามอง 1Q25F เด่นที่ presale ในขณะที่กำไรสุทธิคาดเด่นใน 2Q25F เป็นต้นไป โดยคง Norm. profit 2025F ที่ 5.25 พันลบ. (+6% y-y) ซึ่งมีโอกาสทำ record high เราคง TP25F ที่ 2.34 บาท คง BUY และเป็น top pick จากจุดเด่นเรื่องการเป็น first mover ทั้งด้าน product design, จับ trend ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไวได้ดี และกลยุทธ์สร้าง value-added ในทำเลที่มีการโตสูง ซึ่งเป็นส่วนผลักดันให้ 2025F Norm. profit มีโอกาสทำ record high ได้
• DUSIT (Unrated): We are positive on DUSIT following the recent analyst meeting. This is premised on (i) Dusit Central Park will be a key growth driver for DUSIT from FY25 onwards, as full-year contribution from Dusit Thani Bangkok hotel, transfer of The Dusit Residence in 4Q25, which will generate cash flow to reduce debt, and (ii) attractive valuation at 10x FY25F PER (vs 18x of hotel's peers) and dropping to 4x on FY26F numbers, which supports our optimistic outlook.
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI