ติดสปริงเล็กๆ ให้ SET INDEX
TOP PICK CCET / PLANB / JMART
EXTERNAL FACTOR
FED ไม่เซอร์ไพร์ส คงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 4.5% ตามตลาดคาดการณ์ นอกจากนี้ FEDชะลอการทำ QT หวังลดผลกระทบต่อตลาดการเงิน
ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ในระยะถัดไป DOT PLOT คาดว่าจะเห็น FED ลดดอกเบี้ยในปี 2568 ราว 2 ครั้ง (0.5% สู่ระดับ 4.0%)
ความคาดหวังทิศทางดอกเบี้ยขาลงในปีนี้ หนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นในช่วงสั้น แต่ในระยะยาวยังต้องระวังความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะ STAGFLATION จากผลกระทบนโยบายการค้าสหัฐฯ ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ซึ่งอาจผลักให้เงินเฟ้อขยับตัวสูงขึ้น พร้อมกับกดดันเศรษฐกิจชะลอตัวลงได้
INTERNAL FACTOR
5 เดือนแห่งความสูญสลาย โดย SET INDEX ลงเร็วและแรงกว่า 21% จาก 1506 จุด(18/10/24) ปัจจุบันเหลือ 1189 จุด และถ้าตัด DELTA ออกเหลือ 1118 จุด แรงขายหลักๆ มาจาก PROGRAM TRADING สูงถึง -7.1 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตามเริ่มเห็นการชะลอ การลดลงของ SET จากต่างชาติที่สลับมาซื้อสุทธิในบางวัน มีโบรกเกอร์ต่างชาติเริ่มมีมุมมองบวกกับหุ้นไทยมากขึ้น และในเชิงTECHNICAL เห็น SET ตัดเส้น EMA 10 วัน ที่ชัดเจนในรอบ 3 เดือน อาจทำให้PROGRAM TRADING ชะลอการขาย และกลับมาซื้อเพิ่มขึ้นได้
INVESTMENT STRATEGY
SET ย่อตัวลงมาลึกเกินไปที่ 1200 จุด มี PBV68F 1.15 เท่า (-2SD) ต่ำสุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และ SET มีDIVIDEND YIELD 68F สูง 4.3% (+1SD) สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
มุมของ PER25F ก็ไม่แพงอย่างที่ทุกคนคิด เพียง 13.4 เท่า ซึ่งถูกกว่าตลาดหุ้นโลกที่มี PER25F 18 เท่า และน่าสนใจกว่าจลาดหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป รวมถึงกลุ่มประเทศเอเชียเหนือที่มี PER25F สูงราว 15-20 เท่า แนะนำหุ้นปันผลเด่น PBV ถูก เสริมพอร์ต AP, SPALI, SCC, PTTEP เป็นต้น TOPPICK วันนี้เลือกหุ้น HIGH BETAหวังฟื้นเร็วกว่าตลาด CCET, PLANB, JMART
FED ไม่เซอร์ไพร์ส ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยปีนี้ 2 ครั้ง (เหมือนเดิม)
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นราว +0.6% ถึง +1.4% หลัง FED ไม่เซอร์ไพร์ส คงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 4.5% ตามตลาดคาดการณ์ นอกจากนี้FED ยังปรับลดเพดานการไถ่ถอนพันธบัตรรัฐบาล (ชะลอการทำ QT) จาก 25,000ล้านดอลลาร์/เดือน สู่ระดับ 5,000 ล้านดอลลาร์/เดือน เริ่ม เม.ย. นี้ หวังลดผลกระทบต่อตลาดการเงิน
ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ในระยะถัดไป DOT PLOT คาดว่าจะเห็น FED ลดดอกเบี้ยในปี 2568 ราว 2 ครั้ง(0.5% สู่ระดับ 4.0%), ปี 2569 ราว 2 ครั้ง (0.5% สู่ระดับ 3.5%), ปี 2570 ราว 1 ครั้ง (0.25% สู่ระดับ 3.25%)ส่วน FEDWATCH TOOL คาด FED จะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือน มิ.ย. นี้ด้วยความน่าจะเป็น 57%
นอกจากนี้ FED ปรับคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญๆ ดังนี้
• ปรับลดคาดการณ์ GDP GROWTH สหรัฐฯ ในปี 2568, 2569 และ 2570 อยู่ที่ระดับ +1.7% (เดิม2.1%), +1.8% (เดิม 2.0%) และ +1.8% (เดิม 1.9%) ตามลำดับ
• ปรับเพิ่มคาดการณ์ CORE PCE สหรัฐฯ ในปี 2568 อยู่ที่ระดับ 2.8% (เดิม 2.5%) ส่วนปี 2569 และ2570 คาดขยายตัว 2.2% และ 2.0% ตามลำดับ (เหมือนเดิม)
• ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการว่างงานสหรัฐฯ ในปี 2568 อยู่ที่ระดับ +4.4% (เดิม 4.3%) ส่วนปี 2569และ 2570 คาด 4.3% (เหมือนเดิม)
สรุป ความคาดหวังทิศทางดอกเบี้ยขาลงในปีนี้ หนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นในช่วงสั้น แต่ในระยะยาวยังต้องระวังความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะ STAGFLATION จากผลกระทบนโยบายการค้าสหัฐฯ ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ซึ่งอาจผลักให้เงินเฟ้อขยับตัวสูงขึ้น พร้อมกับกดดันเศรษฐกิจชะลอตัวลงได้
5 เดือนแห่งมูลค่าที่สูญหาย ของตลาดหุ้นไทย
5 เดือนแห่งมูลค่าที่สูญหาย โดย SET INDEX ลงเร็วและแรงกว่า 21% จาก 1506 จุด (18/10/24) ปัจจุบันเหลือ 1189จุด และถ้าตัด DELTA ออกเหลือ 1118 จุด
แรงขายหลักๆ มาจาก PROGRAM TRADING สูงถึง -7.1 หมื่นล้านบาท กดดันมูลค่าซื้อขายรายย่อยลดลงจากระดับเกิน 35% ของมูลค่าซื้อขายรวม เหลือไม่ถึง 30% ของมูลค่าซื้อขายรวม
อย่างไรก็ตามเริ่มเห็นการชะลอ การลดลงของ SET จากต่างชาติที่สลับมาซื้อสุทธิในบางวัน มีโบรกเกอร์ต่างชาติบางแห่งเริ่มมีมุมมองบวกกับหุ้นไทยมากขึ้น และในเชิง TECHNICAL เห็น SET ตัดเส้น EMA 10 วัน ที่ชัดเจนในรอบ 3เดือน อาจทำให้ PROGRAM TRADING ชะลอการขาย และกลับมาซื้อเพิ่มขึ้นได้
ตลาดหุ้นไทยมี VALUATION ถูกมาก ในเชิงเปรียบเทียบ น่าทยอยสะสมหุ้นปันผลดี พื้นฐานแกร่งSET INDEX ย่อตัวลงมา 3 ปีติด และปีนี้ผ่านมา 3เดือนกว่า ก็ปรับตัวลงมาแรงเกิน 15% อยู่บริเวณ +-1200 จุดถือว่าย่อตัวลงมาลึกเกินไปมาก เพราะในมุม VALUATION SET INDEX มี PBV68F 1.15 เท่า (-2SD) และ SET มีDIVIDEND YIELD 68F สูง 4.3% (+1SD)
ทั้ง PBV ของ SET ถือว่าต่ำสุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก (เทียบกับ MSCI WORLD INDEX มี PBV สูงถึง 2.88 เท่า)และ DIVIDEND YIELD ของ SET ก็สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก (เทียบกับ MSCI WORLD INDEX มี DIVIDENDYIELD 2.0%)ขณะที่ในมุมของ PER25F ไม่แพงอย่างที่ทุกคนคิด เพียง 13.4 เท่าซึ่งถูกกว่าตลาดหุ้นโลกที่มี PER25F 18 เท่า และน่าสนใจกว่าจลาดหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป รวมถึงกลุ่มประเทศเอเชียเหนือที่มี PER25F สูงราว 15-20 เท่า
ซึ่งในอนาคตอันใกล้ที่รัฐบาลและตลาดหลักทรัพย์ เตรียมเร่งออกมาตการต่างๆ เพื่อเรียกความเชื่อมั่น อาทิ โยกLTF เป็น THAIESGX, เพิ่มวงเงิน THAIESG ช่วงสั้นๆ ถือเป็นมาตการที่ดี และมาในเวลาถูกที่ถูกต้อง ซึ่งน่าจะดันให้ดัชนีกลับเป็นขาขึ้นได้ไม่ยากนัก
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้นปันผลเด่นน่าทยอยสะสมที่มี PBV ถูก เสริมพอร์ตในเชิงรับ อาทิ AP, SPALI, SCC,PTTEP เป็นต้น และวันนี้เลือกหุ้น HIGH BETA หวังฟื้นเร็กกว่าตลาด อย่าง CCET, PLANB, JMART เป็น TOPPICK
Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์