สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 20 มีนาคม 2568)--- บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ ออกบทวิเคราะห์ Thai Market Compass ระบุว่า ปรับลดเป้าหมายดัชนี SET Index สิ้นปีลงเหลือ 1,410 จาก 1,590 จุด โดยลด P/E เป้าหมายลงเหลือ 15.5 เท่า (-0.5SD) และปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ลงเล็กน้อยเป็น 91.20 บาท เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยลบภายในประเทศ (การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประเด็นทางการเมือง) รวมถึงปัจจัยเสี่ยงจากภายนอก (สงครามการค้า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว) อย่างไรก็ตาม ในเชิงปัจจัยรายหลักทรัพย์ (bottom-up) เราเห็นว่าอัตราผลตอบแทนกระแสเงินสดอิสระ (FCF Yield) ที่เพิ่มขึ้น และช่องว่างระหว่างอัตราผลตอบแทนจากกำไรและอัตราดอกเบี้ยพันธบัตร (Earnings Yield Gap) ที่อยู่ในระดับสูงเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ แม้ว่าภาพรวมแนวโน้มกำไรจะดูซบเซาก็ตาม
เศรษฐกิจไทยชะลอตัวต่อเนื่อง
เรามองว่าเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญแรงกดดันหลายด้าน โดยเฉพาะจากภายในประเทศ เรากังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการจ้างงานที่อ่อนแอ และปัญหาหนี้สินที่ยืดเยื้อของธุรกิจ SME และภาคครัวเรือน จำนวนผู้มีงานทำในประเทศไทยเริ่มลดลง ขณะที่การเติบโตของค่าจ้างชะลอตัว รวมถึงค่าล่วงเวลา เรามองว่ารายได้ในภาคแรงงานโดยรวมเริ่มลดลงในไตรมาสที่ผ่านมา นอกจากนี้ การลดภาระหนี้ของภาคครัวเรือน และความไม่เต็มใจในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารจะส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศและการลงทุนภาคเอกชน (ที่อยู่อาศัย ยานยนต์) ชะลอตัวลงอีก ขณะที่ปัจจัยภายนอก (เช่น ภาษีศุลกากร และการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว) ยังคงเป็นอุปสรรคต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจยังคงกดดันตลาด แม้ว่าเราจะไม่คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต่อรัฐบาลก็ตาม
กระแสเงินสดแข็งแกร่ง แม้กำไรต่อหุ้นเติบโตจำกัด
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคจะดูท้าทาย แต่หากพิจารณาในเชิงกระแสเงินสดและมูลค่าหุ้น ตลาดหุ้นไทยยังคงดูน่าสนใจ แม้กำไรปกติของ SET ในปี 68 คาดว่าจะทรงตัว แต่บริษัทจดทะเบียนไทยสามารถสร้างกระแสเงินสดอิสระ (FCF) ได้มากขึ้น โดยหลายกลุ่มธุรกิจมี FCF Yield สูงกว่า 10% ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว (15%) วัสดุก่อสร้าง (14%) พลังงาน (13%) และอาหาร (12%) ขณะเดียวกัน บริษัทเหล่านี้ยังมีแนวโน้มคืนเงินสดให้กับผู้ถือหุ้นมากขึ้น ผ่านการจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้นและการซื้อหุ้นคืน ด้านมูลค่าตลาด SET มี Earnings Yield Gap ที่ 6.2% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต เรามองว่า PTTEP, SCCC, TOA, TTW, TASCO และ OSP เป็นหุ้นที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนจากกระแสเงินสด (FCF) ขณะที่หุ้นนอกการวิเคราะห์ (non-coverage) ที่เข้าเกณฑ์ของเราคือ OR, M, QH และ PLANB (มี FCF Yield สูง และหนี้ต่ำ)
คำแนะนำการลงทุน
เราได้ปรับเปลี่ยนคำแนะนำการลงทุนบางส่วน โดยถอด CK (ต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น) และ AAV (การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนที่ชะลอตัว และการแข่งขันที่สูงขึ้น) ออกจากรายการ อย่างไรก็ตาม เรายังคงเก็บ TLI, TASCO, SKY และ CCET ไว้ในรายการ เนื่องจากมองว่าพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ เราเพิ่ม PR9 เป็นหุ้นที่น่าสนใจในกลุ่มโรงพยาบาล หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลงแรง โดยมองว่าแนวโน้มของ PR9 ยังคงแข็งแกร่งจากการเติบโตของผู้ป่วยต่างชาติ นอกจากนี้ เรายังเพิ่ม SPRC เป็น Tactical Buy เนื่องจากราคาหุ้นยังอยู่ใกล้จุดต่ำสุด แม้ว่าค่าการกลั่น (GRM) จะปรับตัวขึ้นกลับสู่ช่วงปกติที่ 4-6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล