อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ได้เสนอให้รัฐบาลไทยจัดตั้ง 'ธนาคารหนี้เสีย' (bad bank) เพื่อซื้อและปรับโครงสร้างหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) จากธนาคาร เพื่อช่วยเหลือผู้กู้ และเพิ่มพื้นที่ให้ธนาคารสามารถปล่อยกู้ได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการเสนอว่าเงินทุนสำหรับบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMCs) อาจมาจากภาคเอกชน
มุมมองของเรา :
ระดับหนี้เสียที่เห็นในปัจจุบันไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ธนาคารงดการปล่อยกู้ใหม่ โดยเฉพาะกับสินเชื่อรายย่อย แต่เป็นเพราะผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดการณ์สำหรับบางกลุ่ม (เนื่องจากรายได้ต่ำของครัวเรือน/SMEs หรือการลดลงของมูลค่าหลักประกัน) สูงกว่ากำไรจากดอกเบี้ยที่คาดว่าจะได้รับ ไม่เหมือนในช่วงวิกฤตปี 1997 งบดุลของธนาคารในปัจจุบันค่อนข้างแข็งแกร่ง (เช่น มีฐานเงินทุนสูงด้วยอัตราส่วน BIS 20%, coverage ratio สูงกว่า 100%, สภาพคล่องที่มากพอด้วยอัตราส่วน LCR 213%) พร้อมเครื่องมือที่ทันสมัยกว่าในการจัดการกับความเสี่ยงด้านเครดิต (เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ และกรอบกฎระเบียบเช่น Basel และมาตรฐานการบัญชี IFRS9) เนื่องจากงบดุลไม่ใช่ข้อจำกัด การกำจัดหนี้เสียจึงไม่น่าจะกระตุ้นให้ธนาคารปล่อยกู้มากขึ้น
นอกจากนี้ ธนาคารมีช่องทางที่เพียงพอในการระบายหนี้เสียอยู่แล้ว ประการแรก ธนาคารสามารถตัดหนี้สูญได้ (แม้จะมีกฎทางบัญชีบางประการ) โดยไม่กระทบกำไรสุทธิ เนื่องจากมี coverage ratios สูงและ credit cost ที่จัดการได้ ประการที่สอง มีบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMCs) หลายแห่งในตลาดที่ซื้อหนี้เสียจำนวนมากจากธนาคารทุกปี ตัวอย่างเช่น BAM ซึ่งเป็น AMC ที่ใหญ่ที่สุดที่ดำเนินการเกี่ยวกับ NPLs ที่มีหลักประกันเป็นหลัก เข้าร่วมการประมูล NPL รวมมูลค่า 2.87 แสนล้านบาท ในปีที่แล้วเพียงรายเดียว ซึ่งถือว่าสูงเมื่อพิจารณาว่ามียอดคงค้าง NPL เพียง 4.99 แสนล้านบาทในช่วงเดียวกัน ประการที่สาม มีการจัดตั้ง AMCs ใหม่ในปีที่แล้ว (ส่วนใหญ่เป็นกิจการร่วมค้า 50:50 ระหว่าง AMCs กับธนาคาร) โดยได้รับการสนับสนุนจาก ธปท. เพื่อให้ธนาคารมีทางเลือกมากขึ้นในการเพิ่มคุณภาพงบดุลของตน ดังนั้น แม้ว่าหนี้เสียจะเป็นข้อจำกัด การกำจัดมันออกจากงบดุลก็ไม่น่าจะยาก
สุดท้าย หากรัฐบาลผลักดันแนวคิดนี้ ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดกับธนาคารจะขึ้นอยู่กับรายละเอียดของข้อเสนอ หากรัฐบาลจัดตั้ง AMC และดำเนินการซื้อ NPLs ในตลาด อาจทำให้ราคาของ NPLs สูงขึ้น ส่งผลให้อัตราการคืนทุนสูงขึ้นสำหรับธนาคาร อย่างไรก็ตาม หาก AMC ที่ตั้งขึ้นใหม่มีวาระเช่น มุ่งเป้าไปที่ผู้กู้เฉพาะกลุ่ม ราคาอาจต่ำกว่าปกติ ส่งผลให้อัตราการคืนทุนต่ำลง ในกรณีที่แย่ที่สุดซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้น รัฐบาลอาจอนุญาตให้ผู้กู้เข้าร่วม AMCs โดยสมัครใจ ซึ่งก่อให้เกิดประเด็นความเสี่ยงทางศีลธรรม (moral hazard) ที่อาจสูญเสียสินเชื่อบางส่วนที่ไม่ใช่ NPL ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อภาคธนาคาร
เนื่องจาก ROE ที่ต่ำของ AMCs ในอุตสาหกรรมในขณะนี้ (ROE ของ BAM ปีที่แล้วอยู่ที่ 3.6% เป็นต้น) ทำให้เรามองว่าภาคธุรกิจไม่น่าให้ความสนใจในข้อเสนอนี้ ซึ่งทำให้รัฐบาลมีความท้าทายมากขึ้นในการผลักดันข้อตกลงนี้ ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ KTB และ TTB โดยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 28.00 และ 2.30 บาท