Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.ทิสโก้ : สแกนหาหุ้นปันผลดีราคาถูก โอกาสทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะกลาง-ยาว

514

 

STRATEGY : Theme Play : หุ้นปันผลดีราคาถูกน่าเก็บเข้าพอร์ต

 

ปัจจัยที่น่าติดตามในช่วงครึ่งเดือนหลัง คือ การประชุม 3 ธนาคารกลางสำคัญ (FED 18-19 มี.ค., BOJ 18-19 มี.ค., BOE 20 มี.ค.) เราคาดว่าทั้ง 3 ธนาคารกลางจะคงดอกเบี้ยนโยบายตามเดิม โดยประเด็นที่ต้องติดตามมากที่สุด คือ ประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจใหม่และ Dot Plot ของ FED ว่าจะเปลี่ยนแปลงจากครั้งก่อนหรือไม่ โดยหาก FED ส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 ครั้งอาจสะท้อนมุมมองว่า FED ให้น้ำหนักกับแนวโน้มเศรษฐกิจมากขึ้น อย่างไรก็ดีเรายังคงมุมมอง FED มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ 2 ครั้ง vs ตลาดประเมิน 3 ครั้ง

 

 


เรามองตลาดอาจกังวลความเสี่ยง Recession มากเกินไป แม้ตัวแบบจำลอง GDPNow ของ FED สาขาแอตแลนตาล่าสุดบ่งชี้ตัวเลข GDP ไตรมาส 1/2025 ติดลบมากกว่าระดับ -2% แต่มีสาเหตุหลักมาจากการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้นมาก ส่วนหนึ่งมาจากความกังวลการขึ้นภาษีของทรัมป์จึงทำให้มีการเร่งนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าเพื่อการบริโภคจำนวนมาก นอกจากนี้หากติดตามเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ อื่น ๆ ที่สำคัญทั้ง 4 ด้าน อาทิ (1) การจ้างงานนอกภาคเกษตร (2) รายได้ส่วนบุคคลที่แท้จริง (3) ภาคการผลิต และ (4) ยอดค้าปลีก จะพบว่าโอกาสการเกิด Recession ในปัจจุบันยังถือว่าจำกัดมาก

ในช่วงครึ่งแรกเดือน มี.ค. มี 2 มาตรการสำคัญที่ภาครัฐออกมา คือ (1) การแจกเงินหมื่นเฟส 3 และ (2) การออกกองทุน TESGX อย่างไรก็ดีภาพรวมทั้ง 2 มาตรการยังมีน้ำหนักเชิงบวกต่อตลาดค่อนข้างน้อย เนื่องจากเงินที่แจกในแต่ละเฟสลดน้อยลงเรื่อย ๆ และการแจกเงินในเฟสแรกที่สูงถึง 1.45 แสนล้านบาทไม่เห็นตัวเลขการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาส 4/2024 ขยายตัวเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญเลยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

สำหรับการออกกองทุน TESGX ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีทั้งเงินที่โยกจากกองทุน LTF ที่ครบกำหนดไถ่ถอนและเงินลงทุนใหม่ไหลเข้าสู่ตลาดในช่วงเดือน พ.ค. - มิ.ย. แต่ด้วยเงื่อนไขที่ต้องโอนเงินจากกองทุน LTF ทั้งหมดที่มีอยู่ (ไม่สามารถเลือกโอนบางส่วนได้) อาจเป็นข้อจำกัดให้คนเข้าร่วมน้อย นอกจากนี้ กองทุน TESGX จะมีเงื่อนไขให้ลงทุนหุ้นเป็นสัดส่วนใหญ่ที่ 65% ซึ่งเป็นช่วงท้าทายความรู้สึกนักลงทุนอย่างมากในสภาวะหุ้นไทยที่ตกต่ำในปัจจุบัน ส่วนเงินใหม่ที่จะไหลเข้าซื้อกองทุน TESGX ในช่วงเดือน พ.ค. - มิ.ย. 2025 เราคาดจะดึงได้อย่างมากราว 1-1.5 หมื่นล้านบาท (อิงจากกองทุน SSFX ที่เคยให้ลดหย่อนภาษี 2 แสนบาทสำหรับผู้ซื้อในช่วงเดือน เม.ย. - มิ.ย. 2020 มีเม็ดเงินไหลเข้าราว 9 พันล้านบาท)

ภาวะตลาดปัจจุบันยังมีความผันผวนสูงจากปัจจัยมหภาคจากต่างประเทศ ขณะที่เรายังคงมุมมองการประเมินมูลค่าหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำและมีความน่าสนใจมากสำหรับการลงทุนระยะกลางถึงยาว ดังนั้นเราจึงเน้นธีมลงทุนระยะกลาง-ยาว เช่น หุ้นลงทุนแบบ DCA แนะนำ ADVANC, BDMS, BEM, BJC, KTB และ หุ้นปันผลน่าทยอยสะสมจากเกณฑ์คัดเลือกที่กำหนด แนะนำ AP, DMT, ICHI, KTB, MEGA, PTT, SPALI, TASCO

 

 

คาด 3 ธนาคารกลางสำคัญคงดอกเบี้ยในการประชุมครึ่งเดือนหลัง
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED), ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะมีการประชุมในวันที่ 18-19 มี.ค., 18-19 มี.ค. และ 20 มี.ค. ตามลำดับ เราและตลาดคาดการณ์ว่าทั้ง 3 ธนาคารดังกล่าวจะคงดอกเบี้ยนโยบายตามเดิม โดยการประชุม FED ครั้งนี้ต้องติดตามประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจใหม่และ Dot Plot ว่าจะเปลี่ยนแปลงจากครั้งก่อนหรือไม่ที่ FED ส่งสัญญาณจะปรับลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ โดยหาก FED ส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้เพิ่มขึ้นอาจสะท้อนมุมมองว่า FED ที่ให้น้ำหนักกับแนวโน้มเศรษฐกิจมากขึ้น อย่างไรก็ดี เรามองการเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีไปแล้ว รอติดตามพัฒนาการเงินเฟ้อและผลกระทบทางเศรษฐกิจจากความไม่แน่นอนของนโยบายการขึ้นภาษีการค้า

 

มองตลาดอาจกังวลความเสี่ยง Recession มากเกินไป
สำหรับความกังวลของตลาดเกี่ยวกับภาวะถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังตัวแบบจำลอง GDPNow ของ FED สาขาแอตแลนตาล่าสุดบ่งชี้ตัวเลข GDP ไตรมาส 1/2025 ติดลบมากกว่าระดับ -2% อย่างไรก็ดีมีสาเหตุหลักมาจากการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้นมาก ส่วนหนึ่งมาจากความกังวลการขึ้นภาษีของทรัมป์จึงทำให้มีการเร่งนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าเพื่อการบริโภค ทำให้ดุลการค้าติดลบมากกว่า -6% ของ GDP นอกจากนี้หากติดตามเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญทั้ง 4 ด้าน อาทิ (1) การจ้างงานนอกภาคเกษตร (2) รายได้ส่วนบุคคลที่แท้จริง (3) ภาคการผลิต และ (4) ยอดค้าปลีก จะพบว่าโอกาสการเกิด Recession ในปัจจุบันยังถือว่าจำกัดมาก

 

มาตรการภาครัฐที่ทยอยออกมาตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. ยังมีน้ำหนักเชิงบวกต่อตลาดน้อย
ในช่วงครึ่งแรกเดือน มี.ค. มี 2 มาตรการสำคัญที่ภาครัฐออกมา คือ (1) การแจกเงินหมื่นเฟส 3 และ (2) การออกกองทุน TESGX อย่างไรก็ดีภาพรวมทั้ง 2 มาตรการยังมีน้ำหนักเชิงบวกต่อตลาดค่อนข้างน้อย สำหรับการแจกเงินหมื่นของรัฐบาลที่มีเป้าหมายหลักเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยผ่านการบริโภคภายในประเทศ แต่หากพิจารณาจากตัวเลขการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัว +3.4% YoY ในไตรมาส 4/2024 vs +3.3% ในไตรมาสก่อนหน้า ถือว่าการแจกเงินหมื่นในเฟสแรกมีผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจค่อนข้างน้อยมากทั้ง ๆ ที่วงเงินที่แจกในเฟสแรกมากที่สุดถึง 1.45 แสนล้านบาท ขณะที่วงเงินในเฟสหลัง ๆ ทยอยลดลงเรื่อย ๆ จนทำให้ไม่คาดหวังจะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากนัก

 


สำหรับการออกกองทุน TESGX ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีทั้งเงินที่โยกจากกองทุน LTF ที่ครบกำหนดไถ่ถอนและเงินลงทุนใหม่ไหลเข้าสู่ตลาดในช่วงเดือน พ.ค. - มิ.ย. แต่ด้วยเงื่อนไขที่ต้องโอนเงินจากกองทุน LTF ทั้งหมดที่มีอยู่ (ไม่สามารถเลือกโอนบางส่วนได้) อาจเป็นข้อจำกัดให้คนเข้าร่วมน้อย เพราะอาจยังมีคนที่ยอมขายกองทุน LTF หรือถือต่อแล้วรอเข้ากองทุน TESG ปกติ ซึ่งยังมีเลือกได้ว่าจะเลือกลงทุนในตลาดหุ้นหรือตลาดพันธบัตร แต่ถ้าเป็นกองทุน TESGX จะบังคับลงทุนหุ้นเป็นสัดส่วนใหญ่ที่ 65% ซึ่งเป็นช่วงท้าทายความรู้สึกนักลงทุนอย่างมากในสภาวะหุ้นไทยที่ตกต่ำในปัจจุบัน

นอกจากนี้หากจะขายกองทุน LTF แล้วยังอยากได้ลดหย่อนภาษีอยู่ก็ยังเลือกกองทุน TESG ปกติที่ลดหย่อนได้อยู่แล้ว 3 แสนบาท และเพิ่มกองทุน TESGX อีก 3 แสนบาทในช่วงเดือน พ.ค. - มิ.ย. รวมเป็นลดหย่อนภาษีได้สูงถึง 6 แสนบาทเลยทีเดียว ดังนั้นคนที่จะเข้าร่วมอาจต้องเป็นผู้ถือกองทุน LTF เป็นเงินจำนวนมาก ๆ ซึ่งเรามองว่าคนเหล่านี้จะมีสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย ดังนั้นเป้าหมายที่ทางการประเมินว่าจะมีเม็ดเงินจาก LTF ราว 3 ใน 4 แปลงเป็น TESGX จึงอาจสูงเกินไป อนึ่ง ขนาดกองทุน LTF รวม ณ สิ้นเดือน ก.พ. 2025 ล่าสุดอยู่ที่ 1.69 แสนล้านบาท ลดลงจาก 1.88 แสนล้านบาทในสิ้นเดือน ม.ค. 2025

ส่วนเงินใหม่ที่จะไหลเข้าซื้อกองทุน TESGX ในช่วงเดือน พ.ค. - มิ.ย. 2025 เราคาดจะดึงได้อย่างมากราว 1-1.5 หมื่นล้านบาท (น้อยกว่าที่ทางการประเมินว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ากว่า 2 หมื่นล้านบาท) โดยอิงจากกองทุน SSFX ที่เคยให้ลดหย่อนภาษี 2 แสนบาทสำหรับผู้ซื้อในช่วงเดือน เม.ย. - มิ.ย. 2020 มีเม็ดเงินไหลเข้าราว 9 พันล้านบาท

 


XD รอบนี้กระทบหุ้นมากน้อยแค่ไหน?
ในช่วงเดือน ก.พ. - พ.ค. ของทุกปีเป็นช่วงฤดูกาลที่บริษัทจดทะเบียนไทยขึ้นเครื่องหมาย XD เพื่อจ่ายเงินปันผลประจำปี จากการตรวจสอบเงินปันผลจ่ายรอบนี้จะมีเม็ดเงินปันผลจ่ายรวมจำนวน 4.06 แสนล้านบาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของตลาดโดยรวมที่ 2.8% ถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่ประมาณ 2.1-2.2% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาหุ้นในตลาดที่ปรับตัวลงต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และจำนวนเงินปันผลจ่ายรวมที่เพิ่มขึ้นจาก 3.97 แสนล้านบาทในปี 2023 และ 3.71 แสนล้านบาทในปี 2024

จากการประเมินของเรา การขึ้นเครื่องหมาย XD รอบนี้จะส่งผลกระทบต่อ SET Index ปรับตัวลงโดยปริยายประมาณ -32.5 จุด แบ่งเป็นเดือน ก.พ., มี.ค., เม.ย. และ พ.ค. ที่ -7.3 จุด, -9.0 จุด, -11.0 จุด และ -5.2 จุด ตามลำดับ โดยวันที่จะมีผลกระทบต่อ SET Index มากสุด 5 อันดับแรก คือ (1) วันที่ 16 เม.ย., -4.0 จุด (2) วันที่ 6 มี.ค., -3.2 จุด (3) วันที่ 19 ก.พ., -2.6 จุด (4) วันที่ 6 พ.ค., -2.0 จุด และ (5) วันที่ 17 เม.ย., -1.8 จุด อนึ่ง SET Index นับตั้งแต่ปี 2023 ให้ผลตอบแทนติดลบราว -30% แต่หากไม่รวมผลกระทบจากเงินปันผลจ่าย SET Index จะให้ผลตอบแทนติดลบประมาณ -24% (ข้อมูล ณ วันที่ 14 มี.ค.)

 


สแกนหาหุ้นปันผลดีราคาถูก โอกาสทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะกลาง-ยาว
หุ้นปันผลมักจะเป็นหุ้นที่ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงในช่วงที่ภาวะตลาดผันผวน เพราะมักจะมีความผันผวนของราคาน้อยกว่าตลาดและยังให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดีสม่ำเสมออีกด้วย สะท้อนจาก SETHD Index นับตั้งแต่ต้นปีนี้ที่ปรับตัวลงราว -6% vs SET Index ที่ร่วงประมาณ -16% และหากดูผลงานย้อนหลัง 3 ปีที่ผ่านมานี้ SETHD Index เคลื่อนไหวดีกว่า SET Index ทุกปี ขณะที่ SET HD Index ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 6.7% vs SET Index ที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.3% เราจึงเห็นโอกาสในการลงทุนและได้สร้างเกณฑ์คัดเลือกหุ้นปันผลที่น่าลงทุนดังต่อไปนี้

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้