"Domestic Play"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "Sideways/Down" ต้าน 1173/1180จุด รับ 1156/1150 จุด ประเด็นกำหนดทิศทางตลาดวันนี้ค่อนไปทางลบ 1.) ตลาดยัง Risk-Off จาก a.) ความกังวลผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากมาตรการกีดกันการค้าคุณ Trump ที่จะปรับเพิ่มภาษีนำเข้าไวน์และแชมเปญจากยุโรปอีก 200% หลังยุโรปขู่เพิ่มภาษีนำเข้า 50% วิสกี้สหรัฐ b.) เงินเฟ้อ PPI ก.พ. 25 แม้ต่ำกว่าคาด แต่มีองค์ประกอบค่ารักษาพยาบาลที่บ่งชี้ PCE มีโอกาสปรับขึ้น m-m อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตความผันผวนตลาดหุ้นที่มี Valuation ตึงตัว > ตลาดหุ้นอื่น ภายใน คือ 2.) แผนกระทรวงการคลังย้ำการขาย 19 หุ้นที่ไม่อยู่ในยุทธศาสตร์ แม้จะเน้นแผนการขายหุ้นขนาดเล็ก เราประเมินสร้างจิตวิทยาลบต่อภาพลงทุน ด้านบวก 3.) รัสเซียเห็นด้วยกับแผนหยุดยิงยูเครน 4.) ภายใน โครงการหวยเกษียณที่อาจนำมาสู่เม็ดเงินลงทุนะยะยาวใหม่ แม้ระยะแรกที่มีโอกาสเข้าสู่ตลาดหุ้นจะไม่มาก (ปีละ 2.6 พันล้านบาท) แต่เม็ดเงินที่เก็บไว้ระยะยาวสำหรับประชาชน จะช่วยให้ฐานใหญ่ขึ้นเป็นลำดับ อย่างไรก็ดี SET อยู่ในโซน Deep Value มี ERP > AVG +1.5 S.D. คาดช่วยจำกัดความผันผวน หุ้นนำ เน้น 10 หุ้น Deep Value ที่ KSS แนะนำ, หุ้น Defensive และเก็งกำไรหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว (BDI +5.8% หนุนกลุ่มเรือเทกอง) วันนี้แนะนำ BDMS, BCH, CBG
Daily outlook: "Sideways/Down" ต้าน 1173/1180 จุด รับ 1156/1150 จุด
What happened around the world?
(-)US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงต่อ จากกังวลว่าสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดสหภาพยุโรป (EU) ประกาศเรียกเก็บภาษีวิสกี้ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 50% เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ ที่เรียกเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจากยุโรป ขณะที่คุณ Trump ที่จะปรับเพิ่มภาษีนำเข้าไวน์และแชมเปญจากยุโรปอีก 200% Dow jones -1.3%d-d, ดัชนี Nasdaq -1.96%d-d, S&P500 -1.4% โดยดัชนี S&P 500 Sector ปรับลงเกือบทุก Sector ยกเว้น Utilities ส่วนกลุ่มที่ปรับลงหลักๆคือ ICT, Consumer Discretionary, Real estate, IT ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่นคือ Meta platforms -4.67%, Apple -3.36% Adobe -13.9% หลังแนวโน้มธุรกิจต่ำกว่าคาด ในทางตรงข้าม Intel +14.6% หลังแต่งตั้ง CEO คนใหม่ ฯลฯ
(*) US Econ : 1.) ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ - 2. พันรายจากสัปดาห์ก่อน ที่ 2.20 แสนราย ดีกว่าตลาดคาดที่ 2.26 แสนราย แย่กว่าค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ที่ 2.26 แสนราย prev. 2.21 แสนราย ตัวเลขแรงงานที่ออกมายังสะท้อนภาพภาคแรงงานสหรัฐฯประคองในลักษณะ Soft Landing (ความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง) 2.) ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือน ก.พ. 0.0%m-m และ 3.2%y-y ดีกว่าคาด 0.3%m-m, 3.3%y-y หากอิง Bloomberg ประเมินตัวเลข PPI (หมวดเครื่องเพรช Financial Service) และ CPIที่ออกมาชี้นำจะทำให้ มีแนวโน้มที่ Core PCE เดือน มี.ค. เพิ่มขึ้น +0.36%m-m คาดจะทำให้การดำเนินนโยบายของ Fed ในช่วงถัดไปไม่เร่งใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เป็นจิตวิทยาลบระยะสั้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง
(+) War : สัญญาณบวกประเด็นสงครามรัสเซีย -ยูเครน มีโอกาสการยุติสงครามมากขึ้น ช่วงต้นสัปดาห์ สหรัฐประกาศกลับมาฟื้นส่งข่าวกรอง และความช่วยเหลือทางทหารยูเครน หลังจากล่าสุดยูเครนพร้อมรับข้อเสนอหยุดยิงชั่วคราว 30 วัน ล่าสุด ฝั่งรัสเซีย ประธานาธิบดี ปูตินให้สัมภาษณ์ ต้องการเจรจากับประธานาธิบดีสหรัฐทรัมป์ หารือการเจรจาหยุดยิงกับยูเครน โดยมีมุมมองอยากยุติสงครามถาวร ยุโรป มองเป็นจิตวิทยาลบกดดันต่อราคาทองคำ และราคาน้ำมันดิบ ระยะกลาง - ยาว
(*) To monitors : ฝั่งสหรัฐ 14 มี.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (U of Michigan) มี.ค. 25 (ครั้งแรก) ตลาดคาด 65.0 จุด ดีขึ้นจาก prev. 64.7 จุด 17 มี.ค. ยอดค้าปลีก ก.พ. 25 ตลาดคาด +0.7%m-m pev. -0.9%, 18 มี.ค. ผลผลิตอุตสาหกรรม ตลาดคาด +0.3%m-m prev. 0.5% 21 มี.ค. ติดตามการประชุม Fed ตลาดคาดคงดอกเบี้ย 4.25-4.5% ฝั่งจีน 17-21 มี.ค. รายงานเศรษฐกิจ อาทิ FDI, ราคาบ้าน, ยอดลงทุนอสังหา, ยอดค้าปลีกและผลผลิตอุตสาหกรรม ฝั่งญี่ปุ่น 19 มี.ค. การประชุม BOJ ตลาดคาดคงดอกเบี้ยที่ 0.5%
(*) US Bond Yields & Dollar : US Bond Yields อายุ 2 ปี แนวโน้มหลักยังเป็นขาลง ระยะสั้น พลิกกลับมาลง -3 bps มาที่ 3.95% (ยังติดโซนแนวต้านทางจิตวิทยาคือ 4.0%) เช่นเดียวกับอายุ 10 ปี -3 bps อยู่ที่ 4.28% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ส่วน Dollar Index แข็งค่าเล็กน้อย 103.76จุด (มองเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินในสกุลเอเซียอ่อนค่า)
(-)Oil : ราคาน้ำมันดิบโลกพลิกลงอีกครั้ง อิง น้ำมันดิบ Brent -1.51%d-d ปิดที่ USD 69.88/barrel น้ำมันดิบ West Texas -1.67%d-d ปิดที่ USD 66.55/barrel จากแรงกดดันเรื่องเดิม คือสงครามการค้า ล่าสุดยุโรปตอบโต้สหรัฐ ขึ้นภาษีนำเข้าวิสกี้ และความกังวล Over Supply โดย OPEC+ เตรียมเพิ่มกำลังการผลิตในเดือน เม.ย. และ IEA แถลงภาวะน้ำมันล้นตลาด โดยระบุว่า อุปทานน้ำมันทั่วโลกจะมีปริมาณมากกว่าอุปสงค์ราว 600,000 บาร์เรล/วันในปีนี้ มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTTEP, PTT แต่ในทางตรงข้ามเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่ม Anti commodity อาทิ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง , กลุ่มสายการบิน AAV, BA
(-) World Container Index (WCI) : WCI ปรับลงติดต่อกัน 9 สัปดาห์ ล่าสุด -7%w-w อยู่ที่ 2368 เหรียญต่อ 40 ft และปรับลงทุกเส้นทางเรือ ประเมินจิตวิทยาลบต่อหุ้นเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO (90% ของรายได้), SONIC (62% ของรายได้) LEO (75% ของรายได้) และ WICE (34% ของรายได้)
What happened in Thailand?
(*) SET: SET Index ปรับลง -0.42 จุด (-0.04%) ปิดที่ระดับ 1,160 จุด มูลค่าการซื้อขายเบาบาง 3.2 หมื่นล้านบาท (จำนวนหุ้นปรับลง 260 บริษัท, หุ้นปรับขึ้น 204 บริษัท) ดัชนีแกว่งตัวกรอบแคบ ตลาดไม่มีปัจจัยหนุนใหม่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลงในรอบ 5 เดือน โดยมี Sector ปรับลง คือ กลุ่มขนส่ง (AOT, BTS) AOT คาดตลาดยังกังวลประเด็น King Power และนักท่องเที่ยวจีนชะลอลง ส่วน BTS คาดตลาดหมุนขายทำกำไรหุ้น Outperform กลุ่มค้าปลีก (CPALL, GLOBAL, CRC) ยอดขายสาขาเดิม ก.พ. 25 กลุ่มค้าปลีก ชะลอลง ผสาน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคออกมาตำสุดในรอบ 5 เดือน ส่วน Sector ที่ปรับขึ้น คือ กลุ่ม ICT (ADVANC, INTUCH) คาดตลาดให้น้ำหนักการประมูลคลื่นที่ยังเดินหน้าต่อได้ และกลุ่ม อิเล็กฯ (DELTA, KCE) มองเป็นการ Rebound
(*/-) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติเป็นภาพไหลออก ขายหุ้น -27.5 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร ล้านเหรียญฯ Net Long TFEX ที่ 17,515 สัญญา เงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าเล็กๆสู่บริเวณ 33.7 +/- บาท
(*/+) Co-payment: สภาผู้บริโภคค้านมาตรการ Co-payment เรียกร้อง 'คปภ. – สมาคมประกันชีวิตไทย – สมาคมประกันวินาศภัยไทย' ชะลอการบังคับใช้ ชี้ Co-payment โดยประเมินเงื่อนไข Co-payment อาจเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค เนื่องจากผู้บริโภคไม่สามารถวินิจฉัยอาการป่วยของตนเองได้ การวินิจฉัยและตัดสินใจรักษาเป็นดุลยพินิจของแพทย์ ประเมินจิตวิทยาบวกต่อกลุ่ม ร.พ. เน้น BDMS BCH ขณะที่จิตวิทยลบต่อกลุ่มประกัน
(*/+) Retirement Lottery: รมช. คลัง เปิดเผยว่า ปัจจุบันร่างแก้ไข พ.ร.บ. กองทุนการออมแห่งชาติ (หวยเกษียณ) ได้ผ่านเห็นชอบโดยคณะรัฐมนตรีแล้ว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่างเสร็จแล้ว และจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาภายในเดือน มี.ค. 25
ทั้งนี้ จุดน่าสนใจอยู่ที่การเปิดกว้างผู้ซื้อโดยไม่จำกัดขอบเขต คือ ให้สิทธิ์สำหรับคนไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ทั้งหมด ส่วนเงื่อนไขอื่นๆ ยังใกล้เคียงเดิม คือ
- เปิดขายทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 5.0 ล้านใบ ใบละ 50 บาท ซื้อสลากวันใดก็ได้ โดยรางวัลจะออกทุกวันศุกร์ เวลา 17:00 น.
- กำหนการซื้อต่องวดต่อคนไม่เกิน 3,000 บาท
- เม็ดเงินที่ซื้อ ถ้าไม่ถูกรางวัล จะถูกนำเข้าบัญชีเงินออมรายบุคคลกับ กอช. และเมื่อผู้ออมอายุครบ 60 ปี จะคืนเงินทั้งหมด นอกจากนี้ xระชาชนที่มีอายุเกิน 60 ปี ด้วย แต่ต้องออมไว้ 5 ปี หลังจากวันที่ซื้อครั้งแรก และสามารถซื้อได้ไม่จำกัดรอบ แต่ทุกรอบต้องออมไว้ 5 ปี
ทีมกลยุทธ์ ประเมินหากคนออมเต็มจำนวน รอบละ 5 ล้านใบ จะมีเงินออมในระบบกว่าปีละ 1.3 หมื่นล้านบาท หากอิงนโยบายลงทุน กอช. ที่กำหนดลงทุนสินทรัพย์มั่นสูงไม่ต่ำกว่า 80% และสินทรัพย์อื่น เช่น หุ้น กองทุน ไม่เกิน 20% แม้เม็ดเงินต่อปีระยะแรกที่มีโอกาสเข้าสู่ตลาดหุ้นจะยังไม่มากราวปีละ 2.6 พันล้านบาท แต่เราประเมินอาจจะเป็นบวกต่อตลาดหุ้น ในส่วนความคาดหวังต่อเม็ดเงินลงทุนระยะยาวก้อนใหม่ หากกองทุนดังกล่าวขายต่อเนื่องในระยะยาว หรือมีผลตอบรับที่ดีและมีการขยายโควตาการขายเพิ่มเติมในระยะถัดไป
(*/+) FDI: BOI เปิดเผยว่า ได้อนุมัติการลงทุนของ บริษัท Sunwoda Automotive Energy Technology (Thailand) ซึ่งเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์สำหรับ EV และระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) อันดับ Top 10 ของโลกจากจีน โดยSunwoda จะลงทุนกว่า 50,000 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงาน 2 แห่งในจังหวัดชลบุรี เราประเมินเป็นภาพบวกต่อแนวโน้ม FDI ไทยที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่มีสัญญาณการปรับเปลี่ยนไปสู่อุตสาหกรรม S Curve ใหม่ๆ จิตวิทยาบวกต่อกลุ่มนิคม อาทิ WHA AMATA
(*/-) Divestment: สคร. เตรียมเสนอเรื่องกระทรวงการคลังสัปดาห์หน้า พิจารณาตัดขาย 19 หุ้นที่กระทรวงการคลังถืออยู่ โดยจะเน้นที่หุ้นซึ่งไม่อยู่ในยุทธศาสตร์รัฐบาล หุ้นที่มีขนาดเล็กและผลประกอการย่ำแย่ จากที่รัฐถือหุ้นทั้งหมด 140 บริษัท (ทั้งรัฐวิสาหกิจ + ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ รวมถึงหุ้นที่ได้จากการยึดทรัพย์ในคดีต่างๆ) ทั้งนี้ แม้รัฐฯจะเน้นย้ำกรณีดังกล่าว แต่อิงข้อมูลที่ตลาดจะค้นหาได้ในส่วนหุ้นกระทรวงการคลังถือ มีทั้งสิ้น 13 บริษัท คือ PTT, AOT, TTB, TFFIF, DMT, BCP, OR, MCOT, MFC, BEYOND, RPH, NEP, TGH เราประเมินอาจสร้างจิตวิทยาลบในหุ้นกลุ่มดังกล่าว โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ (หรือบ.ในเครือของเครือรัฐวิสาหกิจ) ซึ่งถือเป็นหุ้นยุทธศาสตร์
(*/-) TH CCI : ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.พ. 25 อยู่ที่ 57.8 จุด ลดลงจาก prev. ที่ 59.0 จุด และทำระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน ประเมินจิตวิทยาลบต่อหุ้น Domestic โดยเฉพาะค้าปลีก เชิงกลยุทธ์ เลือกลงทุนหุ้น Domestic ที่จำหน่าย/ ให้บริการสินค้าจำเป็น อาทิ CPALL CPAXT ADVANC
(*) To monitor: ปัจจัยภายในสัปดาห์นี้ ได้แก่
14 มี.ค. ติดตามข้อมูลจากงานสัมมนา "The World's Next" Opportunities and Beyond ซึ่งมีวิทยากรเข้าร่วมงานในส่วน บ. Mckinsey, Blackrock, World Network, Goto Group และอดีตนายกรัฐนตรี ทักษิณ ชินวัตร
ขณะที่สัปดาห์หน้าติดตาม
18 มี.ค. ประชุม ครม. และรายงานนักท่องเที่ยวต่างชาติ
21 มี.ค. FTSE Rebalance มีผล ราคาปิด
Standard index (Large-Mid cap)
เข้า : - ออก : EA, IRPC
Small cap
เข้า : CCET, EA, IRPC, SKY, WHART
ออก : BYD, LPN
Micro cap
เข้า : ADVICE, BYD, KBS, LHSC, LPN, MONO, PCE, SPA, SISB, VIBHA
ออก : FTREIT, JR, LALIN, NTV, NRF, KISS, SMIT, SENA, SGP, SKY, SVOA, TAN, TMT, TTCL, UNIQ, WHART
21-26 มี.ค. รายงานยอดนำเข้า - ส่งออก ก.พ. 25 ยังไม่มีคาด vs prev. 7.9%y-y และ 13.6%y-y
Daily Strategy : BDMS, BCH, CBG
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Sideways/Down" ประเมินปัจจัยต่างประเทศเป็นกลางถึงลบ ตลาดยังกังวลผลกระทบนโยบายคุณ Trump ต่อเศรษฐกิจ ขณะที่ภายในยังขาดปัจจัยหนุน อย่างไรก็ดี SET ที่อยู่ในโซนลงทุน ERP > AVG +1.5 S.D. ยังคาดช่วยจำกัดความผันผวน โดยตัวเลือกแนะนำวันนี้ เน้น 10 หุ้น Deep Value ที่ KSS แนะนำ, หุ้น Defensive และเก็งกำไรหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว (BDI +5.8% หนุนกลุ่มเรือเทกอง)
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (BTS, VGI, BJC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (BA, AAV, GULF, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
10 หุ้น Deep Value ที่มีความมั่นคงระยะ 2-3ปีข้างหน้า และอยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT)
• MAR25 Stock Picks: AMATA, AP, BA, BH, BTS, CPALL, MTC
• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
Strategy Update :SET 50/100 interim Rebalance
การเปลี่ยนแปลง SET50/SET100 ระหว่างกาล Update สืบเนื่องจากกรณี GULF, INTUCH จะมีการควบรวมเป็นบริษัทใหม่ คือ GULF Development ซึ่งจะเข้าตลาดวันที่ 3 เม.ย. ทำให้มีการนำหุ้นเข้า SET50/SET100 ใหม่ในระหว่างกาล ดัชนีละ 1บริษัท KSS ได้ประเมินหุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 และ SET100 ใหม่ผลจากประเด็นนี้
SET50 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่ระหว่างกาล Rebalance สิ้นวันที่ 2 เมย คือ VGI (โอกาสเข้า 95%)
SET100 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่จะแข่งกันระหว่าง MOSHI (โอกาส 50%), THCOM (โอกาส 30%), KAMART (โอกาส 20%)
กลยุทธ์ : เราคาดหุ้นที่ถูกนำเข้า SET50/100 จะถูกเพิ่มน้ำหนักจาก Passive Fund เป็นบวกต่อราคาหุ้น โดยในส่วน SET 50 เราแนะนำเก็งกำไร VGI และ BTS บ.แม่ (ถือหุ้น 57.1%) ส่วน SET100 แนะนำเก็งกำไร MOSHI
Strategy Update : ThaiESG Plays
กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดตั้ง กองทุน ThaiESG กองที่ 2 คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยมีวงเงินประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับกองทุน LTF ที่ครบอายุไปแล้ว ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนและสิทธิประโยชน์ยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งอาจแตกต่างจากกองทุน ThaiESG เดิม แต่ยังคงเน้นลงทุนในประเทศ โดยเราประเมินว่าการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจะช่วยชะลอแรงขายจาก LTF เดิมและเสริมสภาพคล่องใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่ถือ LTF ระยะยาว ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 1,620-1,640 จุด
เรามองปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามซึ่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดในระยะกลางถึงยาว ได้แก่ การขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากมีการเพิ่มเพดานลดหย่อนของ ThaiESG จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท เท่ากับ LTF เดิม จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดมากขึ้น อีกทั้งยังมีการหารือเรื่อง การลงทุนในหุ้นไทย 100% และ การขยายขอบเขตของหุ้น ESG เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนและกระจายความเสี่ยง KSS มองว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการขาดเงินทุนระยะยาวจาก LTF ที่หมดสิทธิประโยชน์ หากภาครัฐมีมาตรการชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ จะช่วยให้ SET ค่อย ๆ ฟื้นตัว
KSS ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการสะสมหุ้น เนื่องจาก SET ยังอยู่ใน Deep Value Zone โดยมีค่า PER ปี 2568 อยู่ที่ 13.5 เท่า และหากไม่นับรวมหุ้น DELTA ค่า PER จะอยู่ที่เพียง 11.5 เท่า ปัจจุบันมีหุ้นที่เข้าข่ายการลงทุนระยะยาว ได้แก่ 300 บริษัทที่มี PER ต่ำกว่า 12 เท่า, 435 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูงกว่า 3%, 548 บริษัทที่มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และ 145 บริษัทที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามข้อ KSS แนะนำ 7 หุ้น Deep Value ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ได้แก่ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP และ HMPRO พร้อมกันนี้ยังแนะนำอีก 5 บริษัท ที่เข้าเงื่อนไข PER < 12X, PBV < 1X และ Dividend Yield > 3% ในกลุ่มธนาคาร KBANK, KTB, BBL ผสาน อสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มมีปัจจัยหนุนเชิงบวก เช่น AP และ SIRI
Strategy Update : Summer Plays
กระแสการเก็งกำไรในหุ้นธีม "หน้าร้อน" กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยาเผยว่าในปีนี้ จะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนในไทยสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน ก.พ. 25 - กลางเดือน พ.ค. 25 ภายใต้คาดการณ์กรมอุตุนิยมวิทยาปี 2025F คาดอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบน 35 – 36 องศาเซลเซียส แม้จะต่ำกว่าฤดูร้อนปี 2024 อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 37.5 องศาเซลเซียส แต่ยังใกล้เคียงค่าเฉลี่ยฤดูร้อนปกติที่ 35.4 องศาเซลเซียส แต่จุดที่น่าสนใจคือ ราคาหุ้นหลายตัวมี Deep Discounts จากภาวะตลาดที่ผันผวน สร้างโอกาสระยะยาวด้วยอีกทางหนึ่ง ทีมกลยุทธ์คาด KSS อากาศที่ร้อนสูงขึ้น จะหนุน
1.) การบริโภคเครื่องดื่มที่มีความคึกคักขึ้น
2.) ประชาชนจะมีความต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งพัดลม, แอร์ เพื่อบรรเทาผลกระทบอากาศร้อน
3.) การทำงานก่อสร้างจะเร่งส่งมอบได้มากกว่าช่วงหน้าฝน
4.) การท่องเที่ยวทะเลที่เป็นจุดเด่นของไทยมักคึกคัก
ภาพรวมดังกล่าวที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มักหนุนกระแสหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์อาทิ กลุ่ม มีภาพถูกเก็งกำไรในช่วงฤดูร้อน อาทิ กลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มค้าปลีกที่เน้นขายเครื่องใช้ไฟฟ้าบรรเทาอากาศร้อน กลุ่มรับเหมา และกลุ่มโรงแรม อิงผลการศึกษาผลตอบแทนย้อนหลัง 9 ปี (ไม่รวมปีที่เผชิญ Covid ในปี 2020 ที่ผลตอบแทนรายกลุ่มกระทบความเสี่ยงตลาด) ช่วงเวลาที่ดีสุดในการลงทุน คือ การลงทุนในช่วงเข้าสู่ฤดูร้อน และขายทำกำไรหลังจากนั้น 1 เดือน โดยช่วงปัจจุบัน คือ ควรเริ่มสะสมหุ้นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของ ก.พ. 25 และขายทำกำไรช่วงปลาย มี.ค. 25 - ต้น เม.ย. 25 โดยกลุ่มโรงแรม (ความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 87.5% ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.7%) ตามด้วยกลุ่มรับเหมา (62.5%, 1.6%) กลุ่มค้าปลีก (50%, 1.2%) สูงกว่า SET (50%, 1.1%) ขณะที่ภาพรายบริษัท คือ CRC(100%, 5.3%) ICHI (87.5%, 3.7%) SAPPE (75%, 7.2%) CENTEL (75%, 4.4%) MINT (62.5%, 3.3%) GLOBAL (62.5%, 2.3%) HMPRO (50%, 4.9%) DOHOME (50%, 2.3%)
ในเชิงกลยุทธ์ Summer Plays ปี 2025F KSS แนะนำลงทุนเน้นไปที่กลุ่มที่มีหุ้นอยู่ในโซนฐาน Valuation ไม่แพง ได้แก่ CRC(TP Con-40.6) ICHI (TP25F-17) SAPPE (TP25F-70) CENTEL (TP25F-40) MINT(TP25F-38) HMPRO (TP25F-13.5) และหุ้น Turn around ที่คาดได้ประโยชน์จากหน้าร้อน คือ หุ้นเครื่องดื่ม คือ MALEE(TP25F – 17.7)
Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง
1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"
2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก
3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก
4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ
เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว
Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
Strategy Update: FTSE Rebalance
FTSE GEIS Semi-Annual Review Update มีผลราคาปิด 21 มี.ค. มีหุ้นไทย เข้า/ออก ดังนี้
Standard index (Large-Mid cap)
เข้า : - ออก : EA, IRPC
Small cap
เข้า : CCET, EA, IRPC, SKY, WHART
ออก : BYD, LPN
Micro cap
เข้า : ADVICE, BYD, KBS, LHSC, LPN, MONO, PCE, SPA, SISB, VIBHA
ออก : FTREIT, JR, LALIN, NTV, NRF, KISS, SMIT, SENA, SGP, SKY, SVOA, TAN, TMT, TTCL, UNIQ, WHART
• Commerce (Bullish) : ค้าปลีกทั้งหมด จากแนวโน้ม SSSG เพียงอย่างเดียว เราคิดว่าการฟื้นตัว QTD ของ BJC อาจเป็นปัจจัยเชิงบวกสำหรับราคาหุ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หุ้นที่เราเลือกเป็น Top pick คือ CPALL (ราคาเป้าหมาย 80 บาท, ซื้อ), BJC (ราคาเป้าหมาย 30 บาท, ซื้อ) โดยอิงจากแนวโน้ม SSSG ที่แข็งแกร่ง และมูลค่าที่เหมาะสมที่ P/E ปี 2568F 15.7 เท่า และ 16.4 เท่า ตามลำดับ
• CBG(Buy, TP25F-97) : CBG จัดประชุมนักวิเคราะห์เพื่ออัปเดตส่วนแบ่งการตลาดล่าสุดในเดือนมกราคม ซึ่งลดลง 0.6ppt mom (เหลือ 25.4%) เนื่องมาจากการส่งเสริมการขายในกลุ่ม Modern-Trade ที่ลดลง เพราะ CBG มองว่าการใช้จ่ายเพื่อส่งเสริมการขายในช่วงโลว์ซีซั่นหลังปีใหม่อาจไม่ทำกำไรมากนัก นอกจากนี้ CBG ยังมั่นใจยอดขายใน 1Q24 โดยคาดการณ์ว่ายอดขายเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศอาจสูงขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นประมาณ 2ppt เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ที่ 26%) ใน 1Q25 (และเนื่องจากฐานที่ต่ำใน 1Q24 จากการที่ CBG พยายามขายเบียร์มากกว่าขายเครื่องดื่มชูกำลัง) เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 97 บาท และประมาณการทั้งหมด
• TISCO(Neutral, TP25F-94) : เราคงคำแนะนำ NEUTRAL และคง TP25F ที่ 94 บ. เราคงมอง TISCO เป็นหุ้นปันผล โดยมีปันผลเด่น dividend yield สูงสุดติดอันดับ 1 ใน 2 ของกลุ่มธนาคารคาดที่ 8% โดย 2H24 จ่ายที่ 5.75 บ./หุ้น dividend yield ที่ 6% ขึ้น XD วันที่ 25/04/2025 สำหรับกำไรสุทธิ 1Q25F คาดที่ 1.59 พันลบ. ลดลง -8%y-y และ -7% q-q เพราะค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) เพิ่มขึ้น จากการปรับเพิ่มไปสู่ระดับปกติ และคุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอ โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อย NPL Ratio อยู่ที่ 2.40% เพิ่มจาก 4Q24 ที่ 2.35% สำหรับผลการดำเนินงานธุรกิจหลัก (PPOP) เพิ่มขึ้น +5% y-y และ +5% q-q จากการเพิ่มของ NIM การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อรวม และการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX)
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI