Market Wrap-Up
- SET วันที่ 6 มี.ค.68 ปิด -17.41 จุด อยู่ที่ 1,189.55 จุด มูลค่าการซื้อขาย 47,199 ลบ. ต่างชาติขาย 4,743 ลบ. พอร์ตโบรกขาย 2,362 ลบ. สถาบันซื้อ 1,370 ลบ. และรายย่อยซื้อ 5,736 ลบ. NVDR มียอดขายสุทธิ 3,920 ลบ.โดยมียอดซื้อในหุ้น ADVANC,PTTEP,CPF,INTUCH,AOT และยอดขายหุ้น GULF,PTT,IVL,BH,KBANK มูลค่า Short Sales อยู่ที่ 1,980 ลบ. หุ้นที่มี%ปริมาณ Short สูงคือ TCAP,CHG,OR โดยนักลงทุนต่างประเทศมีสถานะ Short ใน Index Futures จำนวน 28,240 สัญญา ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีต่างชาติ Long สุทธิรวม 13,578 สัญญา นักลงทุนต่างชาติซื้อพันธบัตรจำนวน 5,070 ลบ.
- ตลาดหุ้นสหรัฐ DJIA -0.99%, S&P500 -1.78%, Nasdaq -2.61% ถูกแรงขายจากกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย -2.93%, อสังหา -2.78% และกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ GM -2.6%, Ford Motor -0.4% จากความไม่แน่นอนของ ม.ปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐ ส่วนข้อมูลผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ลดลง 21,000 อยู่ที่ 221,000 ราย ตลาดหุ้นยุโรป Stoxx600 -0.03% โดยกลุ่มอสังหา -2.7%, บริการสุขภาพ -1.2% ขณะที่กลุ่มธนาคาร +0.8%, วัสดุก่อสร้าง +2.2% หลัง ECB มีมติลดดอกเบี้ยลง 0.25% เป็นครั้งที่ 6 นับตั้งแต่ มิ.ย. 67
Market View
- ตลาดหุ้นสหรัฐวานนี้ปรับลดลง นำโดย Nasdaq -2.61% ส่งผลให้ดัชนี -10.4% จากจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 67 และเริ่มเข้าสู่ช่วงการปรับฐาน หลังนักลงทุนกังวลต่อความไม่แน่นอนนโยบายการค้าของทรัมป์ หลังประกาศเลื่อนการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก & แคนาดาจนถึงวันที่ 2 เม.ย. หลังชะลอการเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากเม็กซิโก & แคนาดาออกไปอีก 1 เดือน โดยนักลงทุนกังวล ม.ปรับภาษีของทรัมป์ อาจส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว และมีความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะปรับสูงขึ้น ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจค่ำวันนี้ติดตามตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐ ก.พ. คาด 156,000 & ม.ค. 143,000 และอัตราว่างงานคาดทรงตัวที่ 4.0%
- ตลาดหุ้นยุโรปวานนี้ปิดทรงตัว หลัง ECB มีมติปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% ส่งผลให้ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 2.5%, ดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 2.9% และดอกเบี้ยรีไฟแนนท์อยู่ที่ 2.65% หลังรายงาน CPI ยูโรโซน ก.พ. ลดลงอยู่ที่ 2.4% & ม.ค. ที่ 2.5% YoY เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลัง ECB ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้ลงอยู่ที่ 0.9% & คาดที่ 1.1% YoY หลังการส่งออก & การลงทุนอาจชะลอตัว สาเหตุมาจากความไม่แน่นอนนโยบายการค้าของสหรัฐ
- ตลาดหุ้นเอเขียวานนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้ +1.17%, ฮั่งเส็ง +3.29% หลังนายก ฯ จีนตั้งเป้าการเติบโตของ GDP จีนปีนี้ไว้ที่ 5.0% ผ่านการทำงบประมาณขาดดุลที่ 4.0% ต่อ GDP & ปีก่อนที่ 3.0% ต่อ GDP โดยเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น AI และกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ส่วนดัชนีนิเกอิวานนี้ +0.77% หลังสหรัฐได้ชะลอการเก็บภาษีรถยนต์นำเข้าจากเม็กซิโก & แคนาดาออกไปอีก 1 เดือน
- ดัชนี SET วานนี้ -1.44% ปริมาณการซื้อขาย 4.7 หมื่น ลบ. ต่างชาติขาย 4,743 ลบ. พอร์ตโบรกขาย 2,362 ลบ.สถาบันซื้อ 1,370 ลบ. และรายย่อยซื้อ 5,736 ลบ. โดยดัชนีปรับลดลงจากแรงชายกลุ่มพลังงาน -2.95% จากความกังวลอุปสงค์ความต้องการใช้น้ำมันอาจลดลง จาก ม.กีดกันการค้าของ ปธน.ทรัมป์ กอปรกับกลุ่มโอเปกพลัสเตรียมจะเพิ่มกำลังการผลิตใน เม.ย. ขณะที่หุ้น Big Cap. ในกลุ่ม รพ., ค้าปลีก, ธนาคาร และขนส่งปรับลดลง จากความกังวลดัชนีหุ้นสหรัฐอาจมีการปรับฐานลง จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของ ปธน.ทรัมป์ และตลาดพันธบัตรในเยอรมันมีความผันผวนสูงขึ้น หลัง Germany Bond Yield 10 ปี ปรับขึ้นอยู่ที่ 2.835% จากคาดการณ์รัฐบาลใหม่เยอรมันจะต้องกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม รวมถึง Japan Bond Yield 10 ปี ก็ปรับขึ้นอยู่ที่ 1.50% เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้ Fund Flow ยังชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ ส่วนปัจจัยการเมืองในประเทศ วานนี้ DSI มีมติ 11 – 4 เสียงรับพิจารณาคดีฮั้วเลือก สว.เป็นคดีพิเศษฐานสมคบฟอกเงิน ส่งผลให้ความเสี่ยงด้านการเมืองสูงขึ้น
Daily Strategy
- ประเมินแนวรับดัชนี SET ที่ 1,170 – 1,180 แนวต้าน 1,200 โดยดัชนีถูกกดดันจากความไม่แน่นอนนโยบายการค้าของสหรัฐ กอปรกับ Fund Flow ยังชะลอตัวหลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของเยอรมันและญี่ปุ่นมีความผันผวนสูง แนะนำทยอยซื้อเมือดัชนีอ่อนในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น NSL,KCG,ICHI,MOSHI และเก็งกำไรหุ้นที่มีสัญญาณบวกทางเทคนิค เช่น SYNEX, BA
- TFG* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 5.20 บาท) ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 67 มีรายได้รวม 5 หมื่นล้านบาท +17%YoY และมีกำไรสุทธิ 3.1 พันล้านบาท จากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 813 ล้านบาท ส่วนแนวโน้ม 1Q68 มีปัจจัยหนุนการเติบโต QoQ, YoY จากราคาสุกรในประเทศและเวียดนามที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย Supply ทั่วโลกลดลงจากโรค ASF ขณะที่สถานการณ์หมูเถื่อนในไทยคลี่คลายไปแล้ว ด้านต้นทุนอาหารสัตว์ลดลงตราราคากากถั่วเหลือง และข้าวโพดอาหารสัตว์ สำหรับปี 68 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 10-15%YoY และเตรียมขยายสาขาร้าน "ไทยฟู้ดส์ เฟรซ มาร์เก็ต" ให้มีจำนวนสาขา 600 แห่ง จากปีที่ผ่านมามีสาขาอยู่ที่ 401 แห่ง ช่วยเพิ่มมาร์จิ้นให้ธุรกิจ ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 68 ที่ 3.8 พันล้านบาท +22%YoY
- NSL* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 83บาท) กำไรสุทธิ 4Q67 อยู่ที่ 147 ลบ. +44%YoY +9%QoQหนุนด้วย High Season, ม.กระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯหนุนกำลังซื้อผู้บริโภค รวมถึงสินค้าใหม่ๆยังตาม trend เช่น ข้าวโพดอบชีสเบคอน,ช็อกโกแลตดูไบ(Bake a Wish) ส่วนปี68 คาดว่าจะมีปัจจัยบวกต่อเนื่องจากโรงงานใหม่ที่พึ่งเสร็จสิ้นใน 4Q67(NSL FOODS สาขา5)รวมถึงการออกสินค้าใหม่ๆ ซึ่ง 1Q68 จะมีสินค้าใหม่ เช่น ช็อกโกแลตโมจิทาร์ต, โรตีข้าวโพดชีส เป็นต้น โดย NSL วางเป้ารายได้ปี68 โตราว +16-17%YoY ทั้งนี้ตลาดคาดว่าปี68 และ69 กำไรสุทธิของ NSL* จะอยู่ที่ระดับ 602 ลบ. (+11%YoY) และ 679 ลบ.(+13%YoY)
Daily Key Factors
Oil Update(+) WTI เม.ย. +$0.05 อยู่ที่ $66.36 / บาร์เรล, Brent พ.ค. +$0.16 อยู่ที่ $69.46/บาร์เรล สัญญาน้ำมันทรงตัว หลัง ปธน.ทรัมป์ ที่อาจจะยกเลิกภาษี 10% ที่จะเรียกเก็บจากการนำเข้าพลังงานจากแคนาดา
Gold Update(+) Comex Gold เม.ย.+$0.60 อยู่ที่ $2,926.60 /ออนซ์ โดยทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ในช่วงที่ยังมีความไม่แน่นอนต่อนโยบการค้าของทรัมป์ และยังได้แรงหนุนจาก Dollar Index อ่อนค่า -0.23% อยู่ที่ 104.059
Fund Flow(-) Fund Flow ต่างชาติในตลาด TIP วานนี้ ขายสุทธิ -137.14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขายหุ้นไทย -140.44 ล.ดอลลาร์สหรัฐ ขายหุ้นอินโดฯ -2.26 ล.ดอลลาร์สหรัฐ และซื้อหุ้นฟิลิปปินส์ +5.56 ล.ดอลลาร์สหรัฐ
(0) ค่าเงินบาทเช้านีอ่อนค่าอยู่ที่ 33.77 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(0) ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ลดลงอยู่ที่ 4.264 %
(+) ดัชนี BDI วานนี้ +58 จุด อยู่ที่ 1,285
(-) BitCoinเช้านี้ -5.07% อยู่ที่ 85,505 ดอลลาร์สหรัฐ
(0)เช้านี้ติดตามตัวเลขส่งออกจีน ก.พ. คาด 5.0% & ม.ค. 10.7% YoY และนำเข้าจีน ก.พ. คาด 1.0% & ม.ค. 1.0% YoY
Economic Calendar
ในประเทศ
สัปดาห์ที1 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค
(มี.ค.)
ต่างประเทศ
01 มี.ค. CN ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีน (ก.พ.)
03 มี.ค. EU ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) (ปีต่อปี) (ก.พ.)
US ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต (ก.พ.)
05 มี.ค. US การเปลี่ยนแปลงการจ้างงานภาคนอกภาคเกษตรกรรม(ADP)(ก.พ.)
US ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการบริการ (ก.พ.)
06 มี.ค. EU การแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนของธนาคารกลางแห่งยุโรป
EU การตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย (มี.ค.)
US สินค้าคงคลังน้ำมันดิบ
US จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก
07 มี.ค. US รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง (เดือนต่อเดือน) (ก.พ.)
US อัตราการว่างงาน (ก.พ.)
Theme Strategy
Theme หุ้นเด่น 1H68 เน้น หุ้นในธุรกิจใหม่ที่เป็น Trend ในอนาคต อย่าง Data Center รวมถึงหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรปกติ 4Q67-1Q68 คาดออกมาดี และ หุ้นที่รับความผันผวนได้ดีจากความเสี่ยง Trade War/ธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มชะลอการลดดอกเบี้ย
(1) กลุ่มธนาคารที่มี Sentiment บวกจากธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มชะลอการลดดอกเบี้ย/มี Yield สูง BBL, KTB, KBANK, TISCO*, TTB*
(2) กลุ่มการอุปโภคบริโภค ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ CPALL, CPAXT*, CRC, NSL*, TNP*, OSP*
(3) กลุ่มโรงพยาบาล BDMS, BH, PR9*, SKR
(4) กลุ่มมีโอกาสเกี่ยวข้องกับการลงทุน Data Center/ธุรกิจ Trend อนาคต ADVANC,INTUCH*,TRUE,GULF*,AMATA
(5) กลุ่มสินค้า IT ที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยี(เช่น AI function/ 4G to 5G) SYNEX*, ADVICE*, SIS*
(6) กลุ่มที่มี Sentiment บวกจาก Entertainment Complex BTS*, VGI*, MBK*, BA
**หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ที่ยังไม่อยู่ใน Coverage ของฝ่ายวิจัย
Asset Allocation: Equity 55% Fixed Income 30% Alternative Investment etc. Gold 10% Cash 5%
Today Fundamental Research: -
Monthly Portfolio February 2025: CPALL, SYNEX*, KLINIQ, SHR*, TEGH*
Analysts
Apichai Raomanachai
Fundamental and Technical Investment Analysis ID No. 002939
Tel 02-829-6999 Ext 2200
Email : apichai.ra@kfsec.co.th
Nopporn Chaykaew
Fundamental Analysis ID No. 043964
Tel 02-829-6999 Ext 2203
Email : noppoen.ch@kfsec.co.th
Nattawat Poosunthornsri
Fundamental Analysis ID No. 087077
Tel 02-829-6999 Ext 2204
Email : nattawat.po@kfsec.co.th