Today’s NEWS FEED

News Feed

ธ.ทิสโก้แนะ "ขายทำกำไร" ตราสารหนี้โลก หลังสร้างผลตอบแทนตามคาด แนะเข้าซื้อหุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย เวียดนาม และทองคำ

213

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (6 มีนาคม 2568)-------ธนาคารทิสโก้แนะลูกค้าที่ลงทุน "ตราสารหนี้โลก" ตามคำแนะนำในช่วงต้นปีให้ "ขายทำกำไร" หลังสร้างผลตอบแทนไปแล้วประมาณ2%สูงกว่าตราสารหนี้ไทยที่สร้างให้ผลตอบแทน 0.35% เชียร์ลูกค้าเข้าซื้อหุ้นที่ราคาปรับลงมาและมีปัจจัยบวกรออยู่ ได้แก่ หุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย เวียดนาม และกองทุนทองคำ  


นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ Head of Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า ช่วงต้นปี2568 ธนาคารทิสโก้แนะนำให้ลูกค้าลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้โลก เพื่อปกป้องพอร์ตการลงทุนและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในยุคทรัมป์ 2.0 นั้น ปรากฎว่าตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ตราสารหนี้โลกสร้างผลตอบแทนไปแล้วกว่า2% (อ้างอิงจาก Bloomberg Global-Aggregate Total Return Index Value Unhedged USD ณ วันที่ 28 ก.พ. 68) ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกันตราสารหนี้ไทยให้ผลตอบแทน 0.35% (อ้างอิงจาก ดัชนี Thai BMA Zero Rate Return 1 Year ZRR  ณ วันที่ 28 ก.พ. 68) โดยตราสารหนี้โลกได้รับปัจจัยบวกจากราคาตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้นตามคาดประกอบกับจังหวะที่แนะนำให้ลูกค้าเข้าซื้อเป็นช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) อยู่ในระดับสูงอีกด้วย  


อย่างไรก็ตาม ธนาคารทิสโก้มองว่าหลังจากนี้ตราสารหนี้โลกอาจให้ผลตอบแทนลดลง หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง3 ครั้งตามที่ตลาดคาด เพราะมีความเสี่ยงว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับมาเร่งตัวอีกครั้งหลังจากทรัมป์เดินหน้าสงครามการค้าเข้มข้นขึ้น ดังนั้น จึงแนะนำให้ลูกค้า "ขายทำกำไร" ตราสารหนี้โลก และ "ทยอยซื้อ" "หุ้น" ที่ราคาปรับลงและมีปัจจัยบวกรออยู่ ได้แก่ หุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯหุ้นญี่ปุ่น หุ้นอินเดีย และหุ้นเวียดนาม นอกจากนี้ยังแนะนำให้ลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในทองคำ เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในช่วงที่เงินเฟ้อมีโอกาสเร่งตัวขึ้นด้วย   


"ปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับลดลงสู่ระดับประมาณ 4.1% เพราะนักลงทุนโยกเงินลงทุนจากหุ้นซึ่งเป็นสินทรัพย์เสี่ยงเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างตราสารหนี้ ส่วนหนึ่งเพราะกังวลสงครามการค้าจะรุนแรงขึ้นหลังปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีต่อเม็กซิโก แคนาดาและจีน อย่างไรก็ตาม Bond yield ที่ปรับลงมาค่อนข้างรวดเร็วได้ Priced-in ความเสี่ยงด้านต่ำของเศรษฐกิจไปพอสมควรแล้ว หลังจากนี้เงินเฟ้ออาจเร่งตัวขึ้นและ Fed อาจลดดอกเบี้ยน้อยกว่าคาดทำให้ Bond yield อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ อาจจะเคลื่อนไหวกลับไปที่ระดับ 4.5% จังหวะนี้จึงเหมาะสมที่จะขายทำกำไรตราสารหนี้โลกที่ในช่วง 2 เดือนนี้สร้างผลตอบแทนไปกว่า 2%" นายณัฐกฤติกล่าว


สำหรับตลาดหุ้นที่มีการปรับตัวลงในช่วงนี้มองว่าเป็นโอกาสเข้าลงทุนจากราคาที่เริ่มถูกลง แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโต ได้แก่ หุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ได้รับประโยชน์จากแผนการคลังของนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้แก่ การลดภาษีนิติบุคคล การผ่อนคลายกฎระเบียบ และมีความเสี่ยงต่ำจากการตอบโต้กลับของมาตรการทางการค้า  


ส่วนหุ้นประเทศญี่ปุ่น อินเดียและเวียดนาม มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวในการเติบโตทางเศรษฐกิจจากการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่งมีสัดส่วนกว่า50% ของ GDP ประเทศตัวเองได้  โดยประเทศญี่ปุ่นมีความน่าสนใจจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นพึ่งหลุดจากภาวะเงินฝืดและมีทิศทางฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยการบริโภคภายในประเทศ (Domestic consumption) และกำลังอยู่ในช่วงการเจรจาการปรับขึ้นของค่าจ้างปี 2568 ต่อเนื่องอีก 4-5%จากปีก่อนที่จะช่วยเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและยังมีปัจจัยช่วยจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงคาดว่าจะมีการเติบโตเศรษฐกิจปี 2568 สูงระดับ 1.2%  


ขณะที่ประเทศอินเดียและเวียดนามถูกมองว่าเป็นทางเลือกในการเป็นผู้ผลิตหรือเป็นทางผ่านของการส่องออกสินค้าไปทั่วโลกแทนจีนและมีการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ทั้งการขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน ทำให้ทั้ง 2 ประเทศนี้คาดว่าจะมีการเติบโตเศรษฐกิจปี 2568 สูงระดับ 6.3% และ 6.7% ตามลำดับ และที่เป็นจุดที่น่าสนใจคือหุ้นเวียดนามมีแนวโน้มจะ Upgrade สถานะของตลาดหุ้นเวียดนามขึ้นเป็นEmerging Markets ในปีนี้ ทำให้เปิดทางให้เม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติสามารถเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามอีกด้วย


ส่วนทองคำยังมองว่าน่าสนใจจากปัจจัยหนุนระยะกลาง-ยาวจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่อาจจะเร่งตัวขึ้น

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้