Today’s NEWS FEED

News Feed

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย แนวโน้มธุรกิจถ่านหินไทย ปี 2568

298

 สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(4 มีนาคม 2568)--------ในปี 2568 ปริมาณการจำหน่ายถ่านหินของผู้ประกอบการไทย ในตลาดต่างประเทศคาดว่าจะอยู่ที่ราว 38.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.3% จากปีก่อนหน้า ตามอุปสงค์ถ่านหินโลก ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวเล็กน้อยที่ราว 0.4% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากความต้องการที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นในอินเดียและอาเซียน


• ขณะที่ปริมาณถ่านหินที่จำหน่ายในไทยคาดว่าจะลดลง 1.2% ในปี 2568 มาอยู่ที่ 5.04 ล้านตัน โดยความต้องการจากภาคอุตสาหกรรมจะลดลงราว 5% จากภาคการผลิตที่ยังคงอ่อนแอ และกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับภาคการผลิตไฟฟ้า อุปสงค์มีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยที่ราว 0.4% ตามความต้องการใช้ไฟที่เติบโต


• รายได้รวมจากการขายถ่านหินของผู้ประกอบการไทย คาดว่าจะลดลง 4.5% ในปี 2568 เนื่องจากราคาขายถ่านหินเฉลี่ยมีแนวโน้มปรับตัวลงจากปีก่อนหน้า โดยรายได้จากการขายในตลาดต่างประเทศ และในไทยคาดว่าจะลดลง 4.3% และ 5.7% ตามลำดับ

---------------------------
ตลาดถ่านหินต่างประเทศราว 88% ของธุรกิจถ่านหินไทยเป็นการจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ โดยจะขายถ่านหินจากเหมืองในประเทศอินโดนีเซียเป็นหลัก และประเภทถ่านหินจัดจำหน่ายส่วนมากเป็นถ่านหินที่ให้พลังงานความร้อนไม่เกิน 6,100 กิโลแคลอรีต่อกิโลกรัม

ปริมาณถ่านหินที่จำหน่ายในตลาดต่างประเทศคาดว่าจะเติบโตเล็กน้อยในปี 2568 ปริมาณการจำหน่ายถ่านหินของผู้ประกอบการไทย ในตลาดต่างประเทศคาดว่าจะอยู่ที่ราว 38.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.3% จากปีก่อนหน้า (รูปที่ 2) ตามอุปสงค์โลกที่ยังคงเติบโต

อุปสงค์ถ่านหินโลกคาดว่าจะขยายตัวเล็กน้อยที่ราว 0.4% (รูปที่ 3) ได้รับแรงสนับสนุนจากความต้องการที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นในอินเดียและอาเซียน

ในปี 2568 ความต้องการถ่านหินในจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักของโลกมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ที่ 4.94 พันล้านตัน (รูปที่ 4) ขณะที่อุปสงค์จากอินเดีย และกลุ่มประเทศอาเซียนมีทิศทางเติบโต อย่างไรก็ตาม ความต้องการใน EU ยังคงมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจากการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงความต้องการในสหรัฐฯ ที่ก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน แม้ว่าในปี 2568 จะมีการกลับมาใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมากขึ้น จากนโยบายด้านพลังงานของ โดนัลด์ ทรัมป์ แต่ถ่านหินอาจไม่ได้รับแรงหนุนมากนักเนื่องจากมีสัดส่วนการใช้งานเพียงแค่ 1% ของภาคการผลิตไฟฟ้าทำให้การสนับสนุนคาดว่าจะมุ่งเน้นไปที่ก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก

ในปี 2568 การนำเข้าถ่านหินมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอินเดียแต่ลดลงในจีน


การนำเข้าถ่านหินทางทะเลจากจีน มีแนวโน้มลดลงจาก 358 ล้านตันในปี 2567 มาอยู่ที่ประมาณ 340 ล้านตัน ในปี 2568 โดยเป็นผลมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ อุปสงค์ที่ลดลงในอุตสาหกรรมเหล็กและภาคการผลิตไฟฟ้า รวมไปถึงการผลิตถ่านหินในประเทศที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อนหน้า ทั้งนี้ความต้องการนำเข้าที่ลดลงของจีนจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อผู้ประกอบการรายเล็กในอินโดนีเซีย ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบการไทยด้วย
ในขณะเดียวกัน การนำเข้าถ่านหินของประเทศอินเดีย อาจได้รับแรงกดดันเล็กน้อยในช่วงต้นปี 2568 จากความต้องการที่ลดลงในภาคอุตสาหกรรมเหล็ก เนื่องจากปริมาณอุปทานเหล็กส่วนเกินจากจีนถูกเทขายมายังอินเดีย อย่างไรก็ตาม ภาพรวมในปี 2568 ความต้องการนำเข้าถ่านหินของอินเดียคาดว่าจะยังคงเติบโต แม้การผลิตภายในประเทศจะเพิ่มขึ้น แต่ถ่านหินที่ผลิตได้นั้นมักใช้ในภาคการผลิตไฟฟ้าเป็นหลัก ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมมักใช้ถ่านหินนำเข้าโดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องการถ่านหินคุณภาพสูง

ตลาดถ่านหินในประเทศไทย

ในปี 2568 ปริมาณถ่านหินที่จำหน่ายในไทยคาดว่าจะลดลงจากปีก่อนหน้า

ปริมาณถ่านหินที่จำหน่ายในไทยคาดว่าจะลดลง 1.2% มาอยู่ที่ 5.04 ล้านตัน (รูปที่ 5) จากความต้องการใช้งานในภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง แม้ในภาคผลิตไฟฟ้าจะเติบโตเล็กน้อย

อุปสงค์ถ่านหินจากภาคอุตสาหกรรมในไทยคาดว่าจะลดลงราว 5% จากปีก่อนหน้า (รูปที่ 6) ตามกิจกรรมการผลิตที่ยังคงอ่อนแอ และกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น โดยกิจกรรมการผลิตที่อ่อนแอ เป็นผลมาจากการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นจากการเข้ามาของสินค้าจีน ทั้งตลาดในประเทศ และส่งออก ส่งผลให้ อุตสาหกรรมผลิตปูนซีเมนต์ ซึ่งมีสัดส่วนการใช้ถ่านหินในกระบวนการผลิตมากถึง 60% ของอุปสงค์ถ่านหินโดยรวมในภาคอุตสาหกรรม ยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัว นอกจากนี้กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะมาตรการเก็บภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนจากยุโรป (CBAM) ก็มีส่วนผลักดันให้ผู้ผลิตสินค้าส่งออกลดปริมาณการใช้ถ่านหินลงด้วยเช่นกัน
สำหรับภาคการผลิตไฟฟ้า อุปสงค์ถ่านหินมีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยที่ราว 0.4% จากปีก่อนหน้า (รูปที่ 6) ตามความต้องการใช้ไฟที่เติบโต และเพื่อควบคุมต้นทุนการผลิตไฟฟ้า โดยในปี 2568 ความต้องการใช้ไฟคาดว่าจะโตราว 1.4% ทำให้ความต้องการถ่านหินเพิ่มขึ้นตาม เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 2.45 บาทต่อหน่วย ต่ำกว่าก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าหลักราว 36% อย่างไรก็ตาม ปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่จะสามารถกลับมาผลิตได้เต็มกำลังตลอดปี 2568 อาจมีผลจำกัดการขยายตัวของอุปสงค์ถ่านหินให้อยู่ในระดับต่ำ


รายได้จากการขายถ่านหินมีแนวโน้มลดลงจากปีก่อนหน้า


รายได้รวมจากการขายถ่านหินของผู้ประกอบการไทย คาดว่าจะลดลง 4.5% ในปี 2568 (รูปที่ 7) จากราคาขายถ่านหินเฉลี่ยที่ปรับลดลง และความต้องการถ่านหินภายในประเทศที่หดตัว

ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของผู้ประกอบการไทยในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 93.9 ดอลลาร์ฯ ต่อตัน ในปี 2568 ลดลงราว 5% จากปีก่อนหน้า ตามภาวะการชะลอตัวของอุปสงค์ถ่านหินโลก ส่งผลให้ รายได้จากการขายในตลาดต่างประเทศ คาดว่าจะอยู่ที่ 122,648 ล้านบาท ขณะที่ รายได้จากการขายในไทย คาดว่าจะอยู่ที่ 16,044 ล้านบาท ลดลง 4.3% และ 5.7% ตามลำดับ (รูปที่ 8)

ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมถ่านหินไทยในระยะกลางถึงยาว

ตลาดในประเทศ

• ความต้องการใช้ถ่านหินในไทยมีแนวโน้มลดลงจากร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าในระยะยาวของไทย (PDP 2024) ที่มุ่งเน้นการใช้พลังงานทดแทน โดยมีแผนการลดปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเหลือเพียง 7% ของปริมาณการผลิตไฟฟ้าในปี 2580 จากที่อยู่ราว 14% ในปี 2567 ในขณะเดียวกัน สัดส่วนพลังงานสะอาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 51% จากปัจจุบันที่ 22%

• ภาคอุตสาหกรรมไทยมีแนวโน้มใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงพลังงานลดลง เนื่องจากพ.ร.บ. Climate Change และกฎระเบียบการค้าโลกด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการส่งออกไปยัง EU ซึ่งมีการใช้มาตรการ CBAM ที่มีผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ซึ่งกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาดในการผลิต (Low carbon cement) ตลาดต่างประเทศ


• ความต้องการถ่านหินในตลาดโลกมีทิศทางปรับตัวลดลงจากกระแสรักษ์โลก โดยเฉพาะคู่ค้าหลักอย่างจีน ที่หันไปพึ่งพาพลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งภายในปี 2603 จีนตั้งเป้าหมายเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดโดยเฉพาะพลังงานลมและแสงอาทิตย์ ให้มีสัดส่วนเป็น 80% ของการผลิตพลังงานทั้งหมด ในขณะที่ลดจำนวนการใช้ถ่านหินเหลือเพียง 5% ทั้งนี้ หากมีเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกสะอาดที่มีต้นทุนใกล้เคียงและมีคุณสมบัติในการให้พลังงานเทียบเท่ากับถ่านหิน อาจส่งผลให้ความต้องการใช้ถ่านหินลดหายไปในระยะยาว

• เทคโนโลยีกักเก็บก๊าซเรือนกระจกหรือที่เรียกว่าถ่านหินสะอาด ซึ่งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนยังคงมีต้นทุนสูง โดยจะเพิ่มต้นทุนขึ้นราว 70% จากการผลิตพลังงานโดยถ่านหินแบบเดิม และสามารถกักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้เพียง 90% ทำให้ผู้ประกอบการที่ตั้งเป้าหมาย Net zero อาจเลือกใช้พลังงานทางเลือกอื่น

• อินเดียมีนโยบายหันมาพึ่งพาถ่านหินที่ผลิตในประเทศตนเองมากขึ้น โดยมีการตั้งเป้าว่า ภายในปี 2573 จะเพิ่มกำลังการผลิตถ่านหินจากภายในประเทศเป็น 1,522 ล้านตัน เพิ่มขึ้นกว่า 70% ของปริมาณที่ผลิตได้ในปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลทำให้การนำเข้าถ่านหินของอินเดียจากต่างประเทศมีแนวโน้มลดลงในระยะยาว

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

ตะวันออกกลาง คลี่คลาย By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ สถานการณ์ตะวันออกกลาง คลี่คลาย ตลาดหุ้นต่างประเทศ ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดหุ้นไทยเช่นกัน..

NAM ผนึกกลุ่ม PRINC ลุยขยายธุรกิจ Serviso ทั่วประเทศ

NAM ผนึกกลุ่ม PRINC ลุยขยายธุรกิจ Serviso ทั่วประเทศ

บมจ.แมสเทค ลิ้งค์ หรือ MASTEC จัดเต็มโรดโชว์ จ.นครปฐม เดินหน้าเข้าเทรดใน SET ปีนี้ เตรียมเสนอขายหุ้น 79 ล้านหุ้น

บมจ.แมสเทค ลิ้งค์ หรือ MASTEC จัดเต็มโรดโชว์ จ.นครปฐม เดินหน้าเข้าเทรดใน SET ปีนี้ เตรียมเสนอขายหุ้น 79 ล้านหุ้น

มัลติมีเดีย

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้