เจ็บจนเกินใจจะทน

External Factor
• วานนี้ราคาน้ำมันดิบโลก ร่วงลงไปเกือบ 2% หลังกลุ่ม OPEC+ ยืนยันตามแผนว่าจะ เริ่มเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 138,000 บาร์เรล/วัน ในเดือน เม.ย. 68

• อย่างไรก็ตามในระยะถัดไป อาจมีปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันผันผวนได้ จากทั้งประเด็น ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ยังไร้ข้อยุติ เสี่ยงกดดันต่อ Supply นอกจากนี้ ยังมี ความกังวล Demand ชะลอตัวลง

• วันที่ 4 มี.ค. 68 สหรัฐฯ มีผลบังคบใช้มาตรการเรียกภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกใน อัตรา 25% และแคนาดา 10-25% จีนเพิ่มขึ้นเป็น 20% และล่าสุดมีการประกาศว่า สหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทางการเกษตรจากต่างประเทศเริ่ม 2 เม.ย. 68

Internal Factor
• เบื้องต้นกำไรบริษัทจดทะเบียน 4Q67 ไม่ถึง 1.4 แสนล้านบาท (ไม่รวม THAI ราว 1.8 แสนล้านบาท (-6%QoQ, +10%YoY)) โดยมี Sector ที่เติบโตทั้ง QoQ และ YoY คือ TOURISM, COMM, CONMAT, TRANS, INSUR, STEEL, IMM, PERSON ฯลฯ ส่งผลให้กำไรปี 2567 ไม่รวม THAI 9แสนล้านบาท (คิดเป็น EPS67 ราว74 บาท/หุ้น เท่านั้น โดยกำไรที่หายไปเกิดจากรายการพิเศษหลายบริษัท

• ขณะที่ปัจจุบัน Bloomberg ให้ EPS68F ที่ 96 บาท/หุ้น ยังมีความเสี่ยงที่จะต้องปรับลง กดดันตลาด โดยตอนนี้ฝ่ายวิจัย ASPS ให้ EPS68 ที่บริเวณ 89 บาท/หุ้น

Investment Strategy
• ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสผันผวนจากประเด็นกำแพงภาษี การปรับลดประมาณการกำไรในช่วงนี้ อีกทั้งยังเห็น เม็ดเงิน FCD (เงินฝากในสกุลเงินต่างประเทศ) ขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 2.6 หมื่นล้านเหรียญ กดดันตลาดฯ ส่วน วันนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1170 –1200 จุด

• แนะนำหลบความผันผวน สะสมหุ้น Dividend Yield 25F เกิน 5% อย่าง TOP, SIRI, SCB, SPALI, TISCO, LH, WHA, AP, PTT, TU, SCC ฯลฯ

ปัจจัยแวดล้อมดูยังไม่ราบรื่น
วานนี้ราคาน้ำมันดิบโลก ร่วงลงไปเกือบ 2% หลังกลุ่ม OPEC+ ยืนยันตามแผนว่าจะเริ่มเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 138,000 บาร์เรล/วัน ในเดือน เม.ย. 68 (ถือเป็นการเพิ่มครั้งแรกนับแต่ปี 2565) อย่างไรก็ตามในระยะถัดไป อาจมี ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันผันผวนได้ จากทั้งประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ยังไร้ข้อยุติ เสี่ยงกดดันต่อ Supply

นอกจากนี้ ยังมีความกังวล Demand ชะลอตัวลง โดยล่าสุดมีสัญญาณจากดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ เดือน ก.พ. 68 ออกมา 50.3 จุด ซึ่งต่ำกว่าคาด และปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนที่ 50.6 และ 50.9 ตามลำดับ ด้วย ผลกระทบจากการดิ่งลงของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า

ซึ่งในวันที่ 4 มี.ค. 68 สหรัฐฯ มีผลบังคบใช้มาตรการเรียกภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกในอัตรา 25% และแคนาดา 10-25% รวมถึงเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นเป็น 20% (เดิม 10%) อีกทั้งล่าสุด ปธน. Trump ประกาศว่า สหรัฐฯ จะกำหนดภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าทางการเกษตรจากต่างประเทศเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. 68

หากพิจาณาความเสี่ยงทางการค้าในไทย มีแนวโน้มเกินดุลกับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้น กรณีที่มาตราการเรียกเก็บภาษีของสหรัฐฯ เข้มงวดขึ้น และส่งผ่านมาถึงบ้านเรา อาจกดดันต่อการขยายตัวของ ภาคส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูงๆ อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และ ส่วนประกอบ, เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น

Downside กำไรบริษัทจดทะเบียนกดดัน SET ในช่วงนี้ แนะสะสมหุ้นปันผลสูง
เบื้องต้นกำไรบริษัทจดทะเบียน 4Q67 ไม่ถึง 1.4 แสนล้านบาท (ไม่รวม THAI ราว 1.8 แสนล้านบาท (-6%QoQ, +10%YoY)) โดยมี Sector ที่เติบโตทั้ง QoQ และ YoY คือ TOURISM, COMM, CONMAT, TRANS, INSUR, STEEL, IMM, PERSON ฯลฯ ส่งผลให้กำไรปี 2567 ไม่รวม THAI 9 แสนล้านบาท (คิดเป็น EPS67 ราว 74 บาท/หุ้น เท่านั้น โดยกำไรที่หายไปเกิดจากรายการพิเศษหลายบริษัท

ขณะที่ปัจจุบัน Bloomberg ให้ EPS68F ที่ 96 บาท/หุ้น ยังมีความเสี่ยงที่จะต้องปรับลง กดดันตลาด โดยตอนนี้ฝ่าย วิจัย ASPS ให้ EPS68 ที่บริเวณ 89 บาท/หุ้น

ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสผันผวนจากประเด็นกำแพงภาษี การปรับลดประมาณการกำไรในช่วงนี้ อีกทั้งยังเห็นเม็ดเงิน FCD (เงินฝากในสกุลเงินต่างประเทศ) ขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 2.6 หมื่นล้านเหรียญ กดดันตลาดฯ ส่วนวันนี้ประเมิน กรอบการเคลื่อนไหวที่ 1170 –1200 จุด

หุ้นเด่นแนะนำหลบความผันผวน สะสมหุ้น Dividend Yield 25F เกิน 5% อย่าง TOP, SIRI, SCB, SPALI, TISCO, LH, WHA, AP, PTT, TU, SCC ฯลฯ

Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์