Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี : KSS Daily Strategy

502

 

 

"Declining Yield Play"

 

KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "พยายามสร้างฐาน" ต้าน 1200/1209จุด รับ 1178/1173 จุด ปัจจัยกำหนดทิศทางตลาดวันนี้ 1.) สหรัฐฯเริ่มใช้กำแพงภาษีนำเข้าเม็กซิโก แคนาดา 25% และจีนเพิ่มอีก 10% (อิง Krungsri Research มาตรการนี้ ยังกระทบเศรษฐกิจไทยจำกัด) สร้างความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้กระแสเงินระยะสั้นเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยเช่น US Bond Yield 10ปี ร่วงลง -5 bps สู่ 4.15% ราคาทองคำ +1.22% 2.) Dollar Index ที่อ่อนค่าตอบรับตลาดเปลี่ยนมุมมองดอกเบี้ยปีนี้จะลง 3ครั้ง สอดคล้องมุมมองของเราที่คาดลด 2ครั้ง+ อาจเป็นจุดบวกต่อ EMs 3.) OPEC+ เตรียมเพิ่มกำลังผลิต เม.ย. 25 อีก 1.38 แสนบาร์เรล กดน้ำมันลงเฉลี่ย -1.8% 4.) วันนี้การประชุม Two-session จีน หนุนจิตวิทยาฝั่งเอเชีย 5.) ภายในรัฐฯ เริ่มแผนยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน อิง New s-curve ระยะยาว นำโดย Entertainment Complex พรบ. ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Landbridge) เป็นบวกระยะยาว และ 6.) SET ยังย่ำใน Deep Value Zone คือ มี Current ERP 4.5% > AVG + 1 S.D. (หากไม่รวมขาดทุนจากรายการพิเศษ จะสูง 4.9% ใกล้ + 2 S.D.) ยังแนะนำซื้อเพื่อระยะกลาง-ยาว อย่างมั่นคง กลยุทธ์วันนี้เลือกหุ้น Domestic ที่อิงประโยชน์ Yield ลง ผสานกลุ่ม Defensive, High Yield และกลุ่มอิงบวกจากกำแพงภาษี(สื่อสาร ร.พ. REIT นิคม) วันนี้แนะนำ GULF, MTC, AP

 


Daily outlook: "พยายามสร้างฐาน" ต้าน 1200/1209 จุด รับ 1178/1173 จุด

What happened around the world?

(-)US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับแรง จากความกังวลผลกระทบจากสหรัฐยืนยันจะเก็บภาษีนำเข้า แคนาดา เม็กซิโก จีนวันนี้ และ ตัวเลข ISM PMI ออกมาต่ำตาด Dow jones -1.48%d-d, ดัชนี Nasdaq -2.64%d-d, S&P500 -1.76% โดยดัชนี S&P 500 Sector ที่ Outperform คือ กลุ่ม Defensive อาทิ Real estate, Consumer staples, Health care, Utilties ในทางตรงข้ามกลุ่มที่ Underperform คือ IT, Energy, Consumer discretionary , Materials ฯลฯ โดยหุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ NVIDIA -8.7%, Broadcom -6%, Taiwan semiconductor -4.2% มองเป็นจิตวิทยาลบต่อตลาดฝั่งเอเซียเหนือ และหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนไทยวันนี้ , Amazon -3.4%, Apple -1.6%

(*/+) China Econ : Caixin PMI ภาคผลิต เดือน ก.พ. เร่งขึ้นมาที่ 50.8 จุด เป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 3 เดือน มากกว่าตลาดคาด 50.5 จุด vs prev. 50.1 จุด สอดคล้องกับ PMI ธุรกิจขนาดใหญ่ที่ออกมาในช่วงวันหยุดดออกมาดีกว่าคาด ผสานกับคาดการณ์ 4-5 มี.ค. การประชุมสองสภาประจำปี จับตาเป้าหมายเศรษฐกิจจากรัฐบาล และคาดจะเห็นความคาดหวังจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา โดยรวมมองบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีน มองบวกต่อหุ้น China play เน้น SCGP, IVL, STA

(*) US Econ : 1.) ISM PMI ภาคผลิต ก.พ. (สำรวจเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ 400 บริษัทและให้ความสำคัญกับ Supply Chain ทั้งหมด) พลิกลดลงมาอยู่ที่ 50.3 จุด ต่ำกว่าตลาดคาด 50.3 จุด vs prev. 50.9 จุด 2.)สถาบัน S&P รายงาน PMI ภาคผลิต ก.พ. (สำรวจรวมทั้งบริษัทขนาดใหญ่ + ขนาดเล็ก SMEs) ออกมาดี ที่ 52.7 จุด ดีกว่าตลาดคาดที่ 51.6 จุด prev. 51.2 จุด 3.) ตัวเลขการใช้จ่ายภาคก่อสร้าง เดือน ม.ค. พลิกจากบวกเป็นติดลบ -0.2%m-m มากกว่าตลาดคาด โดยรวมตัวเลข PMI ตลาดให้น้ำหนักไปที่ ISM PMI มากกว่า เพราครอบคลุมธุรกิจ และชี้ภาคการผลิตสหรัฐได้มากกว่าและน่าเชื่อถือจากข้อมูลในอดีต โดยรวมหนุน

(*) US Tariff : วันนี้ 4 มี.ค. เป็นวันที่สหรัฐจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% และจีนจะถูกเก็บ 10% ( ปธน. ทรัมป์ออกแถลงการณ์ยืนยันที่ทำเนียบขาวในวันจันทร์) ล่าสุด 1.) ทางการจีนประกาศ พิจารณามาตรการตอบโต้ การเก็บภาษีนำเข้า โดยเน้นไปที่สินค้าเกษตรและอาหารจากสหรัฐ ฯลฯ 2.)แคนาดาเตรียมประกาศมาตรการติบโตสหรัฐ คืน Krungsri research ประเมินผลกระทบ คือ ผลกระทบต่อการส่งออกสูงสุดจะเกิดขึ้นในเม็กซิโก (การส่งออกไปยังสหรัฐฯ คิดเป็น 79.6% ของการส่งออกทั้งหมด) และแคนาดา (77.6%) โดยผลกระทบปานกลางต่อเวียดนาม (27.5%) ไทย (17.1%) โดยสินค้าไทยที่คาดจะได้ประโยชน์จากการขึ้นภาษี หลักๆ คือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มชิ้นส่วนรถมอเตอไซค์ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มสุขภาพ กลุ่มอาหาร ฯลฯ แต่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบ คือ กลุ่มปิโตรเคมี ยาง พลาสติก เสื้อผ้า เหล็ก ฯลฯ KSS ประเมินเป็นจิตวิทยาลบต่อ SET Index วันนี้

(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 5 มี.ค. ISM PMI ภาคบริการ ก.พ. คาด 53.0 จุด vs prev. 52.8 จุด. 4 มี.ค. มาตรการการค้าใหม่สหรัฐฯต่อเม็กซิโก แคนาดา จีน มีผล 7 มี.ค. การจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐ เดือน ก.พ. คาด 1.55 แสนราย vs prev. 1.43 แสนราย, อัตราการว่างงาน ก.พ. คาด 4.0% เท่า prev. ฝั่งยุโรป 6 มี.ค. การประชุม ECB คาดปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย -25 bps สู่ 2.5% ฝั่งจีน 5 มี.ค. Caixin PMI ภาคบริการ คาด 51.0 จุด เท่าเดือนก่อน

(*) US Bond Yields & Dollar : US Bond Yields ปรับลงต่อเนื่อง อายุ 2 ปี -3 bps ลงมาที่ 3.95% และอายุ 10 ปีปรับลงต่อ -5 bps อยู่ที่ 4.15% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ระยะสั้นมองเป็นจิตวิทยบวกต่อหุ้น กลุ่มการเงิน MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC กลุ่มหนี้สูง MINT ,CPAXT ส่วน Dollar Index อ่อนค่าลงมาบริเวณ 106.4 จุด

(+) Refinery: ค่าการกลั่นฟื้นตัวแรง ค่าการกลั่น ณ โรงกลั่นสิงคโปร์ ปิดล่าสุด 3 มี.ค. พลิกเพิ่มขึ้น (+208%d-d หรือ +3.64$ จากวันก่อน) ปิดที่ระดับ 5.39$/bbl prev. 1.75$/bbl เป็นสัญญาณบวกหุ้นกลุ่มโรงกลั่น เน้น SPRC BCP

(-)Oil :น้ำมันดิบ Brent -1.72%d-d ปิดที่ USD 71.56/barrel , น้ำมันดิบ West Texas -1.99%d-d ปิดที่ USD 68.37/barrel แรงกดดันหลักมาจากความกังวล Supply น้ำมันจะเพิ่มขึ้นจากข่าวประเทศผู้ผลิตน้ำมัน (OPEC+) จะเพิ่มการผลิตน้ำมันตามแผนในเดือน เม.ย. ราว 1.38 แสนบาร์เรลต่อวัน ตามแผนที่วางไว้ และความกังวลว่าภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกและความต้องการน้ํามัน โดยรวมยังคงมองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP กลุ่มโรงกลั่น ในทางตรงข้ามเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่ม Anticommodity อาทิ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ฯลฯ และกลุ่มสายการบินที่มีต้นทุนมาจากน้ำมัน อาทิ AAV, BA

 

What happened in Thailand?

(-) SET: SET Index ปรับลงมาต่ำ 1200 จุด -15.3 จุด -1.27% ปิด 1188.4 จุด มูลค่าการซื้อ-ขายที่ 4.4 หมื่นล้านบาท สอดคล้องกับตลาดหุ้นในฝั่งเอเชียเหนือ แต่สวนทางกับประเทศในกลุ่ม TIPs โดย Sector กลุ่มที่ปรับลงและกดดัชนีคือกลุ่มชิ้นส่วน (DELTA) ประเมินตลาดขายลดความเสี่ยง ก่อนมาตรการกีดกันการค้าสหรัฐฯ กับ เม็กซิโกและแคนาดาจะเริ่มมีผล 4 มี.ค. ซึ่งกลุ่มชิ้นส่วนฯมีความเสี่ยงได้รับผลกระทบ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CAPXT, HMPRO) ประเมินตลาดเริ่มกังวลภาพยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่เสี่ยงแผ่วลง จากฐาน ก.พ. 24 ที่มี 29 วัน และมีเทศกาลตรุษจีน กลุ่ม ICT (ADVAN, TRUE, INTUCH) ประเมินถูกขาย Lock กำไรจากการที่เป็นหุ้นกลุ่มที่ Outperform ฯลฯ ในทางตรงข้ามกลุ่มหนุนดัชนีนำโดย กลุ่มธนาคาร (SCB, KBANK, KTB) ประเมินนักลงทุนดักซื้อก่อนจ่ายเงินปันผล กลุ่มอื่นๆ ที่เด่นขึ้น คือ วัสดุก่อสร้าง SCC หลังหุ้นปรับตัวตอบรับข่าวลบมามาก กลุ่มท่องเที่ยว ฟื้นตัวหลังรับจิตวิทยาลบกรณีรัฐฯส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน

(-) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติเป็นภาพไหลออก ขายหุ้น -44.7 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -179.4 ล้านเหรียญฯ Net Long TFEX ที่ 4,415 สัญญา เงินบาทเคลื่อนไหวทรงตัวระดับ 34.1 +/- บาท

(*) Entertainment Complex: กระทรวงการคลัง ได้ยืนยันร่างของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และจะดำเนินการตามขั้นตอน คือ ทำหนังสือเวียนไปถึงทุกกระทรวง และนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้ง จากนั้นเมื่อที่ประชุม ครม.เห็นชอบแล้ว ก็จะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ทันก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯ ในวันที่ 11 เม.ย.นี้ เราประเมินแนวโน้มดังกล่าวเป็นบวกต่อการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจมากขึ้น แต่ต้องติดตามกระบวนการกำกับดูแลเพื่อลดความเสี่ยงก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมตามมา ซึ่งอาจจะเป็นประเด็นก่อให้เกิดความไม่เห็นด้วยต่อการเดินหน้าโครงการดังกล่าว อย่างไรก็ดี ระยะสั้น จิตวิทยาบวกต่อหุ้นในธีมดังกล่าว อาทิ BTS, VGI, BA, STECON, MBK

(*/+) SEC`: กระทรวงคมนาคม เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 11 มี.ค.นี้ ขอความเห็นชอบการให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จัดทำร่าง พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ทั้งนี้เมื่อครม. เห็นชอบแล้ว จะส่งร่างพ.ร.บ. SEC เข้าสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอบรรจุวาระ โดยวิปรัฐบาลจะกำหนดการบรรจุพิจารณา วาระที่ 1 ต่อไป ซึ่งคาดว่าจะผลักดันกฎหมายแล้วเสร็จในปีนี้ คาดจะเป็นการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership หรือ PPP) ให้สิทธิ์เอกชนลงทุนในการก่อสร้างและการบริหารจัดการ เป็นระยะเวลา 50 ปี และจะเปิดให้ประกวดราคานานาชาติ นำโดยงานประมูลก่อสร้าง Landbridge ระยะที่ 1 มูลค่า 5.2 แสนล้านบาท ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมา กลุ่มนิคม และกลุ่ม Logistic

(*/+) Vayupak: กรรมการผู้จัดการ บลจ. หลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย (KTAM) ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการการลงทุน (AIMC) และหนึ่งในผู้จัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 กองทุนยังมีสภาพคล่องเหลือ ที่ผ่านมาเงินพักไว้ในตราสารหนี้ และพร้อมนำกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน เมื่อมีจังหวะสะสม เราประเมินสัญญาณที่ดีต่อภาพเม็ดเงินลงทุนระยะกลาง-ยาวของประเทศที่พร้อมลงทุน โดยปัจจุบันมีโอกาสมากขึ้น หลังตลาดลงมาอยู่โซน Deep Value คือ มี Equity Risk Premium ที่ราว 4.5% เป็นระดับ ERP > AVG + 1 S.D. (หากใช้กำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษ ERP จะสูง 4.94% ใกล้ + 2 S.D.)

(*) To monitor: ปัจจัยภายในสัปดาห์นี้ ได้แก่

1.) 4-7 มี.ค. รายงานเงินเฟ้อ CPI ก.พ. 25 เงินเฟ้อทั่วไป ไม่มีคาด vs prev. +1.32%y-y, 0.1%m-m ส่วนเงินเฟ้อ CPI พื้นฐาน ไม่มีคาด vs prev. 0.83%y-y

2.) 7-13 มี.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.พ. 25 ไม่มีคาด vs prev. 59.0 จุด

 

Daily Strategy : GULF, MTC, AP

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "พยายามสร้างฐาน" แม้สินทรัพย์เสี่ยงภาพรวมจะมีจิตวิทยาลบสหรัฐฯเดินหน้ามาตรการกีดกันการค้ากับเม็กซิโก แคนาดา แต่ส่งผลให้ตลาดเริ่มกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯเปลี่ยนจากภาพ Goldilocks สู่ Soft Landing คลายแรงกดดัน US Bond Yield ต่อเอเชีย ขณะที่ SET อยู่ในโซนที่เป็น Deep Value Current Equity Risk Premium > AVG + 1 S.D. และหากไม่รวมรายการพิเศษจะใกล้แตะระดับ AVG+ 2 S.D. คาดหนุน SET พยายามสร้างฐาน หุ้นเด่น คือ หุ้น Domestic ที่ Yield สหรัฐฯ ต่ำสุดในรอบ 8 เดือนหนุน ผสานกลุ่ม Defensive, High Yield และกลุ่มได้แรงหนุนจากมาตรการค้า (สื่อสาร ร.พ. REIT นิคม)

 

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (BTS, VGI, BJC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (BA, AAV, GULF, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
กลุ่ม Value ที่คาดมีโอกาสซื้อหุ้นคืน (PTT , SCB , KBANK , KTB , BBL , BCP)
7 หุ้นที่อยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO)

• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 


Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 


Strategy Update :SET 50/100 interim Rebalance

การเปลี่ยนแปลง SET50/SET100 ระหว่างกาล Update สืบเนื่องจากกรณี GULF, INTUCH จะมีการควบรวมเป็นบริษัทใหม่ คือ GULF Development ซึ่งจะเข้าตลาดวันที่ 3 เม.ย. ทำให้มีการนำหุ้นเข้า SET50/SET100 ใหม่ในระหว่างกาล ดัชนีละ 1บริษัท KSS ได้ประเมินหุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 และ SET100 ใหม่ผลจากประเด็นนี้

SET50 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่ระหว่างกาล Rebalance สิ้นวันที่ 2 เมย คือ VGI (โอกาสเข้า 95%)

SET100 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่จะแข่งกันระหว่าง MOSHI (โอกาส 50%), THCOM (โอกาส 30%), KAMART (โอกาส 20%)

กลยุทธ์ : เราคาดหุ้นที่ถูกนำเข้า SET50/100 จะถูกเพิ่มน้ำหนักจาก Passive Fund เป็นบวกต่อราคาหุ้น โดยในส่วน SET 50 เราแนะนำเก็งกำไร VGI และ BTS บ.แม่ (ถือหุ้น 57.1%) ส่วน SET100 แนะนำเก็งกำไร MOSHI

Strategy Update : ThaiESG Plays

กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดตั้ง กองทุน ThaiESG กองที่ 2 คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยมีวงเงินประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับกองทุน LTF ที่ครบอายุไปแล้ว ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนและสิทธิประโยชน์ยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งอาจแตกต่างจากกองทุน ThaiESG เดิม แต่ยังคงเน้นลงทุนในประเทศ โดยเราประเมินว่าการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจะช่วยชะลอแรงขายจาก LTF เดิมและเสริมสภาพคล่องใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่ถือ LTF ระยะยาว ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 1,620-1,640 จุด

เรามองปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามซึ่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดในระยะกลางถึงยาว ได้แก่ การขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากมีการเพิ่มเพดานลดหย่อนของ ThaiESG จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท เท่ากับ LTF เดิม จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดมากขึ้น อีกทั้งยังมีการหารือเรื่อง การลงทุนในหุ้นไทย 100% และ การขยายขอบเขตของหุ้น ESG เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนและกระจายความเสี่ยง KSS มองว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการขาดเงินทุนระยะยาวจาก LTF ที่หมดสิทธิประโยชน์ หากภาครัฐมีมาตรการชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ จะช่วยให้ SET ค่อย ๆ ฟื้นตัว

KSS ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการสะสมหุ้น เนื่องจาก SET ยังอยู่ใน Deep Value Zone โดยมีค่า PER ปี 2568 อยู่ที่ 13.5 เท่า และหากไม่นับรวมหุ้น DELTA ค่า PER จะอยู่ที่เพียง 11.5 เท่า ปัจจุบันมีหุ้นที่เข้าข่ายการลงทุนระยะยาว ได้แก่ 300 บริษัทที่มี PER ต่ำกว่า 12 เท่า, 435 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูงกว่า 3%, 548 บริษัทที่มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และ 145 บริษัทที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามข้อ KSS แนะนำ 7 หุ้น Deep Value ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ได้แก่ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP และ HMPRO พร้อมกันนี้ยังแนะนำอีก 5 บริษัท ที่เข้าเงื่อนไข PER < 12X, PBV < 1X และ Dividend Yield > 3% ในกลุ่มธนาคาร KBANK, KTB, BBL ผสาน อสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มมีปัจจัยหนุนเชิงบวก เช่น AP และ SIRI

Strategy Update : Summer Plays

กระแสการเก็งกำไรในหุ้นธีม "หน้าร้อน" กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยาเผยว่าในปีนี้ จะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนในไทยสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน ก.พ. 25 - กลางเดือน พ.ค. 25 ภายใต้คาดการณ์กรมอุตุนิยมวิทยาปี 2025F คาดอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบน 35 – 36 องศาเซลเซียส แม้จะต่ำกว่าฤดูร้อนปี 2024 อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 37.5 องศาเซลเซียส แต่ยังใกล้เคียงค่าเฉลี่ยฤดูร้อนปกติที่ 35.4 องศาเซลเซียส แต่จุดที่น่าสนใจคือ ราคาหุ้นหลายตัวมี Deep Discounts จากภาวะตลาดที่ผันผวน สร้างโอกาสระยะยาวด้วยอีกทางหนึ่ง ทีมกลยุทธ์คาด KSS อากาศที่ร้อนสูงขึ้น จะหนุน

1.) การบริโภคเครื่องดื่มที่มีความคึกคักขึ้น

2.) ประชาชนจะมีความต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งพัดลม, แอร์ เพื่อบรรเทาผลกระทบอากาศร้อน

3.) การทำงานก่อสร้างจะเร่งส่งมอบได้มากกว่าช่วงหน้าฝน

4.) การท่องเที่ยวทะเลที่เป็นจุดเด่นของไทยมักคึกคัก

ภาพรวมดังกล่าวที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มักหนุนกระแสหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์อาทิ กลุ่ม มีภาพถูกเก็งกำไรในช่วงฤดูร้อน อาทิ กลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มค้าปลีกที่เน้นขายเครื่องใช้ไฟฟ้าบรรเทาอากาศร้อน กลุ่มรับเหมา และกลุ่มโรงแรม อิงผลการศึกษาผลตอบแทนย้อนหลัง 9 ปี (ไม่รวมปีที่เผชิญ Covid ในปี 2020 ที่ผลตอบแทนรายกลุ่มกระทบความเสี่ยงตลาด) ช่วงเวลาที่ดีสุดในการลงทุน คือ การลงทุนในช่วงเข้าสู่ฤดูร้อน และขายทำกำไรหลังจากนั้น 1 เดือน โดยช่วงปัจจุบัน คือ ควรเริ่มสะสมหุ้นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของ ก.พ. 25 และขายทำกำไรช่วงปลาย มี.ค. 25 - ต้น เม.ย. 25 โดยกลุ่มโรงแรม (ความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 87.5% ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.7%) ตามด้วยกลุ่มรับเหมา (62.5%, 1.6%) กลุ่มค้าปลีก (50%, 1.2%) สูงกว่า SET (50%, 1.1%) ขณะที่ภาพรายบริษัท คือ CRC(100%, 5.3%) ICHI (87.5%, 3.7%) SAPPE (75%, 7.2%) CENTEL (75%, 4.4%) MINT (62.5%, 3.3%) GLOBAL (62.5%, 2.3%) HMPRO (50%, 4.9%) DOHOME (50%, 2.3%)

ในเชิงกลยุทธ์ Summer Plays ปี 2025F KSS แนะนำลงทุนเน้นไปที่กลุ่มที่มีหุ้นอยู่ในโซนฐาน Valuation ไม่แพง ได้แก่ CRC(TP Con-40.6) ICHI (TP25F-17) SAPPE (TP25F-70) CENTEL (TP25F-40) MINT(TP25F-38) HMPRO (TP25F-13.5) และหุ้น Turn around ที่คาดได้ประโยชน์จากหน้าร้อน คือ หุ้นเครื่องดื่ม คือ MALEE(TP25F – 17.7)

Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง

1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"

 

2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก

 

3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก

 

4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ

เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว

Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

Strategy Update: MSCI Rebalance

MSCI ประกาศรายชื่อหุ้นที่ใช้ในดัชนีรอบใหม่แล้ว ซึ่งจะปรับน้ำหนักราคาปิด 28 กพ 2025 มีประเด็นสำคัญของไทยดังนี้

 

MSCI Thailand ถูกลดน้ำหนักจาก 1.3% เหลือ 1.28% คิดเป็น Net Outflows ราวๆ -100ล้านเหรียญฯ

 

โดยดัชนี MSCI Global Standard Index หุ้นไทยเข้า/ออก ได้แก่

หุ้นเข้า : ไม่มี

หุ้นออก : PTTGC(-60ล้านเหรียญฯ), TOP(-50ล้านเหรียญฯ)

 

ส่วน MSCI Global Small cap Index หุ้นไทยเข้า/ออก ได้แก่

หุ้นเข้า 4 หุ้น : GPSC, PTTGC, SCGP, TOP

หุ้นออก 11 หุ้น : BSRC, TIPH, DCC, ERW, GFPT, KAMART, PSH, PSG, SAPPE, STECON, THG

 

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีผลที่ราคาปิดวันที่ 28 ก.พ. นี้

 

กลยุทธ์ : ระยะสั้นให้ระวังความผันผวนของ PTTGC, TOP ที่ถูกถอดออกจาก MSCI Global Standard Index กลยุทธ์ ระยะสั้นเลี่ยงลงทุนหุ้นที่ถูกถอดออกจากดัชนี

 

• BGRIM (Neutral, TP25F-12): Following analyst meeting, we maintain a Neutral view on BGRIM. While 4Q24 results exceeded expectations, BGRIM's leverage (Net D/E of 1.9x) remains a key concern, along with the need for clear progress towards the targeted Net D/E of 1-1.1x. We view asset monetization in 1H25F as vital for debt reduction, even with management's plan to retain majority stakes. This reduction is essential for strengthening financial health and creating debt headroom for future projects. We acknowledge the positive impact of diversified income streams from higher management and development fees, while awaiting CODs, and maintain our 2025-26F earnings forecasts with a TP of Bt12.00.

• Energy & Petrochemical (Neutral): ฝั่งต้นน้ำ (น้ำมันดิบ) -2% w-w กังวล supply ตึงตัวน้อยลงจากการเจรจาหยุดสงครามรัสเซีย-ยูเครน กลบปัจจัยบวกแนวโน้ม U.S. คว่ำบาตรพลังงานอิหร่าน และ OPEC+ อยู่ระหว่างพิจารณาเลื่อนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบในเดือน เม.ย. ออกไป คาดราคาน้ำมันดิบ มี.ค. 25 ผันผวน demand น้ำมัน EU และจีนฟื้นตัวต่อ แต่อาจเผชิญความผันผวนจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์

ฝั่งโรงกลั่น ค่าการกลั่นสิงคโปร์ (SG GRM) -19% w-w supply อินเดียออกมาเพิ่มขึ้น ในขณะที่ความต้องการใช้ของเกาหลีใต้ และ อินโดฯ ลดลง ฉุด spread ผลิตภัณฑ์หลัก -10-17% w-w ค่าการกลั่น ก.พ. 25 ฟื้น m-m และคาดฟื้นต่อเนื่องใน มี.ค. 25 ค่าการกลั่นยังอยู่ในระดับต่ำ คาดยังเห็นการลด run ต่อ และ demand EU+จีนฟื้น ส่งให้ supply ตึงตัวขึ้น

ฝั่งปิโตรเคมี ส่วนใหญ่ฟื้น w-w ราคา feedstock ที่ลดลง และบางส่วนได้ความต้องการ re-stock ของจีนหนุน i) สายโอเลฟินส์ HDPE spread +6% w-w ส่วน PP spread +2% w-w ii) สายอะโรเมติกส์ทั้ง PX/BZ -5-10% w-w ส่วน iii) สายโพลีเอสเตอร์ (PET) integrated spread +3% w-w เดือน ก.พ. 25 โอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ ฟื้น m-m คาด มี.ค. 25 โอเลฟินส์ ฟื้นต่อ m-m จากการ re-stock ต่อเนื่องของจีนถึง เม.ย. 25 ส่วน PET กลับมาฟื้น m-m ได้ความต้องการ re-stock รับ high season หนุน

ภาพสัปดาห์ สายโอเลฟินส์มีปัจจัยบวกหนุน จากการ re-stock ต่อเนื่องของจีน ส่งให้ spread ฟื้นได้ดีกว่าราคา naphtha ที่ลดลง คงมุมมองราคาหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นที่ปรับลง YTD น่าจะสะท้อนปัจจัยลบค่าการกลั่นที่ผันผวนในช่วง 1Q25TD ไประดับหนึ่งแล้ว คงมุมมองภาพรวมค่าการกลั่น 1Q25F อยู่ระดับเหนือ cash cost ยังสร้างกระแสเงินสดได้ และยังมี stock gain คง top pick เป็น SPRC (TP8.0)

 

2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility

Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE

Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ปิดช่องแคบฮอร์มุช By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เห็นราคาน้ำมันโลกปรับตัวขึ้น หลังจาก สภาอิหร่าน ลงมติปิดช่องแคบฮอร์มุช ตอบโต้สหรัฐฯจมตี......

NKT เปิดบ้านต้อนรับนักลงทุนเยี่ยมชมโรงพยาบาลนครธน

NKT เปิดบ้านต้อนรับนักลงทุนเยี่ยมชมโรงพยาบาลนครธน

มัลติมีเดีย

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้