"Infra Tech + Declining Yield Play"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "Rebound" ต้าน 1213/1220จุด รับ 1192/1187 จุด ปัจจัยหลักวันนี้ 1) US Bond Yield 10ปี ลงต่อ -6 bps สู่ 4.2% เงินเฟ้อ PCE พื้นฐาน +2.6%y-y ต่ำสุดใน 4ปี (ตามคาด) รายได้บุคคลขยายตัว ดีกว่าคาด บ่งชี้วงจรดอกเบี้ยสหรัฐฯ ปรับลง+เศรษฐกิจเดินหน้าได้ ลดความกังวลตลาดต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ+เงินไหลเข้าพันธบัตร จากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ยูเครน -สหรัฐฯ ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงแร่ธาตุ 2) PMI ทั้งภาคผลิตและบริการ จีน ก.พ. 25 ดีกว่าคาด ก่อนติดตามการประชุม Two-session 3) เริ่มมีความชัดเจนการให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี LTF สำหรับเงินที่ย้ายไปกองใหม่ ThaiESG X ประเมินช่วยชะลอแรงขายนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนระยะกลาง-ยาวมีโอกาสกลับมาทยอยซื้อในจุดที่ SET ปัจจุบันอยู่ในโซนลงทุน ERP (Equity Risk Premium) > AVG + 1S.D. เร่งขึ้น 4) การต่อยอดอุตสาหกรรม New S Curve เรื่องใหม่การเร่งลงทุน Tiktok 3.0 แสนล้านบาทใน 5ปี (เดิมมีข่าวเฉพาะขอ BOI เฟสแรกราว 1.26 แสนล้านบาท) อาจบ่งชี้ภาพกระแสเทคฯจีนเน้นไทยมากขึ้น คาด SET Rebound หุ้นนำ คือ หุ้น Yield ลงหนุน, หุ้นในธีม Infra Tech และ 7 หุ้น Deep Value วันนี้แนะนำ GULF, ADVANC, CPALL
Daily outlook: "Rebound" ต้าน 1213/1220 จุด รับ 1192/1187 จุด
What happened around the world?
(-)US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐ Dow jones +1.39%d-d, ดัชนี Nasdaq +1.63%d-d, S&P500 +1.59% โดยดัชนี S&P 500 Sector ปรับขึ้นทุก Sector แต่กลุ่มที่ปรับขึ้นหลักๆ หรือ Outperform คือ Financials, Consumer discretionary, IT, Energy, Utilities โดยหุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ Micro strategy +6.41% รับราคาเหรียญ Bitcoin ฟื้นแรงและกลับมายืนเหนือ 9 หมื่น$ ,NVDIA + 3.97%,Tesla +3.91% ส่วนหุ้นที่ปรับลงหลักๆคือเรื่องผลประกอบ อาทิ HP -6.8% รับคาดการณ์กำไรรายไตรมาสต่ำกว่าคาดเดิม, Dell - 4.7% รับบริษัทคาดการณ์ผลประกอบการปี 2026 ชะลอ
(+) China PMI : ตัวเลขเศรษฐกิจจีนออกมาดีต่อสะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ทั้งฝั่งภาคผลิตและบริการคือ 1.) PMI ภาคการผลิตเดือน ก.พ. จีนเร่งขึ้นเหนือ 50 จุด มาอยู่ที่ 50.2 จุด (สูงสุดในรอบ 3 เดือน)ดีกว่าคาดที่ 50.0 จุด 2. )PMI ภาคบริการในเดือนเดียวกัน เร่งขึ้นต่อมาอยู่ที่ 50.4 ดีกว่าคาดที่ 50.3 จุด Prev. 50.2 จุด (KSS ประเมินตัวเลข PMI ทั้งภาคผลิตและบริการ > 50 จุด สะท้อนภาคผลิตและภาคบริการขยายตัว) ตอกย้ำมุมมองบวกต่อภาพเศรษบกิจจีนฟื้นตัว ผสานกับคาดการณ์ 4-5 มี.ค. การประชุมสองสภาประจำปี จับตาเป้าหมายเศรษฐกิจจากรัฐบาล และคาดจะเห็นความคาดหวังจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษบกิจออกมา โดยรวมมองบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีน มองบวกต่อหุ้น China play เน้น SCGP, IVL, STA
(*) US Econ : เงินเฟ้อ(PCE )ที่ Fed ให้น้ำหนักและมีผลต่อการประกอบการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ย ล่าสุดเดือน ม.ค. 25 ออกมาตามที่ตลาดคาด(Inline) คือ ชะลอลง +2.5%y-y, prev. +2.6%y-y และ +0.3%m-m เช่นเดียวกับ Core PCE ออกมาตามที่ตลาดคาด +2.7%y-y prev. +2.8%y-y และ +0.4%m-m prev. +0.2%m-m โดยรวมคาดการณ์โอกาสการลดดอกเบี้ยของสหรัฐในปีนี้ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงจากก่อนรายงานเงินเฟ้อ PCE อิง Fed watch tool คาดจะเห็นการลดดอกเบี้ยในปีนี้ 2 ครั้งๆละ 25 bps มองบวกต่อหุ้นกลุ่ม การเงิน MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มหนี้สูง CPALL, CPAXT, MINT
(*) US GDP : Fed Atalanta เผยแบบบจำลองคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐ คือ GDPNow คือคาด GDP Growth สหรัฐ งวด 1Q25 จะหดตัว -1.5%q-q KSS มองเป็นกลางจากประเด็นดังกล่าว หลักๆคือ คาด GDP ที่อ่อนตัวมาจากองค์ประกอบ สำคัญคือ การนำเข้า(Import) เร่งจาก 5.4% มาอยู่ที่ 29.7% โดยภาคธุรกิจสหรัฐเร่งนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ เพื่อสำรองก่อนความไม่แน่นอนที่ทรัมป์จะเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าในช่วงปลาย 1Q25 มองว่าไม่ได้เกิดจากองค์ประกอบเศรษฐกิจอื่นๆที่หดตัวแรง อาทิ การบริโภคครัวเรือนซึ่งคิดราว 67%ของ GDP สหรัฐ
(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 3 มี.ค. ISM PMI ภาคผลิต ก.พ. คาด 50.0 จุด vs prev. 50.3 จุด 5 มี.ค. ISM PMI ภาคบริการ ก.พ. คาด 53.0 จุด vs prev. 52.8 จุด. 4 มี.ค. มาตรการการค้าใหม่สหรัฐฯต่อเม็กซิโก แคนาดา จีน มีผล 7 มี.ค. การจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐ เดือน ก.พ. คาด 1.55 แสนราย vs prev. 1.43 แสนราย, อัตราการว่างงาน ก.พ. คาด 4.0% เท่า prev. ฝั่งยุโรป 6 มี.ค. การประชุม ECB คาดปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย -25 bps สู่ 2.5% ฝั่งจีน 3 มี.ค. Caixin PMI ภาคผลิต คาด 50.5 จุด vs prev. 50.1 จุด และ 5 มี.ค. Caixin PMI ภาคบริการ คาด 51.0 จุด เท่าเดือนก่อน
(*) US Bond Yields & Dollar : US Bond Yields ปรับลงต่อเนื่อง อายุ 2 ปี -6 bps หลุด 4.0% ลงมาที่ 3.98% และอายุ 10 ปีปรับลงต่อ -6 bps อยู่ที่ 4.202% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ระยะสั้นมองเป็นจิตวิทยบวกต่อหุ้น กลุ่มการเงิน MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC กลุ่มหนี้สูง MINT ,CPAXT ส่วน Dollar Index แข็งค่าขึ้นมาบริเวณ 107.5 จุด
(*/-) Oil : ราคาน้ำมันดิบ Brent -1.03%d-d ปิดที่ USD 72.81/barrel,น้ำมันดิบ WTI -0.84%d-d ปิดที่ USD 69.76/barrel 1.)หลังช่วงปลายสัปดาห์การปะทะคารมปธน.ทรัมป์และปธน.เซเลนสกีเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงในสงครามรัสเซีย-ยูเครน ตลาดประเมินสหรัฐสนับสนุนที่เป็นมิตรกับรัสเซีย และมีโอกาสที่จะมีน้ำมันมากขึ้นในตลาด" 2) ความกังวล Trade war กระทบ Demand น้ำมัน หลังทรัมป์กล่าวจะเก็บ ภาษี 25% สำหรับสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดามีผลในวันที่ 4 มี.ค. พร้อมกับการเก็บภาษีเพิ่มเติม 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน 3.) Supply น้ำมันเพิ่มหลังอิรักเปิดเผยว่า อิรักเตรียมประกาศการเริ่มส่งออกน้ำมัน 185,000 บาร์เรลต่อวัน จากภูมิภาคเคอร์ดิสถานผ่านท่อส่งน้ำมันอิรัก-ตุรกี โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงาน อาทิ PTTEP, PTT
(+)BDI : ดัชนีค่าระวางเรือ BDI +6.04% ปิดที่ 1229 จุด มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นเรือ เทอกอง อาทิ TTA, PSL (Trading)
(+) Bitcoin: ราคาบิทคอยกลับมาบวกแรงอีกครั้ง +9.59% ปิดที่ 94297.71 USD แรงหนุนจากความหวังเชิงบวก 1.)7 มี.ค. สหรัฐจะจัดการประชุม สุดยอด Crypto ที่ทำเนียบขาว 2.) เมื่อคืน โดนัล ทรัมป์ประกาศเดินหน้าตั้ง กองทุนสำรองสินทรัพย์ดิจิทัลของชาติ โดยจะรวม XRP,SOL,ADA ด้วยเดินหน้าปั้นสหรัฐเป็นศูนย์กลางคริปโตโลกตลาดคาดจะมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาด Crypto มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเชื่อมโยง Bitcoin อาทิ BTC, JTS
What happened in Thailand?
(*/-) SET : SET Index ผันผวนตอบรับปัจจัยกดดันนอกประเทศ ในส่วนสงครามการค้าที่ Trump เดินหน้ามาตรการ รวมถึงความกังวลผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มมีจุดเปราะ และในประเทศในส่วนจิตวิทยาลบความกังวลผลกระทบการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับไปจีน ผสาน การ Rebalance ดัชนี MSCI ทำให้เปิดตลาดหลุด 1200 จุด แต่ปิดตลาดฟื้นตัวขึ้นมาได้ และปรับลงเหลือ -12.01 จุด (-0.99%) ปิดที่ระดับ 1,203.72 จุด มูลค่าการซื้อขาย 7.42 หมื่นล้านบาท Sector ที่ปรับลง คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA,HANA,KCE) HANA รายงานผลประกอบการแย่กว่าคาดและยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวธุรกิจ ส่วนหุ้นอื่นๆ จิตวิทยาลบจากสงครามการค้า กลุ่มสื่อสาร (ADVANC) คาดถูกลดสถานะในฐานะหุ้น Outperform ช่วงก่อนหน้า ส่วน Sector ที่ปรับขึ้น คือ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (SCCC,SCC)
(*/-) Flow: เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศวันทำการล่าสุดเป็นภาพไหลออก ต่างชาติขายหุ้น -145.6 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -162 ล้านเหรียญฯ TFEX เปิดสถานะ Net Short -855 สัญญา เงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าสู่ 34.2 บาท
(+) ThaiESG X: แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติการเปลี่ยนชื่อและวัตถุประสงค์ของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ไปเป็นกองทุน Thai ESG X (TESGX) โดยหน่วยลงทุนจะโอนย้ายแบบอัตโนมัติ เพียงแค่ผู้ถือหน่วยลงทุน แจ้งความประสงค์กับทางบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่บริหารกองทุนอยู่ภายในเวลาที่กำหนด ว่าจะถือหน่วยลงทุนดังกล่าวต่อไปอีก 5 ปี และจะสามารถนำวงเงินลงทุนดังกล่าว มาหักลดหย่อนภาษีได้ตามจริง คือเท่ากับมูลค่าหน่วยลงทุนที่มีอยู่ ประเมินจิตวิทยาบวกต่อ SET โดยเฉพาะแรงขาย LTF ที่คาดว่าจะชะลอลงอย่างมีนัยฯ
(+) Tiktok: TikTok เตรียมลงทุนในไทย 8.8 พันล้านเหรียญฯ หรือ 3.0 แสนล้านบาท ใน 5 ปี โดยเป็นการยืนยันผู้บริหารหลังเข้าพบนายกฯ ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวถือว่าสอดคล้องกับที่ Tiktok ได้ขอรับการส่งเสริมการลงทุน BOI ล่าสุดในส่วนของเฟสที่ 1 มูลค่า 1.26 แสนล้านบาท ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากการเข้ามาลงทุน สื่อสาร ADVANC, TRUE, INSET ไฟฟ้า GULF
(*/+) Household Debt Measures: ความคืบหน้ามาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนในประเทศช่วงสุดสัปดาห์มี 2 ส่วน
1.) รมว.คลังมีแนวคิดปรับเกณฑ์ คุณสู้เราช่วย ในส่วนมาตรการ กลุ่มลูกหนี้ที่เป็นหนี้ต่ำกว่า 5,000 บาท (ซึ่งหากนำเงินมาจ่ายหนี้จะปิดจบอัตโนมัติ) จะขยายครอบคลุมในส่วนลูกหนี้กู้ร่วม
2.) ขณะที่ในส่วนมาตรการคุณสู้ เราช่วย ปัจจุบันที่มีการลงทะเบียนของลูกหนี้ 8.9 แสนราย อิงข้อมูลจาก BOT ล่าสุดช่วงปลาย ก.พ. แม้เร่งขึ้นเร็วจากข้อมูล 10 ก.พ. ที่มีผู้ลงทะเบียน 6.4 แสนราย แต่โดยรวมจากลูกหนี้ที่มีสิทธิ์ 1.9 ล้านราย ทางหน่วยงานรัฐฯที่เกี่ยวข้องจะเน้นประชาสัมพันธ์เพิ่มเติม
ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร เน้น KBANK, SCB เช่าซื้อ เน้น MTC
(*/-) TH Tourism: จิตวิทยาลงทุนกลุ่มท่องเที่ยวระยะสั้นมีแนวโน้มเป็นลบ หลังสหรัฐฯ และญี่ปุ่นแจ้งเตือนพลเมืองในประเทศไทยเพิ่มความระมัดระวัง ท่ามกลางความกังวลถึงความเสี่ยงเกิดเหตุรุนแรง หลังจากทางการไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ให้จีน ทั้งนี้ หากอิงจำนวนนักท่องเที่ยว 2 ชาติดังกล่าว ปัจจุบันมีสัดส่วน 5-6% ของนักท่องเที่ยวรวม ขณะที่ความเสี่ยงเหตุรุนแรง หากอิงรอบก่อน ไทยส่งชาวอุยกูร์กลับจีนช่วง ก.พ. 15 ขณะที่เกิดเหตุระเบิดราชประสงค์ ส.ค.15 แต่อิงภาพปัจจุบันที่ชาวอุยกูร์กลับสู่จีนปลอดภัย ทำให้เราประเมินความเสี่ยงยังน่าจะค่อนข้างจำกัด
(*/-) SET Earnings: อิงการรวบรวมข้อมูลจาก Bloomberg บจ. รายงานกำไร 4Q24 แล้ว 597 บริษัท (vs วันทำการก่อนหน้า 477 บริษัท) กำไรต่ำกว่าคาด –8.0% (vs วันทำการก่อนหน้า ต่ำกว่าคาด -6.9%) ในส่วนที่มีการคาดการณ์กำไร 181 บริษัท (vs วันทำการก่อนหน้า 122 บริษัท)แบ่งเป็นกลุ่มที่ดีกว่าคาด 59 บริษัท (vs วันทำการก่อนหน้า 54 บริษัท) ต่ำกว่าคาด 68 บริษัท (vs วันทำการก่อนหน้า 55 บริษัท) ตามคาด 54 บริษัท (vs วันทำการก่อนหน้า 13 บริษัท)ส่วนกำไรภาพรวมยังเติบโตสูง +27%y-y (vs วันทำการก่อนหน้า +31.5%y-y)
โดยรวม หลังรายงานกำไรล่าสุด กำไรตลาดล่าสุด BB Consensus ประเมินกำไรปี 2024-25 อยู่ที่ 94.9 บาท vs วันทำการก่อนหน้า 95.1 บาท
(*) To monitor: ปัจจัยภายในสัปดาห์นี้ ได้แก่
1.) 3 มี.ค. ช่วงเช้า กำไร Real Sector ช่วงสุดท้าย
2.) 3 มี.ค. รายงานเงินเฟ้อ CPI ก.พ. 25 เงินเฟ้อทั่วไป ไม่มีคาด vs prev. +1.32%y-y, 0.1%m-m ส่วนเงินเฟ้อ CPI พื้นฐาน ไม่มีคาด vs prev. 0.83%y-y
3.) 3 มี.ค. ประชุม ครม. และรายงานนักท่องเที่ยวต่างชาติรายสัปดาห์
4.) 7-13 มี.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.พ. 25 ไม่มีคาด vs prev. 59.0 จุด
Daily Strategy : GULF, ADVANC, CPALL
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Rebound" SET ปรับฐานจนลงมาอยู่ในโซนลงทุน ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศเป็นกลาง-บวกอ่อนๆ Bond Yield สหรัฐฯ ลดลง ผสาน จิตวิทยาลงทุนเอเชียเป็นบวกจาก PMI ภาคผลิตและบริการดีกว่าคาด ส่วนภายใน ประเมินกระแสแนวทางชะลอแรงขาย LTF เดิมที่เริ่มชัดเจนขึ้น และกระแส Infra Tech ที่ภาพลงทุนจากเทคฯจีนดูเร่งขึ้น โดยรวมประเมินหุ้นนำ คือ หุ้น Yield ลงหนุน, หุ้นในธีม Infra Tech และ 7 หุ้น Deep Value
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (BTS, VGI, BJC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (BA, AAV, GULF, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
กลุ่ม Value ที่คาดมีโอกาสซื้อหุ้นคืน (PTT , SCB , KBANK , KTB , BBL , BCP)
7 หุ้นที่อยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO)
• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
Strategy Update :SET 50/100 interim Rebalance
การเปลี่ยนแปลง SET50/SET100 ระหว่างกาล Update สืบเนื่องจากกรณี GULF, INTUCH จะมีการควบรวมเป็นบริษัทใหม่ คือ GULF Development ซึ่งจะเข้าตลาดวันที่ 3 เม.ย. ทำให้มีการนำหุ้นเข้า SET50/SET100 ใหม่ในระหว่างกาล ดัชนีละ 1บริษัท KSS ได้ประเมินหุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 และ SET100 ใหม่ผลจากประเด็นนี้
SET50 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่ระหว่างกาล Rebalance สิ้นวันที่ 2 เมย คือ VGI (โอกาสเข้า 95%)
SET100 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่จะแข่งกันระหว่าง MOSHI (โอกาส 50%), THCOM (โอกาส 30%), KAMART (โอกาส 20%)
กลยุทธ์ : เราคาดหุ้นที่ถูกนำเข้า SET50/100 จะถูกเพิ่มน้ำหนักจาก Passive Fund เป็นบวกต่อราคาหุ้น โดยในส่วน SET 50 เราแนะนำเก็งกำไร VGI และ BTS บ.แม่ (ถือหุ้น 57.1%) ส่วน SET100 แนะนำเก็งกำไร MOSHI
Strategy Update : ThaiESG Plays
กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดตั้ง กองทุน ThaiESG กองที่ 2 คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยมีวงเงินประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับกองทุน LTF ที่ครบอายุไปแล้ว ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนและสิทธิประโยชน์ยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งอาจแตกต่างจากกองทุน ThaiESG เดิม แต่ยังคงเน้นลงทุนในประเทศ โดยเราประเมินว่าการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจะช่วยชะลอแรงขายจาก LTF เดิมและเสริมสภาพคล่องใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่ถือ LTF ระยะยาว ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 1,620-1,640 จุด
เรามองปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามซึ่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดในระยะกลางถึงยาว ได้แก่ การขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากมีการเพิ่มเพดานลดหย่อนของ ThaiESG จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท เท่ากับ LTF เดิม จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดมากขึ้น อีกทั้งยังมีการหารือเรื่อง การลงทุนในหุ้นไทย 100% และ การขยายขอบเขตของหุ้น ESG เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนและกระจายความเสี่ยง KSS มองว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการขาดเงินทุนระยะยาวจาก LTF ที่หมดสิทธิประโยชน์ หากภาครัฐมีมาตรการชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ จะช่วยให้ SET ค่อย ๆ ฟื้นตัว
KSS ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการสะสมหุ้น เนื่องจาก SET ยังอยู่ใน Deep Value Zone โดยมีค่า PER ปี 2568 อยู่ที่ 13.5 เท่า และหากไม่นับรวมหุ้น DELTA ค่า PER จะอยู่ที่เพียง 11.5 เท่า ปัจจุบันมีหุ้นที่เข้าข่ายการลงทุนระยะยาว ได้แก่ 300 บริษัทที่มี PER ต่ำกว่า 12 เท่า, 435 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูงกว่า 3%, 548 บริษัทที่มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และ 145 บริษัทที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามข้อ KSS แนะนำ 7 หุ้น Deep Value ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ได้แก่ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP และ HMPRO พร้อมกันนี้ยังแนะนำอีก 5 บริษัท ที่เข้าเงื่อนไข PER < 12X, PBV < 1X และ Dividend Yield > 3% ในกลุ่มธนาคาร KBANK, KTB, BBL ผสาน อสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มมีปัจจัยหนุนเชิงบวก เช่น AP และ SIRI
Strategy Update : Summer Plays
กระแสการเก็งกำไรในหุ้นธีม "หน้าร้อน" กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยาเผยว่าในปีนี้ จะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนในไทยสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน ก.พ. 25 - กลางเดือน พ.ค. 25 ภายใต้คาดการณ์กรมอุตุนิยมวิทยาปี 2025F คาดอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบน 35 – 36 องศาเซลเซียส แม้จะต่ำกว่าฤดูร้อนปี 2024 อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 37.5 องศาเซลเซียส แต่ยังใกล้เคียงค่าเฉลี่ยฤดูร้อนปกติที่ 35.4 องศาเซลเซียส แต่จุดที่น่าสนใจคือ ราคาหุ้นหลายตัวมี Deep Discounts จากภาวะตลาดที่ผันผวน สร้างโอกาสระยะยาวด้วยอีกทางหนึ่ง ทีมกลยุทธ์คาด KSS อากาศที่ร้อนสูงขึ้น จะหนุน
1.) การบริโภคเครื่องดื่มที่มีความคึกคักขึ้น
2.) ประชาชนจะมีความต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งพัดลม, แอร์ เพื่อบรรเทาผลกระทบอากาศร้อน
3.) การทำงานก่อสร้างจะเร่งส่งมอบได้มากกว่าช่วงหน้าฝน
4.) การท่องเที่ยวทะเลที่เป็นจุดเด่นของไทยมักคึกคัก
ภาพรวมดังกล่าวที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มักหนุนกระแสหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์อาทิ กลุ่ม มีภาพถูกเก็งกำไรในช่วงฤดูร้อน อาทิ กลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มค้าปลีกที่เน้นขายเครื่องใช้ไฟฟ้าบรรเทาอากาศร้อน กลุ่มรับเหมา และกลุ่มโรงแรม อิงผลการศึกษาผลตอบแทนย้อนหลัง 9 ปี (ไม่รวมปีที่เผชิญ Covid ในปี 2020 ที่ผลตอบแทนรายกลุ่มกระทบความเสี่ยงตลาด) ช่วงเวลาที่ดีสุดในการลงทุน คือ การลงทุนในช่วงเข้าสู่ฤดูร้อน และขายทำกำไรหลังจากนั้น 1 เดือน โดยช่วงปัจจุบัน คือ ควรเริ่มสะสมหุ้นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของ ก.พ. 25 และขายทำกำไรช่วงปลาย มี.ค. 25 - ต้น เม.ย. 25 โดยกลุ่มโรงแรม (ความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 87.5% ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.7%) ตามด้วยกลุ่มรับเหมา (62.5%, 1.6%) กลุ่มค้าปลีก (50%, 1.2%) สูงกว่า SET (50%, 1.1%) ขณะที่ภาพรายบริษัท คือ CRC(100%, 5.3%) ICHI (87.5%, 3.7%) SAPPE (75%, 7.2%) CENTEL (75%, 4.4%) MINT (62.5%, 3.3%) GLOBAL (62.5%, 2.3%) HMPRO (50%, 4.9%) DOHOME (50%, 2.3%)
ในเชิงกลยุทธ์ Summer Plays ปี 2025F KSS แนะนำลงทุนเน้นไปที่กลุ่มที่มีหุ้นอยู่ในโซนฐาน Valuation ไม่แพง ได้แก่ CRC(TP Con-40.6) ICHI (TP25F-17) SAPPE (TP25F-70) CENTEL (TP25F-40) MINT(TP25F-38) HMPRO (TP25F-13.5) และหุ้น Turn around ที่คาดได้ประโยชน์จากหน้าร้อน คือ หุ้นเครื่องดื่ม คือ MALEE(TP25F – 17.7)
Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง
1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"
2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก
3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก
4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ
เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว
Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
Strategy Update: MSCI Rebalance
MSCI ประกาศรายชื่อหุ้นที่ใช้ในดัชนีรอบใหม่แล้ว ซึ่งจะปรับน้ำหนักราคาปิด 28 กพ 2025 มีประเด็นสำคัญของไทยดังนี้
MSCI Thailand ถูกลดน้ำหนักจาก 1.3% เหลือ 1.28% คิดเป็น Net Outflows ราวๆ -100ล้านเหรียญฯ
โดยดัชนี MSCI Global Standard Index หุ้นไทยเข้า/ออก ได้แก่
หุ้นเข้า : ไม่มี
หุ้นออก : PTTGC(-60ล้านเหรียญฯ), TOP(-50ล้านเหรียญฯ)
ส่วน MSCI Global Small cap Index หุ้นไทยเข้า/ออก ได้แก่
หุ้นเข้า 4 หุ้น : GPSC, PTTGC, SCGP, TOP
หุ้นออก 11 หุ้น : BSRC, TIPH, DCC, ERW, GFPT, KAMART, PSH, PSG, SAPPE, STECON, THG
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีผลที่ราคาปิดวันที่ 28 ก.พ. นี้
กลยุทธ์ : ระยะสั้นให้ระวังความผันผวนของ PTTGC, TOP ที่ถูกถอดออกจาก MSCI Global Standard Index กลยุทธ์ ระยะสั้นเลี่ยงลงทุนหุ้นที่ถูกถอดออกจากดัชนี
• BEM (Buy, TP25F-9.1) We reiterate our Buy rating with the lower TP to Bt9.1 (from Bt10.4) to reflect our earnings downward revision by 9% on average in 2025-26 from slower revenue from both toll road and mass transit. Based on our new forecast, we call for 3.9% EPS CAGR in 2025-26 driven by mass transit. Despite the mundane EPS growth, the sharp correction in the share price over the past six months seems reflects not only no value from orange line, but also big discount to the blue line from the concern of concession repurchase. We now see value emerges from BEM.
• SAWAD (Neutral, TP25F-38) เราปรับ TP25F ลงเหลือ 38 บ. (TP25F หลัง XD ที่ 35 บ.) จาก 42 บ. จากการปรับกำไรสุทธิ 2025-26F ลง –(5-8%) เพราะรายได้ดอกเบี้ย (NII) ต่ำคาด ทั้งนี้เราคงคำแนะนำ NEUTRAL แม้ว่ากำไรสุทธิปี 2025F จะกลับมาเติบโตเทียบกับปี 2024 ที่ทรงตัว y-y แต่เราคาดเห็นการเติบโตเพียง +4% y-y ต่ำกว่ากลุ่มที่ +9% y-y
• PTTGC (Buy, TP25F-28) คงคำแนะนำ Buy ต่อ PTTGC ที่ TP25F = 28.0 บาท/หุ้น มองความได้เปรียบของการมีวัตถุดิบมากกว่า 1/3 เป็น Ethane ของบริษัทจะทำให้เป็นหนึ่งในผู้ผลิตปิโตรเคมีที่อยู่รอดถึงช่วงวงจรฟื้นตัวในระยะยาว ปัจจุบันซื้อขายที่ PBV ราว 0.3 เท่าต่ำสุดในกลุ่มปิโตรเคมี ในขณะที่ EBITDA ธุรกิจปิโตรเคมีเป็นบวกรองจากแค่ IVL (PBV 0.8x) น่าจะสะท้อนความเสี่ยงด้อยค่าฯไปมากแล้ว สามารถทยอยซื้อลงทุนระยะยาว คาดทิศทางอัตรากำไรจะค่อยๆฟื้นตัวใน 1Q25-2026F จากได้ feed gas ที่ต้นทุนต่ำเข้ามาเพิ่มขึ้น และ oversupply ทยอยลดลง
• TVO (Trading Buy, TP25F-26.6) เรามีมุมมอง "Positive" ต่อกำไรปกติ 4Q24 ของ TVO ที่ 744 ลบ. (+244%y-y, +42%q-q) สูงที่สุดในรอบ 15 ไตรมาส ดีกว่าที่เราและตลาดคาด +48%/+38% ตามลำดับ ปัจจัยหลักจาก GPM ที่ 14.6% ดีกว่าคาด เพิ่มขึ้น y-y, q-q จากราคาถั่วเหลืองซึ่งเป็นต้นทุนวัตถุดิบหลักปรับตัวลดลงในอัตราที่มากกว่าการลดลงของราคาขาย สำหรับโมเมนตั้ม 1Q25F คาดกำไรปกติเพิ่มขึ้น y-y จากฐานต่ำ แต่ลดลง q-q จากปัจจัยฤดูกาล พร้อมกันนี้ มีปันผล 0.93 บ./หุ้น (yield 4.2%) XD 14 มี.ค. 25 คงคำแนะนำ Trading buy TP 26.60 บ.
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI