Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี : KSS Daily Strategy

370

 


"Service Sector Play"

 

KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "Up" ต้าน 1252/1258จุด รับ 1220/1215 จุด ทิศทางตลาดวันนี้เป็นบวก 1.) สหรัฐเริ่มเสี่ยง หลังเกิดภาพ Inverted Yield Curve ที่เป็นสัญญาณชี้นำเศรษฐกิจถดถอย คือ US Bond Yield 3 เดือน – 10ปี ติดลบครั้งแรกใน 2 เดือน กดดันตลาดหุ้นที่มี Premium Valuation แม้งบ NVIDIA ดีกว่าคาด+Outlook บวก แต่ After Hours ราคาหุ้นทรงๆ ขณะที่ตลาด Laggard และมีปัจจัยเร่งมีโอกาสที่ดีขึ้นจากวงจรดอกเบี้ยสหรัฐฯขาลงหนุน 2.) กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบายลง -25 bps จะหนุนตลาด อิง ERP ที่เพิ่มขึ้นบวกต่อ SET 40 จุด 3.) กำไรตลาด 4Q24 โค้งสุดท้าย หุ้น Domestic มีกำไรดีขึ้น (สอดคล้องมุมมอง BOT ที่เห็นภาพบวภภายใน) โดยระดับต่ำกว่าคาดล่าสุดลดลงเหลือ -6.7% vs prev. -8.3% 4.) ความชัดเจนกรณี CPALL ยืนยันไม่ร่วมลงทุน Seven & I Holdings คลาย Overhang หุ้นเครือ CP (9.1% ของ SET) นำโดย คาด SET ปรับขึ้น หุ้นนำ คือ กลุ่ม Domestic (ภาคบริการ ค้าปลีก ร.พ. รวมถึงท่องเที่ยวคาดเด่นจากมาตรการกระตุ้นช่วง Low Season+แนวทางปราบปรามปล่อยเช่าคอนโดรายวัน) หุ้น Yield ลงหนุน วันนี้แนะนำ BDMS, CPALL, ERW

 

 

 


Daily outlook: "Up" ต้าน 1252/1258 จุด รับ 1220/1215 จุด

What happened around the world?

(-)US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐ ยังผันผวน แนวโน้มยังเป็นขาลง จากการรองบ NVIDIA , ความกังวลเรื่องสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าแคนาดา เม็กซิโก ฯลฯ อิง ดัชนี Dow jones -0.43%d-d, ดัชนี Nasdaq reboundเล็กน้อย 0.26%d-d, S&P500 +0.02% โดยดัชนี S&P 500 Sector ที่ปรับขึ้นหลักๆคือ IT, Utilities, ICT, Industrials ส่วนกลุ่มอื่นปรับลง กลุ่มที่ Underperform คือ Consumer staples, Health care, Real estate ฯลฯ โดยหุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ Super micro computer +12.1%, NVDIA +3.67% รายงานงบ 4Q24 ช่วงหลังตลาดปิด ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด ส่วนหุ้นมี่ยังลงต่อ อาทิ Tesla -3.96%, Alphabet -1.53%ฯลฯ

(*/+) NVDIA Earning : NVDIA บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลกรายงานงบ 4Q24 ช่วงหลังตลาดปิด ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด โดยรายได้ 4Q24 เติบโต 74%y-y และทั้งปี 2024 โต 114%y-y ที่ 130.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดการณ์แนวโน้มงบ 1Q25 คาดการณ์รายได้ราว 43 พันล้านดอลลาร์บวกหรือลบ 2% VS. สูงกว่าตลาดคาดที่ 41.78 พันล้านดอลลาร์ โดยแรงหนุนหลักมาจากความมั่นใจการเติบโตของ AI จะสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2025 โดยรวมประเมินวันนี้เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่ม Semiconductor ในฝั่งเอเซียเหนือ และกลุ่มชิ้นส่วนไทย เน้น HANA, DELTA เก็งกำไร

(*/+) China & Hongkong Stimulus : รัฐบาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกงประกาศแผนงบประมาณประจำปี โดยมีการเปิดเผยแผนสนับสนุนการพัฒนาฮ่องกงให้เป็นศูนย์กลางด้าน AI Research and Development) ด้วยงบประมาณกว่า 1 พันล้านเหรียญฮ่องกง ผสานมาตรการปรับลดอากรแสตมป์สำหรับธุรกรรมซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ โดยกำหนดให้ บ้านที่มีมูลค่าต่ำกว่า 4 ล้านเหรียญฮ่องกง (ประมาณ 515,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ) เสียอากรแสตมป์เพียง 100 เหรียญฮ่องกง ลดลงจากอัตราเดิมที่เรียกเก็บ 1.5% ของมูลค่าการซื้อขาย สำหรับอสังหาริมทรัพย์ในช่วงราคา 3–4 ล้านเหรียญฮ่องกง และให้มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในทันที โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ (ปริมาณธุรกรรมซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ได้ราว 15% ของยอดรวมทั้งหมด) KSS มองบวกต่อแผนการสนับสนุนดังกล่าว และยังคงมุมมอง "Slightly Overweight" ต่อโอกาสการลงทุนระยะยาวในกองทุนจีน แนะนำ KFCSI300-A (CSI300 ETF) KFACHINA-A (Active A-Shares), KF-CHINA (H-Shares ETF)

(*) US Econ : 1.) ยอดขายบ้านใหม่ ของสหรัฐ เดือน ม.ค. พลิกกลับมาลดลง -10.5%m-m ที่ 6.57 แสนหลัง ต่ำกว่าคาด 6.8 แสนหลัง prev. 7.34 แสนหลัง 2.) Mortgage rate อายุ 30 ปีปรับลดลงต่อเนื่อง 4 สัปดาห์ติด มาที่ 6.88% prev. +6.93%

(*) US Tariff : คณะทำงานของ ปธน. Trump เปิดเผยว่ากำหนดการเก็บภาษี 25% กับสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม๊กซิโกจะถูกเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 2 เม.ย. จากเดิม 4 มี.ค. นอกจากนี้ยังเปิดเผยว่าเตรียมจะเก็บภาษีนำเข้าจากรถยนต์ยุโรปที่อัตรา 25% ในภาพรวมเรามองเป็นบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง

(*) To monitor ฝั่งสหรัฐ 28 ก.พ. เงินเฟ้อ PCE ม.ค. 25 ตลาดคาด +2.5%y-y, +0.4%m-m prev. +2.6%y-y, +0.3%m-m Core PCE คาด +2.7%y-y, +0.4%m-m prev.+0.2%m-m, +2.8%y-y ติดตามรายได้และรายจ่ายครัวเรือน ม.ค. คาด +0.3%m-m และ +0.3%m-m vs prev. +0.4%m-m และ +0.7%m-m

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ ปรับลงต่อเนื่องจากมุมมองนักลงทุนกังวลความเสี่ยง ทำให้ย้ายเงินลงทุนเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย อิง US Bond Yields อายุ 2 ปีปรับลงต่อ -3 bps ที่ 4.07% และอายุ 10 ปีปรับลงต่อ -2 bps อยู่ที่ 4.26% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ระยะสั้นมองเป็นจิตวิทยบวกต่อหุ้น กลุ่มการเงิน MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC กลุ้มหนี้สูง MINT ,CPAXT ส่วน Dollar Index อ่อนค่าลงมาบริเวณ 106.4 จุด

(*/-) Oil : ราคาน้ำมันดิบทำจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 2 เดือน อิง Brent -0.29%d-d ปิดที่ USD 72.81/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.45%d-d ปิดที่ USD 68.62/barrel มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP ในทางตรงข้ามมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่มีต้นทุนเป็นน้ำมัน อาทิ กลุ่มสายการบิน AAV, BA กลุ่มวัสดุก่อสร้าง TASCO, SCC

 

What happened in Thailand?

(*/-) SET Index : SET Index ปรับขึ้น +24.75 จุด (+2.05%) ปิดที่ระดับ 1,231 จุด มูลค่าการซื้อขาย 6.2 หมื่นล้านบาท (จำนวนหุ้นปรับขึ้น 377 บริษัท, หุ้นปรับลง 144 บริษัท) รับข่าว กนง. มีมติ 6:1 ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย -25 bps เหลือ 2.0% จาก 2.25% Sector ที่ปรับขึ้นเด่น คือ กลุ่มอิเล็กฯ (DELTA) จิตวิทยาบวก US TH Bond Yield แกว่งลง กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPAXT, HMPRO) ตอบรับความเชื่อมั่นภาคบริโภคไทยหลังผู้นำกลุ่ม CPALL กำไร 4Q24 แข็งแกร่งกว่าตลาดคาด ผสาน CPALL คลายกังวล Overhang กรณี Seven & I Holdings และ กลุ่ม ICT (ADVANC, TRUE, INTUCH) ADVANC นำในฐานะหุ้น High Yield เด่นขึ้นในเชิงเปรียบเทียบหากดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลง ขณะที่อุตสาหกรรมภาพรวมยังอยู่ในช่วง Upcycle ส่วน Sector ที่ปรับลง คือ กลุ่มน้ำมัน (PTTEP, TOP, PTTGC) ถ่วงมุมมองลบเศรษฐกิจสหรัฐฯต่อ Demand ผลิตภัณฑ์ และ กลุ่มธนาคาร (KBANK, BBL, KTB) เป็นกลุ่มที่กระทบจากการลดดอกเบี้ยของ กนง. แต่เชิงกลยุทธ์ เราแนะนำรอตั้งรับ จากมุมมองเชิงบวกที่เกิดขึ้นต่อคุณภาพสินทรัพย์มาช่วยชดเชยผลกระทบ

(++) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุด เงินไหลเข้า ซื้อหุ้น +61.0 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +10.8 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long 21,775 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าสู่ที่ 33.8+/- บาท

(+) SET Earnings: อิงการรวบรวมข้อมูลจาก Bloomberg ล่าสุดสัญญาณดีขึ้น หลังหุ้นอิงภาคบริการทยอยรายงานกำไรเพิ่มขึ้น เราพบว่า บจ. รายงานกำไร 4Q24 แล้ว 381 บริษัท (vs วันทำการก่อนหน้า 308 บริษัท) กำไรต่ำกว่าคาด -6.7% (vs วันทำการก่อนหน้า ต่ำกว่าคาด -8.3%) ในส่วนที่มีการคาดการณ์กำไร 105 บริษัท (vs วันทำการก่อนหน้า 86 บริษัท)แบ่งเป็นกลุ่มที่ดีกว่าคาด 48 บริษัท (vs วันทำการก่อนหน้า 35 บริษัท) ต่ำกว่าคาด 45 บริษัท (vs วันทำการก่อนหน้า 41 บริษัท) ตามคาด 12 บริษัท (vs วันทำการก่อนหน้า 10 บริษัท)ส่วนกำไรภาพรวมยังเติบโตสูง +34%y-y (vs วันทำการก่อนหน้า +33%y-y)

โดยรวม หลังรายงานกำไรล่าสุด กำไรตลาดล่าสุด BB Consensus ประเมินกำไรปี 2024-25 อยู่ที่ 95.1 บาท vs วันทำการก่อนหน้า 95.2 บาท

(+) Service Sector: กระแสหุ้นภาคบริการวันนี้เด่น อิง

1.) BOT ประเมินแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2025F จะยังมาจากภาคท่องเที่ยว

2.) กระทรวงการท่องเที่ยวเตรียมเสนอ ครม. อนุมัติโครงการสนับสนุนท่องเที่ยวช่วงนอกฤดูกาล พ.ค. - ก.ย. 25 วงเงิน 3.5 พันล้านบาท รองรับการใช้สิทธิ์ 1 ล้านสิทธิ์ โดยอยู่ในลักษณะรัฐฯ ออกคนละครึ่งกับประชาชน

3.) นายกรัฐมนตรี จุดพลุเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเช้าวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ทำเนียบรัฐบาล ภายใต้แนวคิด "7 Months 7 Wonders Summer Festivals" ชวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาสนุกสนานกับเทศกาลหลากสไตล์ต่อเนื่อง 7 เดือนเต็ม ตั้งแต่ มี.ค. ถึง ก.ย. 25

ประเมินบวกต่อหุ้นการบิน (AOT, BA) ท่องเที่ยว (MINT) ค้าปลีก (CPALL CPAXT) ทั้งนี้ หากรวมกับปัจจัยบวก

4.) รัฐฯ กรมการปกครอง ตรวจสอบนายทุนจีน ปล่อยเช่าคอนโดฯ รายวัน ในส่วนระยะสั้นประเมินกลุ่มโรงแรมที่มีสัดส่วนโรงแรมในประเทศสูง อาทิ CENTEL, ERW

(+) Seven & I Holdings: CPALL ชี้แจงยืนยันไม่มีความประสงค์เข้าร่วมลงทุนในบริษัทค้าปลีกของประเทศญี่ปุ่น เราประเมินเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่ม CPALL, CPAXT, TRUE, CPF จากประเด็น Overhang ในกรณีดังกล่าวที่จะสิ้นสุดลง เน้น CPALL ที่ตลาดกังวลต่อประเด็นดังกล่าวมากสุด สวนทางพื้นฐาน กำไรที่ยังแข็งแกร่ง

(+) MPC Meeting: ผลประชุม กนง. นัดแรกของปี 2025 ให้ลดดอกเบี้ยยโบบายลงสู่ 2.0% จากเดิม 2.25% ประเมินบวกต่อ SET ราว 40 จุด (ตามวิธี ERP) ขณะที่หากอิงข้อมูลจากทงานแถลงที่มีประเด็นน่าสนใจ ดังนี้

• แนวโน้มเศรษฐกิจ: BOT ประเมิน GDP ปี 2025 น่าจะอยู่ใกล้เคียงหรือสูงกว่าการประเมินของสภาพัฒน์เล็กน้อย (สูงกว่า 2.5%) ซึ่งตลาดได้คาดการณ์ไว้แล้ว

• ความกังวลด้านโครงสร้าง: BOT ยังกังวลเรื่องภาคการผลิตที่มีปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ เคมีภัณฑ์ ยางและพลาสติก ชิ้นส่วน วัสดุก่อสร้าง และสิ่งทอ ซึ่งต้องใช้เวลาแก้ไข แต่การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระผู้ประกอบการในระดับหนึ่ง

• ปัจจัยบวก: BOT มองบวกด้านภาคท่องเที่ยวและอุปสงค์ในประเทศ สอดคล้องกับผลกำไรตลาดไตรมาส 4/2024 โดยหุ้นที่อิงกับตลาดในประเทศแสดงสัญญาณบวก (กลุ่มเช่าซื้อ ค้าปลีก สื่อสาร ท่องเที่ยว การบิน และธนาคาร)

• คุณภาพสินเชื่อ: มีสัญญาณบวกในสินเชื่อลูกค้า Large Corporate แต่ SME ยังมีความเสี่ยง ส่วนสินเชื่อลูกค้าทั่วไปมีสัญญาณบวกเกือบทุกกลุ่ม ยกเว้นสินเชื่อบ้าน แต่คาดหวังภาพดีขึ้นจากโครงการแก้หนี้ "คุณสู้ เราช่วย" มีผู้ลงทะเบียนประมาณ 8.9 แสนราย จากผู้มีสิทธิ์ 1.9 ล้านราย

• มาตรการ LTV: BOT อยู่ระหว่างพิจารณาหารือเรื่องมาตรการ LTV ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีน้ำหนักมากกว่าประเด็นคุณภาพหนี้ที่ตลาดรับรู้อยู่แล้ว

กลยุทธ์ KSS มองโอกาสเชิงบวกระยะยาว และการลดดอกเบี้ยวันนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นลงทุนที่ดีในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยเป็น Deep Value Market ระยะยาว คงแนะนำ 1.) 7 Deep Value Stocks : CPALL, HMPRO, BH, BDMS, MINT, SCGP, GPSC 2.) หุ้นดอกเบี้ยลดลงหนุน เช่าซื้อ MTC อสังหา AP High Yield ADVANC หนี้สูง CPALL, MINT ท่องเที่ยว AOT, BA ส่วนธนาคารเน้นตั้งรับ โดยเราให้น้ำหนักมุมมองทางบวกต่อคุณภาพหนี้จะสูงกว่าผลกระทบการลดดอกเบี้ย KBANK KTB

(*) To monitor: สัปดาห์นี้ปัจจัยภายในติดตาม

1.) รายงานกำไร Real Sector หุ้นหลักๆ (* = หุ้นที่คาดรายงานกำไรออกมาดี)

27 ก.พ. : BH, IVL, PLANB*, BA*, AP, BGRIM

28 ก.พ. : BCH, CHG

2.) 28 ก.พ. MSCI Rebalance มีผลราคาปิด คาด MSCI Thailand ถูกลดน้ำหนักจาก 1.3% เหลือ 1.28% คิดเป็น Net Outflows ราวๆ -100ล้านเหรียญฯ

ดัชนี MSCI Global Standard Index หุ้นไทยเข้า/ออก ได้แก่

- หุ้นเข้า : ไม่มี

- หุ้นออก : PTTGC(-60ล้านเหรียญฯ), TOP(-50ล้านเหรียญฯ)

ส่วน MSCI Global Small cap Index หุ้นไทยเข้า/ออก ได้แก่

หุ้นเข้า 4 หุ้น : GPSC, PTTGC, SCGP, TOP
หุ้นออก 11 หุ้น : BSRC, TIPH, DCC, ERW, GFPT, KAMART, PSH, PSG, SAPPE, STECON, THG

Daily Strategy : BDMS, CPALL, ERW

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Up" ประเมินสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฯที่มีมีปัจจัยบ่งชี้เศรษฐกิจถดถอย มีโอกาสหนุนเม็ดเงินกลับขยับมาหาตลาดหุ้นที่อยู่ในโซนลงทุนและมีปัจจัยเร่ง โดยในส่วนของ SET เริ่มมีองค์ประกอบดังกล่าว ทั้งจุดเปลี่ยนการลดดอกเบี้ยนโยบาย กนง. ผสาน กำไรตลาดมีสัญญาณดีขึ้น จากแรงหนุนหุ้น Domestic ส่วนใหญ่ที่รายงานในช่วงโค้งสุดท้าย ขณะที่กำลังจะมีภาพต่อยอดฝั่งภาคบริการ โดยรวมประเมินหุ้นนำวันนี้ 1.) กลุ่ม Domestic (ภาคบริการ ค้าปลีก ร.พ. รวมถึงท่องเที่ยวคาดเด่นจากมาตรการกระตุ้นช่วง Low Season+แนวทางปราบปรามปล่อยเช่าคอนโดรายวัน) และ 2.) หุ้น Yield ลงหนุน (โรงไฟฟ้า อสังหา เช่าซื้อ High Yield และหนี้สูง)

 

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (BTS, VGI, BJC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (BA, AAV, GULF, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
กลุ่ม Value ที่คาดมีโอกาสซื้อหุ้นคืน (PTT , SCB , KBANK , KTB , BBL , BCP)
7 หุ้นที่อยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO)

• FEB25 Best Picks: ADVANC, AMATA, BA, BTS, ERW, KBANK, TTB

• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

 

 

Strategy Update :SET 50/100 interim Rebalance

การเปลี่ยนแปลง SET50/SET100 ระหว่างกาล Update สืบเนื่องจากกรณี GULF, INTUCH จะมีการควบรวมเป็นบริษัทใหม่ คือ GULF Development ซึ่งจะเข้าตลาดวันที่ 3 เม.ย. ทำให้มีการนำหุ้นเข้า SET50/SET100 ใหม่ในระหว่างกาล ดัชนีละ 1บริษัท KSS ได้ประเมินหุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 และ SET100 ใหม่ผลจากประเด็นนี้

SET50 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่ระหว่างกาล Rebalance สิ้นวันที่ 2 เมย คือ VGI (โอกาสเข้า 95%)

SET100 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่จะแข่งกันระหว่าง MOSHI (โอกาส 50%), THCOM (โอกาส 30%), KAMART (โอกาส 20%)

กลยุทธ์ : เราคาดหุ้นที่ถูกนำเข้า SET50/100 จะถูกเพิ่มน้ำหนักจาก Passive Fund เป็นบวกต่อราคาหุ้น โดยในส่วน SET 50 เราแนะนำเก็งกำไร VGI และ BTS บ.แม่ (ถือหุ้น 57.1%) ส่วน SET100 แนะนำเก็งกำไร MOSHI

Strategy Update : ThaiESG Plays

กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดตั้ง กองทุน ThaiESG กองที่ 2 คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยมีวงเงินประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับกองทุน LTF ที่ครบอายุไปแล้ว ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนและสิทธิประโยชน์ยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งอาจแตกต่างจากกองทุน ThaiESG เดิม แต่ยังคงเน้นลงทุนในประเทศ โดยเราประเมินว่าการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจะช่วยชะลอแรงขายจาก LTF เดิมและเสริมสภาพคล่องใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่ถือ LTF ระยะยาว ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 1,620-1,640 จุด

เรามองปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามซึ่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดในระยะกลางถึงยาว ได้แก่ การขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากมีการเพิ่มเพดานลดหย่อนของ ThaiESG จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท เท่ากับ LTF เดิม จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดมากขึ้น อีกทั้งยังมีการหารือเรื่อง การลงทุนในหุ้นไทย 100% และ การขยายขอบเขตของหุ้น ESG เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนและกระจายความเสี่ยง KSS มองว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการขาดเงินทุนระยะยาวจาก LTF ที่หมดสิทธิประโยชน์ หากภาครัฐมีมาตรการชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ จะช่วยให้ SET ค่อย ๆ ฟื้นตัว

KSS ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการสะสมหุ้น เนื่องจาก SET ยังอยู่ใน Deep Value Zone โดยมีค่า PER ปี 2568 อยู่ที่ 13.5 เท่า และหากไม่นับรวมหุ้น DELTA ค่า PER จะอยู่ที่เพียง 11.5 เท่า ปัจจุบันมีหุ้นที่เข้าข่ายการลงทุนระยะยาว ได้แก่ 300 บริษัทที่มี PER ต่ำกว่า 12 เท่า, 435 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูงกว่า 3%, 548 บริษัทที่มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และ 145 บริษัทที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามข้อ KSS แนะนำ 7 หุ้น Deep Value ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ได้แก่ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP และ HMPRO พร้อมกันนี้ยังแนะนำอีก 5 บริษัท ที่เข้าเงื่อนไข PER < 12X, PBV < 1X และ Dividend Yield > 3% ในกลุ่มธนาคาร KBANK, KTB, BBL ผสาน อสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มมีปัจจัยหนุนเชิงบวก เช่น AP และ SIRI

Strategy Update : Summer Plays

กระแสการเก็งกำไรในหุ้นธีม "หน้าร้อน" กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยาเผยว่าในปีนี้ จะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนในไทยสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน ก.พ. 25 - กลางเดือน พ.ค. 25 ภายใต้คาดการณ์กรมอุตุนิยมวิทยาปี 2025F คาดอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบน 35 – 36 องศาเซลเซียส แม้จะต่ำกว่าฤดูร้อนปี 2024 อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 37.5 องศาเซลเซียส แต่ยังใกล้เคียงค่าเฉลี่ยฤดูร้อนปกติที่ 35.4 องศาเซลเซียส แต่จุดที่น่าสนใจคือ ราคาหุ้นหลายตัวมี Deep Discounts จากภาวะตลาดที่ผันผวน สร้างโอกาสระยะยาวด้วยอีกทางหนึ่ง ทีมกลยุทธ์คาด KSS อากาศที่ร้อนสูงขึ้น จะหนุน

1.) การบริโภคเครื่องดื่มที่มีความคึกคักขึ้น

2.) ประชาชนจะมีความต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งพัดลม, แอร์ เพื่อบรรเทาผลกระทบอากาศร้อน

3.) การทำงานก่อสร้างจะเร่งส่งมอบได้มากกว่าช่วงหน้าฝน

4.) การท่องเที่ยวทะเลที่เป็นจุดเด่นของไทยมักคึกคัก

ภาพรวมดังกล่าวที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มักหนุนกระแสหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์อาทิ กลุ่ม มีภาพถูกเก็งกำไรในช่วงฤดูร้อน อาทิ กลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มค้าปลีกที่เน้นขายเครื่องใช้ไฟฟ้าบรรเทาอากาศร้อน กลุ่มรับเหมา และกลุ่มโรงแรม อิงผลการศึกษาผลตอบแทนย้อนหลัง 9 ปี (ไม่รวมปีที่เผชิญ Covid ในปี 2020 ที่ผลตอบแทนรายกลุ่มกระทบความเสี่ยงตลาด) ช่วงเวลาที่ดีสุดในการลงทุน คือ การลงทุนในช่วงเข้าสู่ฤดูร้อน และขายทำกำไรหลังจากนั้น 1 เดือน โดยช่วงปัจจุบัน คือ ควรเริ่มสะสมหุ้นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของ ก.พ. 25 และขายทำกำไรช่วงปลาย มี.ค. 25 - ต้น เม.ย. 25 โดยกลุ่มโรงแรม (ความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 87.5% ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.7%) ตามด้วยกลุ่มรับเหมา (62.5%, 1.6%) กลุ่มค้าปลีก (50%, 1.2%) สูงกว่า SET (50%, 1.1%) ขณะที่ภาพรายบริษัท คือ CRC(100%, 5.3%) ICHI (87.5%, 3.7%) SAPPE (75%, 7.2%) CENTEL (75%, 4.4%) MINT (62.5%, 3.3%) GLOBAL (62.5%, 2.3%) HMPRO (50%, 4.9%) DOHOME (50%, 2.3%)

ในเชิงกลยุทธ์ Summer Plays ปี 2025F KSS แนะนำลงทุนเน้นไปที่กลุ่มที่มีหุ้นอยู่ในโซนฐาน Valuation ไม่แพง ได้แก่ CRC(TP Con-40.6) ICHI (TP25F-17) SAPPE (TP25F-70) CENTEL (TP25F-40) MINT(TP25F-38) HMPRO (TP25F-13.5) และหุ้น Turn around ที่คาดได้ประโยชน์จากหน้าร้อน คือ หุ้นเครื่องดื่ม คือ MALEE(TP25F – 17.7)

Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง

1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"

 

2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก

 

3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก

 

4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ

เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว

Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

Strategy Update: MSCI Rebalance

MSCI ประกาศรายชื่อหุ้นที่ใช้ในดัชนีรอบใหม่แล้ว ซึ่งจะปรับน้ำหนักราคาปิด 28 กพ 2025 มีประเด็นสำคัญของไทยดังนี้

 

MSCI Thailand ถูกลดน้ำหนักจาก 1.3% เหลือ 1.28% คิดเป็น Net Outflows ราวๆ -100ล้านเหรียญฯ

 

โดยดัชนี MSCI Global Standard Index หุ้นไทยเข้า/ออก ได้แก่

หุ้นเข้า : ไม่มี

หุ้นออก : PTTGC(-60ล้านเหรียญฯ), TOP(-50ล้านเหรียญฯ)

 

ส่วน MSCI Global Small cap Index หุ้นไทยเข้า/ออก ได้แก่

หุ้นเข้า 4 หุ้น : GPSC, PTTGC, SCGP, TOP

หุ้นออก 11 หุ้น : BSRC, TIPH, DCC, ERW, GFPT, KAMART, PSH, PSG, SAPPE, STECON, THG

 

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีผลที่ราคาปิดวันที่ 28 ก.พ. นี้

 

กลยุทธ์ : ระยะสั้นให้ระวังความผันผวนของ PTTGC, TOP ที่ถูกถอดออกจาก MSCI Global Standard Index กลยุทธ์ ระยะสั้นเลี่ยงลงทุนหุ้นที่ถูกถอดออกจากดัชนี

 

• BEM (Buy, TP25F-10.4): Since the share price collapsed over the past six months, we believe it factors in the lower 4Q24 earnings (2% below our estimate), delay in double-deck project and potential slower earnings growth in 2025. Hence, we maintain our Buy rating but put TP and earnings in 2025 under review due to the slower growth in revenue in both key business units, toll road and mass transit. BEM declared DPS of Bt0.15 (XD on 11 March 25), implying 2.5% dividend yield for 2-week holding period.

• BDMS (Buy, TP25F-37.5): เราแนะนำ Buy สำหรับ BDMS เลือกเป็นนหุ้นเด่นกลุ่มฯ เนื่องจากมองบวกต่อการเติบโตระยะยาวจากความพร้อมทั้ง Capacity และศักยภาพการรักษาครบวงจร ทำให้มีความได้เปรียบในการแข่งขัน คาดปี 25F กำไรสุทธิ (+10%y-y) เติบโตต่อเนื่อง ส่วนกำไรสุทธิ 4Q24 (+10%y-y +2%q-q) เติบโตดีกว่าเราและตลาดคาด ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขายเทียบเท่า Forword PE ต่ำกว่า -1.0SD มองเป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้นฟื้นตัวได้ต่อ

• SAWAD (Neutral, TP25F-42): เรามีมุมมอง slightly negative ต่อกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 1,224 ลบ. ต่ำกว่าเราและตลาดคาด เพราะรายได้ดอกเบี้ย (NII) น้อยกว่าคาด ทั้ง i) สินเชื่อรวมลดลง -3% q-q คิดเป็น -4% YTD จากเน้นปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าที่มีคุณภาพ และ ii) NIM ลดลง -120 bps. y-y และ -24 bps. q-q จากมีการยกเว้นดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้ที่เข้าเงื่อนไขน้ำท่วมประมาณ 30 ลบ. กดดันกำไรลดลง -3%y-y และ -6%q-q ทั้งนี้ราคาหุ้น SAWAD ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาปรับขึ้น +8% เรามองว่าสะท้อนประโยชน์ที่ได้จากดอกเบี้ยขาลง และการฟื้นตัวของกำไรสุทธิ 2025F ไปบ้างแล้ว ดังนั้นเราปรับคำแนะนำลงเป็น NEUTRAL

• CPF (Buy, TP25F-27.4): เรามีมุมมอง "Positive" ต่อกำไรปกติ 4Q24 ของ CPF ที่ 6,540 ลบ. (จากขาดทุน y-y, ทรงตัว q-q) ดีกว่าที่เราและตลาดคาด +97%/+57% ตามลำดับ ดีกว่าคาดจากทุกรายการหลักและส่วนแบ่งกำไรจาก CPALL/CPAXT ดีกว่าคาด สำหรับโมเมนตั้ม 1Q25F คาดเพิ่มขึ้นจากฐานต่ำ y-y ทรงตัว q-q จากราคาหมูไทย/เวียดนามและราคาไก่เพิ่มขึ้น ต้นทุนอาหารสัตว์ลดลง อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งกำไรจาก บ.ร่วมอาจชะลอ q-q จากราคาหมูจีนลดลง และส่วนแบ่งกำไรจาก CPALL/CPAXT อาจลดลง q-q ตามปัจจัยฤดูกาล ทั้งนี้เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025F ที่ 16,444 ลบ. (-16%y-y) คาดแนวโน้มอุตสาหกรรมชะลอตัวจากฐานสูงในปี 2024 อนึ่ง เงินปันผล 0.55 บ/หุ้น (yield 2.3%) ขึ้น XD 8 พ.ค. 25 คงคำแนะนำ Buy TP 27.40 บ. ยังคงเลือกเป็น Top pick กลุ่มฯ

 

 

 

 

2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility

Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE

Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้