ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook
แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ
อัปเดตแนวโน้มตลาดหุ้นเวียดนาม
Highlights:
ธนาคารเวียดนามมีผลงานแข็งแกร่งใน 4Q24 ด้วยกำไรสุทธิก่อนภาษีเพิ่มขึ้น 25.9% YoY และ 20.5% QoQ โดยได้แรงหนุนจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์ปรับตัวดีขึ้น สัดส่วนหนี้เสีย (NPL) ลดลงสู่ 1.75% จากการบริหารหนี้ที่มีประสิทธิภาพและการตัดหนี้สูญที่สูงขึ้น
การเติบโตทางเศรษฐกิจขับเคลื่อนโดยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เพิ่มขึ้น 48.6% YoY ในมกราคม 2025 ภาคบริการโตจากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 36.9% YoY และการลงทุนภาครัฐเร่งตัวขึ้น 9.6% YoY แม้จะมีวันทำงานน้อยลงจากวันหยุดตรุษจีน
ภาคการส่งออกชะลอตัวลง 4.3% YoY แต่เวียดนามยังมีดุลการค้าเกินดุล 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการส่งออกไปจีนยังแข็งแกร่ง (+25.2% YoY) ขณะที่การส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลง 2.1% YoY
รัฐบาลเวียดนามได้ปรับเพิ่มเป้าหมายการเติบโตของ GDP ปี 2025 สู่ระดับ 8% ซึ่งสูงกว่ากรอบเดิมที่ 6.5%-7% พร้อมเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการเพิ่มงบลงทุนภาครัฐอีก 84.3 ล้านล้านดอง และขยายกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเป็น 4.5%-5.0% เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่าเป้าหมายดังกล่าวอาจเผชิญแรงกดดันจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและความไม่แน่นอนของสงครามการค้า ซึ่งอาจส่งผลต่อภาคการส่งออกและการลงทุนของประเทศ แนะนำให้ติดตามพัฒนาการ และคงน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามไว้ตามเดิม
รายละเอียด:
ใน 4Q24 ธนาคารในเวียดนามมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยกำไรสุทธิก่อนภาษี (PBT) เพิ่มขึ้น 25.9% YoY และ 20.5% QoQ ส่วนกำไรทั้งปี 2024 เพิ่มขึ้น 18.4% โดยการเติบโตส่วนใหญ่มาจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-Core Income) อาทิ กำไรจากการซื้อขายพันธบัตร ขณะที่รายได้หลักจากดอกเบี้ย (NII) ขยายตัวได้ดี แต่รายได้ค่าธรรมเนียม (NFI) ยังอ่อนแอ
อัตราการเติบโตของสินเชื่อใน 4Q24 ยังคงแข็งแกร่งที่ 5.8% QoQ และ 17.8% YoY โดยสินเชื่อรายย่อยขยายตัวได้ดีที่ 16.9% YoY ซึ่งเป็นการขยายตัว 3 ไตรมาสติดต่อกัน แม้ว่าจะเป็นอัตราที่ต่ำกว่าสินเชื่อภาคธุรกิจที่เติบโต 18.5% อัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ทรงตัวจากไตรมาสก่อน สะท้อนว่าการหดตัวของส่วนต่างดอกเบี้ยอาจถึงจุดต่ำสุดแล้ว อย่างไรก็ตาม รายได้จากค่าธรรมเนียมยังคง ซบเซา หดตัว 22.5% YoY โดยเฉพาะธุรกิจประกันและการเงินการค้าที่ยังได้รับผลกระทบจากกฎระเบียบใหม่
คุณภาพสินทรัพย์ปรับตัวดีขึ้น สัดส่วนหนี้เสีย (NPL) ลดลงสู่ 1.75% จาก 2.00% ในไตรมาสก่อน ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการบริหารหนี้ที่มีประสิทธิภาพและการตัดหนี้สูญที่สูงขึ้น ธนาคารที่มีผลประกอบการโดดเด่นในไตรมาส 4Q24 ได้แก่ CTG, STB และ VPB ขณะที่ทั้งปี 2024 ธนาคารที่มีผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง ได้แก่ CTG, HDB, LPB, STB, TCB และ VPB
สำหรับ 1Q25 การเติบโตของสินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์ของกลุ่มธนาคารยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ปัจจัยกดดันที่อาจสร้างความผันผวนต่อราคาหุ้นกลุ่มนี้ยังอยู่ที่ความตึงตัวของสภาพคล่องและแรงกดดันต่อต้นทุนเงินทุน (COF) โดยเฉพาะจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
ตัดมาที่ภาพเศรษฐกิจ แม้เดือนมกราคม 2025 จะได้รับผลกระทบจากวันหยุดตรุษจีนที่ทำให้วันทำงานลดลงถึง 5 วัน แต่ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (GSO) กลับชี้ให้เห็นถึงสัญญาณบวกของภาคอุตสาหกรรม โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (IIP) ยังเติบโต 0.6% YoY บ่งชี้ว่าการผลิตออกสตาร์ตได้ดีตั้งแต่ต้นปี อุตสาหกรรมหลักที่มีการขยายตัวได้แก่ ยานยนต์ (+60.7% YoY), โทรทัศน์ (+50.1% YoY) และเสื้อผ้า (+5.0% YoY) ขณะที่สินค้าบางประเภท เช่น อุปกรณ์โทรศัพท์ (-14.1% YoY) และถ่านหิน (-20.0% YoY) ยังคงเผชิญแรงกดดันจากอุปสงค์โลกที่อ่อนตัวลง
ในด้านการลงทุนภาครัฐ การเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มขึ้น 9.6% YoY ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง แม้จะเป็นเดือนที่มีวันทำงานน้อยลงก็ตาม
ขณะที่ภาคส่งออก กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนามรายงานว่า การส่งออกไปยังตลาดหลักทั่วโลกปรับตัวลดลง โดยการชะลอตัวนี้ส่วนหนึ่งเกิดจาก จำนวนวันทำงานที่ลดลงในเดือนมกราคม 2025 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากวันหยุดเทศกาลตรุษญวณ ซึ่งกระทบต่อปริมาณการผลิตและการส่งออก
แม้สหรัฐฯ จะยังคงเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม โดยมีมูลค่าการค้ารวม ประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนมกราคม แต่ตัวเลขดังกล่าวลดลง 2.1% YoY ซึ่งสะท้อนถึงอุปสงค์ที่อ่อนตัวลงในตลาดหลัก เวียดนามพึ่งพาการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก โดยสินค้าหลักที่ส่งออก ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ เครื่องหนัง และสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ขณะที่จีนเป็นตลาดหลักเพียงประเทศเดียวที่การส่งออกยังเติบโตแข็งแกร่ง โดยมีมูลค่าการส่งออก 4,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 25.2% YoY แต่อาจเป็น front-loaded demand จึงทำให้โมเมนตัมอาจไม่ต่อเนื่องในเดือนถัดไป
โดยรวมแล้ว มูลค่ามูลค่าการส่งออกทั้งหมดในเดือนมกราคมอยู่ที่ 33,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 4.3% YoY โดยภาคเอกชนเวียดนามมีสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 29% ขณะที่ภาคการลงทุนจากต่างประเทศครองส่วนแบ่งสูงถึง 71% แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของบริษัทข้ามชาติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการส่งออกของเวียดนาม
ส่วนมูลค่าการนำเข้าของเวียดนามเดือนมกราคมอยู่ที่ 30,060 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเกือบ 3% YoY ซึ่งเป็นผลจากอุปสงค์ที่ลดลงในภาคอุตสาหกรรมและความผันผวนของตลาดโลก จากภาพดังกล่าว ส่งผลให้เวียดนามมีดุลการค้าเกินดุล 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากระดับ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการรักษาความสามารถทางการแข่งขันของภาคการค้าเวียดนาม
สำหรับการบริโภคภายในประเทศมีสัญญาณการปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ต้นปี โดยยอดค้าปลีกสินค้าและบริการ เพิ่มขึ้น 9.5% YoY (+2.7% MoM) ซึ่งเป็นผลมาจาก จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่พุ่งขึ้นถึง 36.9% YoY แตะระดับ 2.1 ล้านคน ในเดือนมกราคม ทำให้ภาคการท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจ
นอกจากโมเมนตัมที่ดีของภาคบริการแล้ว การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเวียดนาม โดยในเดือนมกราคม 2025 การลงทุนที่ได้รับการอนุมัติ (registered FDI) เติบโต 48.6% YoY สู่ระดับ 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การลงทุนที่มีการเบิกจ่ายจริง (implemented FDI) เติบโต 2% สู่ระดับ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพระยะยาวของเวียดนาม
ในเชิงภูมิภาค จังหวัดบั๊กนิงห์ (Bac Ninh) ดึงดูด registered FDI สูงสุดถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามมาด้วย จังหวัดด่งนาย (Dong Nai) ที่ได้รับเงินลงทุน 959 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ในเชิงประเทศ เกาหลีใต้ยังคงเป็นนักลงทุนอันดับหนึ่ง ด้วย registered FDI มูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ FDI จากจีนเพิ่มขึ้นถึง 168% YoY สะท้อนแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังเวียดนามเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
สำหรับปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจของเวียดนามในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มถูกกดดันจากสองปัจจัยหลัก ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและความตึงเครียดทางการค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของประเทศ แม้ว่าเวียดนามจะไม่ใช่เป้าหมายหลักของมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ แต่ก็มีโอกาสได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการชะลอตัวของปริมาณการค้าโลก คล้ายกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามการค้าเมื่อปี 2018
ในบริบทดังกล่าว การที่รัฐบาลเวียดนามปรับเพิ่มเป้าหมายการเติบโตของ GDP ปี 2025 เป็น 8% จากระดับเดิมที่ 6.5%-7% พร้อมตั้งเป้าหมายให้ GDP ต่อหัวทะลุ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งท่ามกลางความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก ซึ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าที่ตั้งเป้าไว้ อย่างไรก็ตาม เพื่อสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว รัฐบาลได้ปรับนโยบายการคลังและการเงินให้สอดรับกับทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยมีมาตรการสำคัญ เช่น การเพิ่มงบลงทุนภาครัฐอีก 84.3 ล้านล้านดอง (ประมาณ 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และการขยายกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเป็น 4.5-5.0% จากเดิมที่ 4.0-4.5% การปรับเป้าหมายเงินเฟ้อดังกล่าวสะท้อนถึงความตั้งใจของทางการเวียดนามในการใช้นโยบายการเงินเชิงขยายตัว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตมากขึ้นในปีนี้
เรายังคงสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามสำหรับเดือนมีนาคมไว้เท่าเดิมจากเดือนก่อนหน้า เพื่อติดตามพัฒนาการของผลกระทบต่อการค้าโลกที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของรัฐบาลทรัมป์
สรุปภาพตลาดวานนี้
ลงจนใกล้ถึงป้าย 1200 อยู่แล้ว โดยเมื่อวานบลูชิปลงเกือบทั้งแผง ไม่ว่าจะเป็น PTTEP (ลงหนักกว่า XD ด้วยซ้ำ) ADVANC CPALL GULF TRUE CPAXT INTUCH BDMS CPN BBL KBANK KTB WHA ส่วนด้านรีบาวน์ (แต่ไม่ค่อยแรง) เช่น AOT COM7 AP PR9 เป็นต้น
แนวโน้มตลาดวันนี้
ขอลงป้ายนี้ ก่อนเลย 1,200
คงเส้นคงวา ตลาดหุ้นไทย แม้ไม่มีประเด็นลบใหม่ๆหรือต่อให้มีเรื่องบวก ก็ยังรักษาตำแหน่งรั้งท้ายตารางผลตอบแทนเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศ (ขณะที่ ฟิลปปินส์ กับ อินโดฯ ไม่ทำนิวโลว์) ทำให้สถานการณ์การลงทุนหุ้นไทยที่เรากำหนดกลยุทธ์ระยะสัปดาห์...การหาจังหวะช้อนซื้อ-ต้องผ่อนคันเร่ง หลังเราทยอยโหลดหุ้นไปแล้ว ต้องกลับมาชะลอการเพิ่มหุ้นเข้าพอร์ต และติดตามผลการดำเนินงาน บจ.ไทยโค้งสุดท้ายไปอีกระยะ ว่าราคาหุ้นตอบสนองเช่นไรกับทิศทางการปรับลดคาดการณ์กำไร บจ.ไทย เราคาดการณ์กรอบดัชนีหุ้นไทยระยะสัปดาห์ที่ 1,230-1,266 จุด (อีกครั้งที่ SET ทำลายสถิติ หลุดต่ำกว่าแนวรับที่ประเมิน)
กลยุทธ์การลงทุน เลือกสะสมหุ้นรายตัว (Hold ระยะยาวหน่อย) จากเกณฑ์
1) ราคาหุ้นทรงตัวได้ดี Outperform ในเชิงเทคนิคคอล ไม่ Overbought
2) ความถูกของราคาหุ้นเมื่อเทียบมูลค่าทางบัญชี (PBV) และเทียบกับ Bands
3) แนวโน้มผลการดำเนินงานระยะสั้น ดูแล้วไม่น่าจะสร้างความผิดหวัง
4) โอกาสที่กำไรระยะสั้นจะดีกว่าที่คิด เพราะมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว เช่น มาตรการช้อปช่วยชาติ แจกเงินหมื่น ในช่วงไตรมาสแรก หนุนกำไรโตต่อเนื่อง 4Q24-1Q25
5) มีปันผลระหว่างกาล
วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET ปิดต่ำเข้าใกล้ 1,200 จุดเข้าไปทุกที โดยผ่านการ drawdown มาแล้วทั้งสิ้น 28% จากจุดสูงสุดที่ 1,700 จุด เราอยู่กับตลาดขาลงมาตลอด 3 ปีเต็มๆ ปัจจุบันแตะเส้น support 15yr ขณะที่ RSI (month) เข้าใกล้เขตแดน oversold…สถิติโมเมนตัมลงแรงแบบนี้ เกิดขึ้นไม่บ่อย (เคยเกิดขึ้นช่วงวิกฤต subprime & covid) ส่วนครั้งนี้จะเกิดหรือไม่! หากลงต่ำกว่าโซนรับ 1,200 จุด ดูไม่ดี อาจต้องระมัดระวัง! อย่างไรก็ตามยังคงให้น้ำหนัก ดัชนีต้องสู้ รีบาวด์ให้ได้เสียก่อน
Note: หุ้นแนะนำถ้าหากลงต่ำกว่าเงื่อนไข หลุดจุดคัท แนะขายปิดความเสี่ยงกันไว้ก่อนครับ (อ่านต่อหน้า 13)
What to watch
MSCI Rebalance: หุ้นออกจาก Standard index: PTTGC TOP หุ้นเข้า MSCI Small Cap: GPSC SCGP PTTGC TOP และหุ้นออกจาก Small Cap: BSRC DCC ERW GFPT KAMART PSG PSH SAPPE STECON THG TIPH
คลังจะเร่งดำเนินการในการจัดตั้งกองทุน Thai ESG กองที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในไตรมาส 1 ปีนี้ โดยวงเงินจะอยู่ที่ราว 180,000 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนเงินในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ครบกำหนดอายุไปแล้ว เบื้องต้นอยากให้เป็นการลงทุนในประเทศเป็นหลัก และรูปแบบการลงทุนก็อาจจะแตกต่างกับ Thai ESG กองแรก
ผู้แทนรัสเซีย สหรัฐฯ จะประชุมเรื่องยุติสงครามยูเครนอีกครั้งภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า
ปธน.ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการควบคุมการลงทุนจากจีน พร้อมทั้งเดินหน้าแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก / ปธน.สหรัฐ สั่งคณะกรรมการการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐอเมริกา (CFIUS) จำกัดการลงทุนของจีนในภาคส่วนที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งรวมถึงภาคเทคโนโลยีและพลังงาน
ประชุม กนง.26 ก.พ. นี้ ตลาดคาดคงดอกเบี้ย 2.25% (ต่อให้ กนง.จะคงดอกเบี้ย แต่เราคาดว่าราคาหุ้นธนาคาร มีแนวโน้มพักฐาน หลังจากขึ้นไปรับทั้งงบดีกว่าคาด และปันผลที่สูงกว่าคาดไปแล้ว)
หุ้นแนะนำวันนี้ Wait & See
Tactical port ถอด TIDLOR MTC
รายงานพื้นฐานวันนี้
Econ
Export: การส่งออกเดือน ม.ค. ดีกว่าคาด
การส่งออกสินค้าไทยเดือนมกราคม 2025 มีมูลค่า 25.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเร่งขึ้น +13.6% YoY (+2.1% MoM) มากกว่าที่ตลาดคาดที่ 7.4% YoY (Bloomberg consensus) และหากหักสินค้าจำพวกทองคำ น้ำมัน จะขยายตัวสูงถึง +11.2% YoY นับว่าขยายตัวต่อเนื่องในเทอมของ YoY เป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน
การส่งออกที่เติบโตดีในเดือนมกราคม 2025 ได้แรงหนุนจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องโทรศัพท์และอุปกรณ์ ยางล้อรถยนต์ รวมถึงสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรเป็นบางรายการ เช่น ข้าวขาว 100% ผลิตภัณฑ์ข้าว ยางพารา ขยายตัวเป็นเดือนที่ 15 ติดต่อกัน จากแรงส่งด้านราคา และเนื้อไก่
ขณะเดียวกัน สินค้าหลายรายการมีโมเมนต์ตั้มที่แผ่วลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า แต่ยังขยายตัวได้ดีใน YoY อาทิ ผลไม้กระป๋องและแปรรูป อาหารสัตว์เลี้ยง คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ถุงมือยาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป อย่างเช่น ทูน่ากระป๋อง
ขณะที่มูลค่าการส่งออกไทยไปยังคู่ค้าหลักยังโตต่อเนื่อง ทั้งสหรัฐฯ ที่มีมูลค่า 4.78 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ (+22.4% YoY) จีนที่มีมูลค่า 2.53 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ (+13.2% YoY)
เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่เป็นตัวเร่งการส่งออก คือ การเร่งนำเข้าสินค้า (Front-loaded demand) ก่อนมาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ (ประมาณเมษายน 2025) ซึ่งเราเห็นรูปแบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วในช่วงปี 2018 ดังนั้น เป็นไปได้ว่า การส่งออกไทยอาจจะชะลอลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน 2025
รายงานผลประกอบการวันนี้
(+) AAV รายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 356 ล้านบาท หักรายการพิเศษกำไรหลักอยู่ที่ 1,644 ล้านบาท ลดลง 7% YoY แต่พลิกกลับ QoQ จากการรายงานขาดทุนหลัก ผลประกอบการสูงกว่าที่เราและตลาดคาด เนื่องจากรายได้จากบริการเสริมและรายได้อื่นที่สูงกว่าคาด แนวโน้ม 1Q25 คาดลดลง YoY (ค่าใช้จ่ายเพิ่ม) แต่เพิ่มขึ้น QoQ คงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” (ราคาเป้าหมาย 5 บาท)
(+) CPALL รายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 7,179 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 6,948 ล้านบาท (ทำสถิติสูงสุดใหม่) เพิ่มขึ้น 24% YoY และ 13% QoQ สูงกว่าที่เราและตลาดคาด 6% และ 5% ตามลำดับ เกิดจากรายได้ที่มากกว่าคาด และการเติบโตในรอบนี้หนุนจากทั้ง SSSG และ GM ขยายตัวต่อเนื่องตามที่ประเมิน แนวโน้ม 1Q25 คาดกำไรเติบโตต่อ YoY (ทรงตัว QoQ แม้มีปัจจัยฤดูกาล) หนุนจากทั้งฝั่ง SSSG และ GM เช่นเดิม เราคงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 79 บาท พร้อมทั้งรับปันผลที่ประกาศมา 1.35 บาท คิดเป็น Div. yield 2.7% ขึ้น XD วันที่ 6 พ.ค.
(0) HMPRO รายงานกำไรสุทธิ/หลัก 4Q24 ที่ 1,727 ล้านบาท คิดเป็นกำไรหลักเพิ่มขึ้น 3% YoY และ 20% QoQ เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด และประกาศจ่ายเงินปันผล 0.25 บาท คิดเป็น Div. yield 5.3% ขึ้น XD 22 เม.ย. ส่วนแนวโน้ม 1Q25 คาดกำไรจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย YoY ทรงตัว QoQ และเรายังคงคำแนะนำถือ (ราคาเป้าหมาย 10.50 บาท) โดยในกลุ่มนี้ เราชอบ DOHOME มากกว่า
(0) BTG รายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 983 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 962 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนหลัก YoY และเพิ่มขึ้น 6% QoQ เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด ปัจจัยบวกงวดนี้เห็นทั้งรายได้ที่ยังยืนระดับได้ QoQ และ GM ที่เพิ่มขึ้นทั้ง YoY, QoQ จากราคาเนื้อสัตว์ยังสูง และต้นทุนวัตถุดิบลดลง เราปรับกำไรทั้งปี 2025 ขึ้น 38% สะท้อนสมมติฐานที่ดีขึ้นดังกล่าว ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 23 บาท และแนะนำซื้อเก็งกำไร (ปรับเพิ่มจากขาย) รับประเด็นบวกจากทั้งการส่งออกดี ราคาเนื้อสัตว์สูง และอัตรากำไรที่ขยายตัวได้อยู่
(+) CENTEL รายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 656 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักอยู่ที่ 636 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115% YoY และ 228% QoQ สูงกว่าที่เราและตลาดคาดที่ 300 และ 350 ล้านบาท ตามลำดับ อยู่มาก เกิดจากธุรกิจโรงแรมท่กำไรดีกว่าคาด กลบผลกระทบค่าใช้จ่ายที่เพิ่มจากการเตรียมเปิดโรงแรมใหม่ นอกจากนี้ ยังพบว่าธุรกิจอาหารยังมีอัตรากำไรที่ดีหลังจากปิดส่วนที่เปิดตัวฉุดลง และมีส่วนแบ่งกำไรเข้ามาเพิ่มขึ้น แนวโน้ม 1Q25 คาดกำไรหลักจะเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ เกิดจากรายได้ส่วนเพิ่มเข้ามาจากทั้งโรงแรมในพัทยาและภูเก็ต และ RevPar ที่เพิ่มขึ้นของที่อื่นๆ ภาพรวมเราจึงมองว่ามี Upside จากประมาณการกำไรของทั้งเราและตลาด คงคำแนะนำซื้อลงทุนระยะยาว (ราคาเป้าหมาย 37 บาท) และเป็น Top Pick กลุ่มโรงแรม
(+) ERW รายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 378 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 377 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84% YoY และ 203% QoQ สูงกว่าที่เราและตลาดคาด 20% และ 13% ตามลำดับ แนวโน้ม 1Q25 คาดกำไรหลักเติบโต YoY จาก RevPar และ QoQ จากฤดูกาล เราปรับเพิ่มกำไรปี 2025 ขึ้น 9% คงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 4.50 บาท
(+) SPALI รายงานกำไรสุทธิ/หลัก 4Q24 ที่ 1,988 ล้านบาท ทรงตัว YoY และ QoQ แต่ถือว่าค่อนข้างดี เพราะดีกว่าที่เราและตลาดคาดไปถึง 14% และ 24% ตามลำดับ จากรายได้และ GM มากกว่าคาด แถมยังประกาศจ่ายปันผล 0.85 บาท คิดเป็น Div. Yield 5.3% ขึ้น XD วันที่ 7 พ.ค. ส่วนแนวโน้ม 1Q25 คาดว่ากำไรเพิ่มขึ้น YoY (ลดลง QoQ) เราปรับประมาณการกำไรปี 2025 ขึ้น 7% จาก GM ที่สูงกว่าคาด และกำไรจากธุรกิจในออสเตรเลีย เราแนะนำซื้อเก็งกำไร และเล่นรับปันผล ราคาเป้าหมาย 19.50 บาท
สรุปประเด็นจาก Quick take
WHA
ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น
ประเด็นจาก conference call
ผู้บริหารมองว่ากำไรปี 2026 ไม่น่าจะลดลง YoY ตามที่นักวิเคราะห์มอง เนื่องจากยอดขายที่ดินและราคาขายที่จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มีแนวโน้มจะกลบผลกระทบของ dilution effect ของ WHAID ได้
View from fundamental: ประเด็นเกี่ยวกับแนวโน้มกำไรปี 2026 น่าจะลดความกังวล และสร้าง positive sentiment ต่อราคาหุ้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก WHAID ยังมีแนวโน้มที่จะเป็น growth engine หลักของ WHA ในปี 2026 หากจะเอาชนะผลของ dilution ได้ กำไรของ WHAID ควรมีกำไรเติบโตอย่างน้อย 30% YoY ในปี 2026 ซึ่งอาจเป็นเป้าที่ค่อนข้าง challenge
BAM
บริหารสินทรัพย์
กรุงเทพพาณิชย์ ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์
BAM ตั้งเป้า cash collection ปี 2025 ที่ 1.78 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% YoY (สูงกว่าที่เราคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2% YoY) ธนาคารยังเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ BAM จัดแคมเปญผ่อน 0% 2ปี กับ BAM เอง และทำโปรโมชั่นลดราคา เพื่อส่งเสริมการขายมากขึ้น
View from fundamental: เรามองว่าเป้าหมาย cash collection ของ BAM เป็นเป้าหมายที่ท้าทาย เพราะธนาคารยังเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและคาดว่าผู้ประกอบการอสังหาฯ จะเร่งขาย inventory ออกมาในปีนี้ ทำให้แนวโน้มการแข่งขันด้านราคารุนแรงขึ้น
KCE
เคซีอี อีเลคโทรนิคส์
ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์
ปี 2025 ไม่ใช่ปีของการ Recovery อุตสาหกรรมยังไม่เห็นการฟื้นตัว แต่ก็ไม่ได้แย่ลง คาดเห็นการฟื้นตัวใน 2H25 ภาพรวมยังมองรายได้ทรงตัวจากปี 2024
View from fundamental: เรายังมองกำไร 1Q25 ปรับตัวลดลง YoY แต่ฟื้นตัว QoQ ยังแนะนำ wait-and-see
CBG
คาราบาวกรุ๊ป
ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์
คงเป้ารายได้ปี 2025 โต 30% หนุนจากเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศ การขนส่งและผลิตขวดสุราข้าวหอมเตรียมขยายกำลังการผลิต 50% สำหรับเตาหลอมขวดแก้ว สนับสนุนการผลิตขวดสุราข้าวหอมใน ปี 2026
View from fundamental: เรายังคงมุมมองระมัดระวังต่อ CBG เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง เรายังคงคำแนะนำ ถือ
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน