Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี : KSS Daily Strategy

272

 


"Domestic Play"

 

KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "สร้างฐานเพื่อฟื้น" ต้าน 1242/1248 จุด รับ 1227/1220 จุด ประเด็นกำหนดทิศทางตลาดวันนี้เป็นกลาง คือ 1.) ตลาดน่าจะเริ่มรอชัดเจนการกีดกันการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ เม็กซิโก และแคนาดาที่ใกล้ถึง Deadline การเจรจาถึง 4 มี.ค. vs Krungsri Research ประเมินผลกระทบต่อไทยเป็นกลาง-บวกอ่อนๆ และ 2.) กำไร บจ.ไทยงวด 4Q24 ยังไม่เด่น อิง Bloomberg รายงานแล้ว 261 บริษัท กำไรต่ำกว่าคาด -9.2% ทรงๆ vs วันทำการล่าสุด 3.) วันนี้ภายในติดตามประชุม ครม. คาดพิจารณาแก้ไขร่าง พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การพนัน (ฉบับที่ ...) พ.ศ....ประเมินเป็นบันไดขั้นแรกดึงเม็ดเงินนอกระบบกลับเข้าระบบ ตามด้วย 4.) พรุ่งนี้ติดตามประชุม กนง. เราคงโอกาสลดดอกเบี้ย 70% ล่าสุด Thai Bond Yield ระยะสั้นถึงกลาง <= 5ปี กำลังลดลงต่อเนื่อง Bond Yields 1 ปีปรับลงต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ 2.06% 5.) สถานการณ์โคโรน่าไวรัสจีนไม่มีประเด็นเพิ่ม ขณะที่หุ้น Big Cap ส่วนใหญ่อยู่ในโซนฐานแล้ว ประเมิน SET สร้างฐานเพื่อฟื้น หุ้นนำ เน้นหุ้น Domestic ฝั่งดอกเบี้ยขาลงหนุน (เช่าซื้อ, อสังหา, High Yield, หนี้สูง) หุ้นอิงกระแส Trade War และ Defensive (สื่อสาร, ร.พ.) วันนี้แนะนำ AMATA (คาดเม็ดเงินสลับมาจาก WHA), CPALL, MOSHI

 

 

 

 

 

Daily outlook: "สร้างฐานเพื่อฟื้น" ต้าน 1242/1248 จุด รับ 1227/1220 จุด

What happened around the world?

(-)US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐ อิง ดัชนี Dow jones +0.08%d-d (หนุนจาก Nike +4.9%, Boeing +1.56% แต่ NVDIA -3.1% ปรับลงก่อนรายงานงบ ฯลฯ), ดัชนี Nasdaq -1.21%d-d ปรับลง 3 วันติด ใกล้โซนแนวรับ , S&P500 -0.49% โดยดัชนี S&P 500 Sector ที่ปรับขึ้นหลักๆคือ Healthcare, Financials, Real estate, Energy, Consumer staples ส่วนกลุ่มอื่นปรับลง โดยกลุ่มที่ Underperform คือ ICT, Consumer discretionary ฯลฯ ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่นคือ หุ้น Tech สหรัฐ" Palantir -10.5% Microstrategy -5.7% ปรับลงตามราคา Bitcoin ที่ลงแรงราว 4% Tesla -2.15% , Microsoft -1.0% ฯลฯ

(*) US Tariff : ประธานาธิบดี Donald Trump ล่าสุด ให้สัมภาษณ์ประเด็นการขึ้นภาษีศุลกากรนำเข้ากับ 2 ประเทศ คาดอัตรา 25% คือ แคนาดาและเม็กซิโก "จะดําเนินต่อไป และเป็นไปตามแผนหรือ Timeline ที่วางไว้ ช่วง 4 มี.ค.2025 " โดยยังต้องติดตามการขึ้นภาษีนำเข้ากับจีน เพิ่มเติมอีก Krungsri research ประเมินผลกระทบ คือ ผลกระทบต่อการส่งออกสูงสุดจะเกิดขึ้นในเม็กซิโก (การส่งออกไปยังสหรัฐฯ คิดเป็น 79.6% ของการส่งออกทั้งหมด) และแคนาดา (77.6%) โดยผลกระทบปานกลางต่อเวียดนาม (27.5%) ไทย (17.1%) โดยสินค้าไทยที่คาดจะได้ประโยชน์จากการขึ้นภาษี หลักๆ คือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มชิ้นส่วนรถมอเตอไซค์ ฯลฯ ผลต่อตลาดทุน KSS ประเมินเป็นประเด็นที่ตลาดรับรู้ไปแล้วช่วงก่อนหน้า มองเป็นจิตวิทยาลบระยะสั้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงวันนี้

(*) S. Korea Meeting : ติดตามประชุมธนาคารกลางเกาหลีใต้(BOK) เช้านี้ ตลาดคาดลดดอกเบี้ย 25 bps อยู่ที่ 2.75% หลังจากช่วง 4Q24 ปรับลดดอกเบี้ยลงรวม 50 bps KSS มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อตลาดหุ้นเกาหลีใต้ และหุ้นในภูมิภาคเอเชีย และหนุนมุมมองอัตราดอกเบี้ยในฝั่งเอเชียที่เป็นขาลง มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยลง อาทิ MTC AP SIRI ADVANC CPALL

(*) EU Election : ผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการของเยอรมนี พรรค CDU/CSU มีคะแนนเสียงนำ และคาดว่าคุณ Friedrich Merz จะได้รับตำแหน่งนายกฯ ในรัฐบาลผสมชุดใหม่ ระหว่างพรรคหลัก CDU + SPD Consensus ประเมินว่าการจัดตั้งรัฐบาลเยอรมนีคาดว่าจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ติดตามทิศทางนโยบายการคลังที่ยังเผชิญกับความไม่แน่นอน การลงทุนในหุ้นกลุ่มป้องกันประเทศยังคงมีแนวโน้มที่ดี ขณะที่แนวโน้มค่าเงินยูโรและตลาดตราสารหนี้ยังคงขึ้นอยู่กับการเจรจาทางการคลังในอนาคต KSS มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจในยุโรป อาทิ MINT, SHR, XO ฯลฯ

(*/+) China Stimulus : รัฐบาลจีนออกมาตรการแก้กฎหมายเพื่อให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในจีน และสนับสนุนให้นักลงทุนในประเทศเพิ่มการลงทุนในประเทศมากขึ้น โดยรวม KSS ประเมินเป็นลบ ต่อการย้ายลงทุนจากจีนมาไทย อิง FDI ที่มาจากจีนเป็นกลุ่ม 21% ของการลงทุนจากต่างประเทศ มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มนิคม ซึ่ง อาทิ WHA, AMATA แต่ในทางตรงข้ามมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่ม China Play อาทิ SCGP, IVL, AAV

(*/+) China Tech : นครเซินเจิ้น ตอนใต้ของจีน เตรียมเปิดตัวกองทุนอุตสาหกรรมมูลค่า 1 หมื่นล้านหยวน (ราว 1.39 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อสนับสนุน AI และหุ่นยนต์ โดยมุ่งเน้นไปที่ Software และ Hardware โดยรวมทำให้ยังคงมุมมองบวกต่อหุ้นจีน และฮ่องกง จุดเด่นคือ Valuationถูก อิง CSI300 อยู่ที่ 15 เท่า และ Hang seng ที่ 10.7 เท่า เทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐ อิง S&P500 อยู่ที่ 24.9 เท่า และ MSCI World ที่ 20.8 เท่า โดยให้น้ำหนักการลงทุนคือ Slightly Overweight

(*) To monitor ฝั่งสหรัฐ 25 ก.พ. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค Conf. Board ก.พ. คาด 103.5 จุด vs prev. 104.1 จุด, 28 ก.พ. เงินเฟ้อ PCE ม.ค. 25 ตลาดคาด +2.5%y-y, +0.4%m-m prev. +2.6%y-y, +0.3%m-m Core PCE คาด +2.7%y-y, +0.4%m-m prev.+0.2%m-m, +2.8%y-y ติดตามรายได้และรายจ่ายครัวเรือน ม.ค. คาด +0.3%m-m และ +0.3%m-m vs prev. +0.4%m-m และ +0.7%m-m 26 ก.พ. ยอดขายบ้านใหม่ ม.ค. คาด 6.8 แสนหลัง ฝั่งยุโรป 24 ก.พ. เงินเฟ้อ CPI ม.ค. 25 ครั้งสุดท้าย คาด +0.4%m-m, +2.5%y-y vs prev. +0.4%m-m, +2.4%y-y เงินเฟ้อพื้นฐาน คาด +2.7%y-y เท่า prev.

 

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ อายุ 2 ปีปรับลงต่อ -2 bps ที่ 4.17% และอายุ 10 ปี ปรับลงต่อ -4 bps อยู่ที่ 4.39% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ระยะสั้นมองเป็นจิตวิทยบวกต่อหุ้น กลุ่มการเงิน MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC กลุ้มหนี้สูง MINT ,CPAXT ส่วน Dollar Index แกว่งตัวบริเวณ 106.6 จุด

(*/+)Oil : ราคาน้ำมันดิบ Rebound อิง Brent +0.64%d-d ปิดที่ USD 74.91/barrel น้ำมันดิบ West Texas +0.43%d-d ปิดที่ USD 70.7/barrel รับข่าวสหรัฐฯคว่ำบาตรอิหร่านรอบใหม่ และข่าวอิรักให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามข้อตกลงของกลุ่ม OPEC+ ในการปรับลดกำลังการผลิตเพื่อชดเชยการผลิตน้ำมัน

 

What happened in Thailand?

(*/-) SET Index : SET Index ลดลง 10.36 จุด (-0.83%) ปิดที่ระดับ 1,236 จุด มูลค่าการซื้อขาย 4.2 หมื่นล้านบาท (จำนวนหุ้นปรับลง 334 บริษัท, หุ้นปรับขึ้น 170 บริษัท) ดัชนีปรับลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศจากวิตกเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวหลัง PMI ภาคบริการหดตัวครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี และมีจิตวิทยาลบจากข่าวจีนตรวจพบไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ใหม่ Sector ที่ปรับลงกดดัชนี คือ กลุ่ม ICT (TRUE, INTUCH) TRUE คาดตลาดผิดหวังมุมมองที่ประชุมนักวิเคราะห์ที่ไม่มีประเด็นใหม่ที่มีนัยฯ ส่วน INTUCH เป็นการลดน้ำหนักช่วงสูญญากาศก่อนควบรวมกับ GULF ซึ่งจะเริ่มกระบวนการหยุดซื้อขาย 21 มี.ค. กลุ่มการบิน+ท่องเที่ยว (AOT, BA, CENTEL) จิตวิทยาลบเรื่องไวรัสในจีน และกลุ่มธนาคาร (KTB, BBL, KBANK) มองกังวลกระแสลดดอกเบี้ยในการประชุม กนง. กลางสัปดาห์นี้ ส่วน Sector ที่ปรับขึ้นช่วยพยุงดัชนี คือ อิเล็กฯ (DELTA, HANA) มองเก็งกำไรงบ NVIDIA ที่จะออกกลางสัปดาห์ และกลุ่มปิโตรฯ (IVL) ประกาศเข้าซื้อหุ้น 24.9% ของ EPL Limited/ EPL ของเรามีมุมมอง slightly positive กับดีลดังกล่าว คือ 1) เป็นบริษัทที่มีกำไรอยู่แล้ว ทำให้มีส่วนแบ่งกำไรเข้าหนุนงบปีนี้ทันทีราว 280 ล้านบาท มี upside ต่อคาดการณ์กำไรปีนี้ 2.5%, 2) ราคาเข้าซื้อไม่แพง 3) มองเป็นการเปิดตลาดบรรจุภัณฑ์ในอินเดียที่มีโอกาสเติบโตสู

(*) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุด เงินไหลเข้าเล็กน้อย ขายหุ้น -41.2 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +43.6 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Short -8,561 สัญญา เงินบาทแข็งค่าทรงๆที่ 33.5+/- บาท

(*/+) Sign of MPC Rate Cut: อิงสัญญาณตลาดพันธบัตรล่าสุด KSS คาดการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันพุธ 26 ก.พ.25 ให้โอกาสสูงที่จะลดดอกเบี้ย 25bps สู่ 2.0% สะท้อนผ่าน ล่าสุด Thai Bond Yield ระยะสั้นถึงกลาง <= 5ปี กำลังลดลงต่อเนื่อง และ อายุ 10 ปี -4 bps อยู่ที่ 2.24% และ Bond Yields 1 ปีปรับลงต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ 2.06% หาก กนง. ลดดอกเบี้ย 25 bps คาดจะหนุน SET ฟื้นตัวราว +40จุด จาก Equity Risk Premium ที่เพิ่มขึ้น 25bps

เชิงกลยุทธ์ เน้นหุ้นได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยลง อาทิ MTC AP SIRI ADVANC CPALL

(*/-) SET Earnings: อิงการรวบรวมข้อมูลจาก Bloomberg ล่าสุด บจ. รายงานกำไร 4Q24 แล้ว 261 บริษัท (vs วันทำการก่อนหน้า 222 บริษัท) กำไรต่ำกว่าคาด -9.2% (vs วันทำการก่อนหน้า ต่ำกว่าคาด -9.2%) ในส่วนที่มีการคาดการณ์กำไร 77 บริษัท (vs วันทำการก่อนหน้า 70 บริษัท)แบ่งเป็นกลุ่มที่ดีกว่าคาด 31 บริษัท (vs วันทำการก่อนหน้า 29 บริษัท) ต่ำกว่าคาด 37 บริษัท (vs วันทำการก่อนหน้า 33 บริษัท) ตามคาด 9 บริษัท (vs วันทำการก่อนหน้า 8 บริษัท)ส่วนกำไรภาพรวมยังเติบโตสูง +37%y-y (vs วันทำการก่อนหน้า +45%y-y)

โดยรวม หลังรายงานกำไรล่าสุด กำไรตลาดล่าสุด BB Consensus ประเมินกำไรปี 2024-25 อยู่ที่ 83.9 และ 95.1 บาท (vs วันทำการก่อนหน้า 84.3 บาท และ 95.2 บาท)

(*/+) Village Fund:รัฐบาล เตรียมพร้อมอัดเงินลงกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ผ่านโครงการ SML วงเงิน 1.1 หมื่นล้านบาท (0.06% ของ GDP ไทย) คาดได้ข้อสรุปมี.ค. 25 กระจายเงินภายในเดือนเม.ย. 25 ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นอิงฐานราก อาทิ MTC CPALL CPAXT

(*/-) TH Tourism: จำนวนผู้ใช้บริการสนามบิน AOT เดินทางออกนอกประเทศล่าสุด (ชี้นำนักท่องเที่ยวต่างชาติ) 1-23 ก.พ. อยู่ที่ 93.5% ลดลงจาก 1-15 ก.พ. ที่อยู่ 93.7% แม้ส่วนหนึ่งมีผลกระทบจากฐานช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีเทศกาลตรุษจีน แต่ประเมินจิตวิทยาลบระยะสั้นต่อหุ้นการบิน ท่องเที่ยว เชิงกลยุทธ์แนะนำรอสะสมหุ้นตอบรับจิตวิทยาลบ เน้น MINT ERW BA

(*) To monitor: สัปดาห์นี้ปัจจัยภายในติดตาม

1.) รายงานกำไร Real Sector หุ้นหลักๆ (* = หุ้นที่คาดรายงานกำไรออกมาดี)

25 ก.พ.: CENTEL*, PTG*, SPALI, CPALL*

26 ก.พ. : AWC, BDMS, SAWAD, , LH, CPF, OSP

27 ก.พ. : BH, IVL, PLANB*, BA*, AP, BGRIM

28 ก.พ. : BCH, CHG

2.) 25 ก.พ. ประชุม ครม. ติดตามกระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอที่ประชุมครม. 25 ก.พ. แก้ไขร่าง พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การพนัน (ฉบับที่ ...) พ.ศ.... และรายงานนักท่องเที่ยวต่างชาติรายสัปดาห์

3.) 25 ก.พ. รายงานส่งออก - นำเข้า ม.ค. 25 ตลาดคาด +7.7%y-y, +2.9%y-y vs prev. +8.7%y-y, +14.9%y-y

4.) 26 ก.พ. ประชุม กนง. ตลาดคาดคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% เท่า prev. อย่างไรก็ดี KSS ประเมินจาก GDP งวด 4Q24 ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ผสาน ยอดเติบโตสินเชื่อ ธ.ค. 24 เริ่มชะลอ เราประเมินมีโอกาสที่ BOT จะลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้

5.) 28 ก.พ. MSCI Rebalance มีผลราคาปิด คาด MSCI Thailand ถูกลดน้ำหนักจาก 1.3% เหลือ 1.28% คิดเป็น Net Outflows ราวๆ -100ล้านเหรียญฯ

ดัชนี MSCI Global Standard Index หุ้นไทยเข้า/ออก ได้แก่

หุ้นเข้า : ไม่มี

หุ้นออก : PTTGC(-60ล้านเหรียญฯ), TOP(-50ล้านเหรียญฯ)

ส่วน MSCI Global Small cap Index หุ้นไทยเข้า/ออก ได้แก่

หุ้นเข้า 4 หุ้น : GPSC, PTTGC, SCGP, TOP

หุ้นออก 11 หุ้น : BSRC, TIPH, DCC, ERW, GFPT, KAMART, PSH, PSG, SAPPE, STECON, THG

 

Daily Strategy : AMATA, CPALL, MOSHI

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "สร้างฐานเพื่อฟื้น" เราประเมินตลาดยังอยู่ในช่วงสร้างฐานเพื่อฟื้น แม้หุ้น Big Cap ส่วนใหญ่ลงมาอยู่ในโซนฐานแล้ว แต่จิตวิทยาลงทุนระยะสั้นยังมีประเด็นรบกวนจากกระแสสงครามการค้าที่กลับมา หลังสหรัฐฯ ยืนยันเดินหน้ามาตรการกับเม็กซิโก และแคนาดา เชิงกลยุทธ์ ทำให้เราแนะนำอยู่กับกลุ่มหุ้น Domestic ที่มีปัจจัยหนุน อาทิ หุ้น Domestic ฝั่งดอกเบี้ยขาลงหนุน (เช่าซื้อ, อสังหา, High Yield, หนี้สูง) หุ้นอิงกระแส Trade War และ Defensive (สื่อสาร, ร.พ.)

 

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (BTS, VGI, BJC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (BA, AAV, GULF, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
กลุ่ม Value ที่คาดมีโอกาสซื้อหุ้นคืน (PTT , SCB , KBANK , KTB , BBL , BCP)
7 หุ้นที่อยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO)

• FEB25 Best Picks: ADVANC, AMATA, BA, BTS, ERW, KBANK, TTB

• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

 

 

Strategy Update :SET 50/100 interim Rebalance

การเปลี่ยนแปลง SET50/SET100 ระหว่างกาล Update สืบเนื่องจากกรณี GULF, INTUCH จะมีการควบรวมเป็นบริษัทใหม่ คือ GULF Development ซึ่งจะเข้าตลาดวันที่ 3 เม.ย. ทำให้มีการนำหุ้นเข้า SET50/SET100 ใหม่ในระหว่างกาล ดัชนีละ 1บริษัท KSS ได้ประเมินหุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 และ SET100 ใหม่ผลจากประเด็นนี้

SET50 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่ระหว่างกาล Rebalance สิ้นวันที่ 2 เมย คือ VGI (โอกาสเข้า 95%)

SET100 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่จะแข่งกันระหว่าง MOSHI (โอกาส 50%), THCOM (โอกาส 30%), KAMART (โอกาส 20%)

กลยุทธ์ : เราคาดหุ้นที่ถูกนำเข้า SET50/100 จะถูกเพิ่มน้ำหนักจาก Passive Fund เป็นบวกต่อราคาหุ้น โดยในส่วน SET 50 เราแนะนำเก็งกำไร VGI และ BTS บ.แม่ (ถือหุ้น 57.1%) ส่วน SET100 แนะนำเก็งกำไร MOSHI

Strategy Update : ThaiESG Plays

กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดตั้ง กองทุน ThaiESG กองที่ 2 คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยมีวงเงินประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับกองทุน LTF ที่ครบอายุไปแล้ว ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนและสิทธิประโยชน์ยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งอาจแตกต่างจากกองทุน ThaiESG เดิม แต่ยังคงเน้นลงทุนในประเทศ โดยเราประเมินว่าการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจะช่วยชะลอแรงขายจาก LTF เดิมและเสริมสภาพคล่องใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่ถือ LTF ระยะยาว ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 1,620-1,640 จุด

เรามองปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามซึ่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดในระยะกลางถึงยาว ได้แก่ การขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากมีการเพิ่มเพดานลดหย่อนของ ThaiESG จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท เท่ากับ LTF เดิม จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดมากขึ้น อีกทั้งยังมีการหารือเรื่อง การลงทุนในหุ้นไทย 100% และ การขยายขอบเขตของหุ้น ESG เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนและกระจายความเสี่ยง KSS มองว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการขาดเงินทุนระยะยาวจาก LTF ที่หมดสิทธิประโยชน์ หากภาครัฐมีมาตรการชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ จะช่วยให้ SET ค่อย ๆ ฟื้นตัว

KSS ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการสะสมหุ้น เนื่องจาก SET ยังอยู่ใน Deep Value Zone โดยมีค่า PER ปี 2568 อยู่ที่ 13.5 เท่า และหากไม่นับรวมหุ้น DELTA ค่า PER จะอยู่ที่เพียง 11.5 เท่า ปัจจุบันมีหุ้นที่เข้าข่ายการลงทุนระยะยาว ได้แก่ 300 บริษัทที่มี PER ต่ำกว่า 12 เท่า, 435 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูงกว่า 3%, 548 บริษัทที่มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และ 145 บริษัทที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามข้อ KSS แนะนำ 7 หุ้น Deep Value ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ได้แก่ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP และ HMPRO พร้อมกันนี้ยังแนะนำอีก 5 บริษัท ที่เข้าเงื่อนไข PER < 12X, PBV < 1X และ Dividend Yield > 3% ในกลุ่มธนาคาร KBANK, KTB, BBL ผสาน อสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มมีปัจจัยหนุนเชิงบวก เช่น AP และ SIRI

Strategy Update : Summer Plays

กระแสการเก็งกำไรในหุ้นธีม "หน้าร้อน" กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยาเผยว่าในปีนี้ จะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนในไทยสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน ก.พ. 25 - กลางเดือน พ.ค. 25 ภายใต้คาดการณ์กรมอุตุนิยมวิทยาปี 2025F คาดอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบน 35 – 36 องศาเซลเซียส แม้จะต่ำกว่าฤดูร้อนปี 2024 อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 37.5 องศาเซลเซียส แต่ยังใกล้เคียงค่าเฉลี่ยฤดูร้อนปกติที่ 35.4 องศาเซลเซียส แต่จุดที่น่าสนใจคือ ราคาหุ้นหลายตัวมี Deep Discounts จากภาวะตลาดที่ผันผวน สร้างโอกาสระยะยาวด้วยอีกทางหนึ่ง ทีมกลยุทธ์คาด KSS อากาศที่ร้อนสูงขึ้น จะหนุน

1.) การบริโภคเครื่องดื่มที่มีความคึกคักขึ้น

2.) ประชาชนจะมีความต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งพัดลม, แอร์ เพื่อบรรเทาผลกระทบอากาศร้อน

3.) การทำงานก่อสร้างจะเร่งส่งมอบได้มากกว่าช่วงหน้าฝน

4.) การท่องเที่ยวทะเลที่เป็นจุดเด่นของไทยมักคึกคัก

ภาพรวมดังกล่าวที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มักหนุนกระแสหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์อาทิ กลุ่ม มีภาพถูกเก็งกำไรในช่วงฤดูร้อน อาทิ กลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มค้าปลีกที่เน้นขายเครื่องใช้ไฟฟ้าบรรเทาอากาศร้อน กลุ่มรับเหมา และกลุ่มโรงแรม อิงผลการศึกษาผลตอบแทนย้อนหลัง 9 ปี (ไม่รวมปีที่เผชิญ Covid ในปี 2020 ที่ผลตอบแทนรายกลุ่มกระทบความเสี่ยงตลาด) ช่วงเวลาที่ดีสุดในการลงทุน คือ การลงทุนในช่วงเข้าสู่ฤดูร้อน และขายทำกำไรหลังจากนั้น 1 เดือน โดยช่วงปัจจุบัน คือ ควรเริ่มสะสมหุ้นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของ ก.พ. 25 และขายทำกำไรช่วงปลาย มี.ค. 25 - ต้น เม.ย. 25 โดยกลุ่มโรงแรม (ความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 87.5% ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.7%) ตามด้วยกลุ่มรับเหมา (62.5%, 1.6%) กลุ่มค้าปลีก (50%, 1.2%) สูงกว่า SET (50%, 1.1%) ขณะที่ภาพรายบริษัท คือ CRC(100%, 5.3%) ICHI (87.5%, 3.7%) SAPPE (75%, 7.2%) CENTEL (75%, 4.4%) MINT (62.5%, 3.3%) GLOBAL (62.5%, 2.3%) HMPRO (50%, 4.9%) DOHOME (50%, 2.3%)

ในเชิงกลยุทธ์ Summer Plays ปี 2025F KSS แนะนำลงทุนเน้นไปที่กลุ่มที่มีหุ้นอยู่ในโซนฐาน Valuation ไม่แพง ได้แก่ CRC(TP Con-40.6) ICHI (TP25F-17) SAPPE (TP25F-70) CENTEL (TP25F-40) MINT(TP25F-38) HMPRO (TP25F-13.5) และหุ้น Turn around ที่คาดได้ประโยชน์จากหน้าร้อน คือ หุ้นเครื่องดื่ม คือ MALEE(TP25F – 17.7)

Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง

1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"

 

2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก

 

3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก

 

4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ

เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว

Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

Strategy Update: MSCI Rebalance

MSCI ประกาศรายชื่อหุ้นที่ใช้ในดัชนีรอบใหม่แล้ว ซึ่งจะปรับน้ำหนักราคาปิด 28 กพ 2025 มีประเด็นสำคัญของไทยดังนี้

 

MSCI Thailand ถูกลดน้ำหนักจาก 1.3% เหลือ 1.28% คิดเป็น Net Outflows ราวๆ -100ล้านเหรียญฯ

 

โดยดัชนี MSCI Global Standard Index หุ้นไทยเข้า/ออก ได้แก่

หุ้นเข้า : ไม่มี

หุ้นออก : PTTGC(-60ล้านเหรียญฯ), TOP(-50ล้านเหรียญฯ)

 

ส่วน MSCI Global Small cap Index หุ้นไทยเข้า/ออก ได้แก่

หุ้นเข้า 4 หุ้น : GPSC, PTTGC, SCGP, TOP

หุ้นออก 11 หุ้น : BSRC, TIPH, DCC, ERW, GFPT, KAMART, PSH, PSG, SAPPE, STECON, THG

 

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีผลที่ราคาปิดวันที่ 28 ก.พ. นี้

 

กลยุทธ์ : ระยะสั้นให้ระวังความผันผวนของ PTTGC, TOP ที่ถูกถอดออกจาก MSCI Global Standard Index กลยุทธ์ ระยะสั้นเลี่ยงลงทุนหุ้นที่ถูกถอดออกจากดัชนี

 

• KCE (Buy, TP25F-27.5): KCE reported disappointed core earnings in 4Q24 at only Bt201m (-58% yoy, -48% qoq), 48% lower than our expectation. This was due to lower-than-expected revenue and GPM. 2024's core earnings stood at Bt1.6b (+4%), 5% lower than our expectation. Our earnings forecast of 2025 of Bt1.8b (+10%) has downside risk, waiting for more information from the analyst meeting today. We suggest investors avoid KCE during the short term.

• AU (Buy, TP25F-12.5): We maintain a BUY rating for AU with a target price of Bt12.50, supported by: (i) AU reporting an in-line net profit for 4Q24 with strong yoy growth, and (ii) our earnings forecast of Bt351m (+19% yoy), driven by solid brand positioning, positive SSSG from new menu introductions, and continued channel expansion. Currently, AU is trading at just 20x FY25F PER, which is -1SD below its historical average multiple.

• MEGA (Buy, TP25F-37): In 4Q24, MEGA reported net profit of THB639m (+35% yoy, 67% qoq) which was 7% better than Bloomberg consensus. Stripping out the non-core items (FX and loss from new business), the core profit was THB642m (+3% yoy and +18%yoy), underpinned by 13.3ppt yoy gross margin expansion. Despite this, sales declined by 12% yoy, caused by the 33% yoy decline in the distribution business (44% revenue contribution) although the branded business sales could still grow 7% yoy. We maintain BUY, TP THB37 and will review our assumptions again after the analyst meeting on 25 February 2025.

• MOSHI (Buy, TP25F-54): มอง Slighyly positive ต่อกำไร 4Q24 206 ลบ. (+36% y-y, +90% q-q) สูงกว่าเราและตลาดคาด 8%/6% ตามลำดับ จากทั้งรายได้และ Gross margin ดีกว่าคาด ด้าน SSSG +15% y-y จากการปรับ Display, เพิ่มสินค้า สำหรับปี 2025-26F เราปรับลดกำไรลงเฉลี่ย 2% จากปรับสมมติฐานลด SSSG ลงจาก 4% เหลือ 3% จากฐานปีก่อนสูงส่วนหนึ่งจาก Collection NCT แต่ปรับเพิ่มสาขาใหม่ขึ้นเป็น 35 แห่ง โดยรวมกำไรปี 25F คาดยังเติบโต 18% และเฉลี่ย 3 ปี CAGR 18% ภาพรวมระยะยาวยังชอบจากเป็นบริษัทในกลุ่มที่เห็นการเติบโตชัด, ปรับตัวไว และการแข่งขันยังจำกัด แนะนำ "Buy" จาก TP25F ใหม่ 54 บาท (เดิม 64 บาท) อิง DCF

 

 

 

2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility

Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE

Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้