"Declining Yield Play"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "Up" ต้าน 1270/1280 จุด รับ 1253/1245 จุด ประเมินทิศทางตลาดวันนี้เป็นบวก 1.) คาดตลาดน่าจะเริ่มจับตาแนวโน้มการพิจารณาดอกเบี้ย BOT เราประเมินมีโอกาสปรับลดมากขึ้นหลัง GDP ต่ำกว่าคาด เริ่มเห็นทิศทางนโยบายคุณ Trump ที่ไม่หว่านแหเหมือน Trump 1.0 2.) ราคาน้ำมันขึ้นเฉลี่ย +1% หลังยูเครนใช้โดรนโจมตีท่อส่งน้ำมันรัสเซีย ผสาน การที่สหรัฐฯข้ามไปเจรจารัสเซีย โดยไม่ผ่านยุโรป น่าจะทำให้ข้อสรุปการยุติสงครามมีแนวโน้มซับซ้อนขึ้น คาดหนุนหุ้นพลังงานต้นน้ำที่มีสัดส่วน 10% ของ SET 3.) SET วานนี้ ถ้าไม่รวม DELTA ที่ลงต่อเนื่อง SET ขึ้นราว +10 จุด ขณะที่อิงเครื่องมือ Bloomberg พบว่ามี Sector ที่นำตลาด+เริ่มฟื้นตัวขึ้นทั้งหมดมากถึง 21 จาก 26 กลุ่ม 4.) หุ้นขนาดกลาง-ใหญ่วานนี้ ในส่วน CPAXT, MTC รายงานกำไรดีกว่าคาด และ Outlook ดีต่อ ประเมิน SET วันนี้แกว่งขึ้น คาดหุ้นพลังงานต้นน้ำดีดตัว ส่วนหุ้นนำ เน้นกลุ่มดอกเบี้ยขาลงหนุนโดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่โซนฐาน (อสังหา (+กระแสผ่อนคลายมาตรการ LTV คาดมีเก็งกำไรอย่างน้อยถึงช่วงประชุม BOT สัปดาห์หน้า), เช่าซื้อ, ค้าปลีก, High Yield) วันนี้แนะนำ ADVANC, MTC, SIRI
Daily outlook: "Up" ต้าน 1270/1280 จุด รับ 1245/1236 จุด
What happened around the world?
(*) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐ กลับมาเปิดซื้อขาย หลังจากปิดทำการเมื่อวันก่อน ดัชนี Dow jones +0.02%d-d ดัชนี Nasdaq +0.07%d-d S&P500 +0.25% โดยดัชนี S&P 500 Sector ที่ปรับขึ้นหลักๆ คือ Energy, Materials, Utilities ฯลฯ กลุ่มที่ Underperform คือ ICT, Consumer discretionary, Health care หุ้นที่เคลื่อนไหวเด่นคือ Super Micro Computer +16.47%, Intel +16%, NVIDIA +0.4% หลังจากสื่อรายงานว่า TSMC ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในโลก กำลังพิจารณาเข้าถือหุ้นในโรงงานต่าง ๆ ของอินเทล ตามคำร้องขอของเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ ฯลฯ
(*)Fed Speaks : 1.) Mary Daly ประธาน Fed สาขา Sanfrancisco ให้ความเห็น โทน Neutral "1.)
เงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงในระยะถัดไป ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจของนโยบายของทรัมป์ขึ้นอยู่กับรายละเอียดนโยบายต่าง อาทิ Tariff ที่ยังไม่ทราบละเอียด ทำให้มีความไม่แน่นอนในการกําหนดนโยบายการเงินควรรอบคอบ" 2.) คุณ Michael Bar (Fed Vice Chair) ให้ความเห็น ประเด็นการพัฒนาที่รวดเร็วของ AI ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ
(*) Australia Central Bank Meeting : ผลประชุมธนาคารกลางออสเตรเลีย(RBA) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25%สู่ระดับ 4.10% เป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี แต่มีการส่งสัญญาณถึงการใช้ความระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป KSS ประเมินหนุนความเชื่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยในฝั่งเอเซียและอาเซียน ยังเป็นทิศทางขาลง ยกเว้นญี่ปุ่นที่เป็นขาขึ้น รวมถึงไทย คาดการประชุม กนง. ในวันพุธที่ 26 ก.พ.2025 Krungsri Research คาดมีโอกาสที่จะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยราว 25 bps อยู่ที่ 2.0% มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อ SET Index และบวกต่อหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยลง อาทิ กลุ่มการเงิน MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF, GPSC
(*) China Monitor : ติดตามรายงานตัวเลขจีน คือ ราคาบ้าน (House Price) เดือน ม.ค. ติดลบน้อยลงติดต่อกัน 3 เดือน Prev. -5.3% หากออกมาดี ประเมินมองมีโอกาสเป็นจิตวิทยาบวกต่อตลาดหุ้นฝั่งเอเซีย และบวกต่อหุ้น China play อาทิ SCGP, IVL, AAV, BA และ DR หุ้นจีน อาทิ BABA80, TENCENT80
(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 19 ก.พ. ยอดบ้านเริ่มสร้าง ม.ค. 25 ตลาดคาด 1.39 ล้านหลัง -7.0%m-m 21 ก.พ. ยอดขายบ้านมือ 2 ตลาดคาด 4.1 ล้านหลัง -3.3%m-m 21 ก.พ. ติดตาม Flash PMI ภาคผลิตและบริการ ก.พ. 25 ไม่มีคาด vs prev. 51.2 และ 52.9 จุด 20 ก.พ. รายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ รอบ ม.ค. 25 ฝั่งยุโรป 21 ก.พ. ติดตาม Flash PMI ภาคผลิตและบริการ ก.พ. 25 ไม่มีคาด vs prev. 46.6 และ 51.3 จุด ฝั่งญี่ปุ่น 21 ก.พ. ติดตามเงินเฟ้อ CPI ก.พ. 25 ตลาดคาด 4%y-y vs prev. 3.6%
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ ปรับลง อายุ 2 ปี ปรับขึ้น +4 bps อยู่ที่ 4.30% และอายุ 10 ปี ปรับขึ้น +7 bps อยู่ที่ 4.55% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ระยะสั้นมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร SCB, BBL, KBANK กลุ่มประกันชีวิต อาทิ BLA, TLI ส่วน Dollar Index rebound แข็งค่าขึ้นมาที่ 106.9 จุด
(*/+)Oil : ราคาน้ำมันดิบ Brent +0.78%d-d ปิดที่ USD 75.81/barrel น้ำมันดิบ West Texas +1.57%d-d ปิดที่ USD 71.85/barrel แรงหนุนจากคาดการณ์ฝั่ง Supply Shortage ล่าสุด มีเหตุการโจมตีด้วยโดรนของยูเครนโจมตีแหล่งท่อขนส่งน้ำมัน ของคาซัคสถาน ประเมินระยะสั้นเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นพังงานต้นน้ำ อาทิ กลุ่มน้ำมัน PTT, PTTEP
What happened in Thailand?
(*/+) SET Index : SET Index วันทำการล่าสุด ปิดตลาด +1.0 จุด +0.08% ปิดที่ระดับ 1,257.48 จุด ไม่รวม DELTA ที่มีผลต่อตลาดหุ้นวันนี้ -8.7 จุด มูลค่าการซื้อขายที่ 4.73 หมื่นล้านบาท กลุ่มที่ปรับลงกดดัชนีคือ กลุ่มชิ้นส่วน DELTA ยังเผชิญแรงขายต่อเนื่องจากกำไร 4Q24F ที่น่าผิดหวัง และ Outlook ที่บริษัทให้หลังประชุมยังมีประเด็นที่ตลาดกังวล กลุ่ม ICT (ADVANC TRUE) ตลาดเริ่มกังวลภาพ Upside จากการประมูลคลื่น หลัง ADVANC เริ่มส่งสัญญาณอาจไม่ยอมให้คู่แข่งประมูลได้คลื่นเดิมกลับมาในราคาต่ำเกินไป ซึ่งอาจส่งผลศักยภาพการแข่งขันระหว่างกัน กลุ่มหนุน คือ ธนาคาร (SCB, KBANK, KTB, BAY) คาดตลาดเก็งกำไรก่อนประกาศจ่ายเงินปันผลประจำงวด 2H24 และจิตวิทยาบวก Fund Flows ต่างชาติซื้อหุ้นไทยเร่งวันก่อนหน้า กลุ่มค้าปลีก (CPAXT, CPALL) เป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม Deep Value ผสาน ระยะสั้นมีแรงหนุนคาดการณ์กำไร 4Q24F ขยายตัวดี y-y, q-q
(*/+) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุด เงินไหลเข้า ขายหุ้น -0.1 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร+24.6 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long +885 สัญญา เงินบาทแข็งค่าเล็กๆสู่ที่ราว 33.65+/- บาท
(*/+) Summer Plays: กระแสการเก็งกำไรในหุ้นธีม "หน้าร้อน" กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยาเผยว่าในปีนี้ จะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนในไทยสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน ก.พ. 25 - กลางเดือน พ.ค. 25 ภายใต้คาดการณ์กรมอุตุนิยมวิทยาปี 2025F คาดอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบน 35 – 36 องศาเซลเซียส แม้จะต่ำกว่าฤดูร้อนปี 2024 อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 37.5 องศาเซลเซียส แต่ยังใกล้เคียงค่าเฉลี่ยฤดูร้อนปกติที่ 35.4 องศาเซลเซียส แต่จุดที่น่าสนใจคือ ราคาหุ้นหลายตัวมี Deep Discounts จากภาวะตลาดที่ผันผวน สร้างโอกาสระยะยาวด้วยอีกทางหนึ่ง ทีมกลยุทธ์คาด KSS อากาศที่ร้อนสูงขึ้น จะหนุน
1.) การบริโภคเครื่องดื่มที่มีความคึกคักขึ้น
2.) ประชาชนจะมีความต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งพัดลม, แอร์ เพื่อบรรเทาผลกระทบอากาศร้อน
3.) การทำงานก่อสร้างจะเร่งส่งมอบได้มากกว่าช่วงหน้าฝน
4.) การท่องเที่ยวทะเลที่เป็นจุดเด่นของไทยมักคึกคัก
ภาพรวมดังกล่าวที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มักหนุนกระแสหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์อาทิ กลุ่ม มีภาพถูกเก็งกำไรในช่วงฤดูร้อน อาทิ กลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มค้าปลีกที่เน้นขายเครื่องใช้ไฟฟ้าบรรเทาอากาศร้อน กลุ่มรับเหมา และกลุ่มโรงแรม อิงผลการศึกษาผลตอบแทนย้อนหลัง 9 ปี (ไม่รวมปีที่เผชิญ Covid ในปี 2020 ที่ผลตอบแทนรายกลุ่มกระทบความเสี่ยงตลาด) ช่วงเวลาที่ดีสุดในการลงทุน คือ การลงทุนในช่วงเข้าสู่ฤดูร้อน และขายทำกำไรหลังจากนั้น 1 เดือน โดยช่วงปัจจุบัน คือ ควรเริ่มสะสมหุ้นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของ ก.พ. 25 และขายทำกำไรช่วงปลาย มี.ค. 25 - ต้น เม.ย. 25 โดยกลุ่มโรงแรม (ความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 87.5% ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.7%) ตามด้วยกลุ่มรับเหมา (62.5%, 1.6%) กลุ่มค้าปลีก (50%, 1.2%) สูงกว่า SET (50%, 1.1%) ขณะที่ภาพรายบริษัท คือ CRC(100%, 5.3%) ICHI (87.5%, 3.7%) SAPPE (75%, 7.2%) CENTEL (75%, 4.4%) MINT (62.5%, 3.3%) GLOBAL (62.5%, 2.3%) HMPRO (50%, 4.9%) DOHOME (50%, 2.3%)
ในเชิงกลยุทธ์ Summer Plays ปี 2025F KSS แนะนำลงทุนเน้นไปที่กลุ่มที่มีหุ้นอยู่ในโซนฐาน Valuation ไม่แพง ได้แก่ CRC(TP Con-40.6) ICHI (TP25F-17) SAPPE (TP25F-70) CENTEL (TP25F-40) MINT(TP25F-38) HMPRO (TP25F-13.5) และหุ้น Turn around ที่คาดได้ประโยชน์จากหน้าร้อน คือ หุ้นเครื่องดื่ม คือ MALEE(TP25F – 17.7)
(*/+) Sector Momentum: ทีมกลยุทธ์ KSS ตรวจสอบ Momentum การเปลี่ยนแปลงด้านราคารายสัปดาห์(Weekly) ของหุ้นในกลุ่มต่างๆ ตั้งแต่ต้นปี 2025 ถึงปัจจุบัน พบว่า หุ้นไทยส่วนใหญ่กำลังสร้างสัญญาณฟื้นตัว(Improving) หลายกลุ่มฯ มีเพียงกลุ่มเดียวที่ส่งสัญญาณอ่อนแรงถ่วงตลาดคือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ สะท้อนสัญญาณเบื้องต้นต่อการกระจายของเม็ดเงินไปยังกลุ่มต่างๆ ที่จะค่อยๆทำให้โครงสร้างของ SET Index มีภาพการฟื้นตัวที่กระจายตัวดีขึ้น
(++) กลุ่มที่นำตลาด (Leading Sectors) : BANK*, INSURE, ICT*, MEDIA, PREIT, FASHION, MINE
(+) กลุ่มที่กำลังเห็นโมเมนตัมฟื้นตัวและมีโอกาสเป็นกลุ่มนำตลาด Improving : HEALTH*, HOTEL*, FINANCE*, PKG, AGRI, FOOD, AUTO, CONSTRUCTION, ENERGY, IMM, PAPER, PERSON, STEEL
(-) กลุ่มที่ยังซึมและไม่เห็นสัญญาณโมเมนตัม (Lagging) : COMMERCE*, CONMAT, PETRO, PROP, TRANS
(- -) กลุ่มที่อ่อนแอกว่าตลาด (Weaking): ETRON
กลยุทธ์ : คงคำแนะนำทยอยสะสมหุ้น 7 Deep Value Stocks : CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO เพื่อการลงทุนระยะยาว
(*/+) Property: ข่าวช่วงวานนี้ในส่วน ทั้งในส่วน 1.) นายกฯ ทวีตผ่าน Twitter ขอให้ BOT พิจารณาการลดดอกเบี้ย ทำให้เราคาดตลาดน่าจะเริ่มจับตาแนวโน้มการพิจารณาดอกเบี้ย BOT เราประเมินมีโอกาสปรับลดมากขึ้นหลัง GDP ต่ำกว่าคาด เริ่มเห็นทิศทางนโยบายคุณ Trump ที่ไม่หว่านแหเหมือน Trump 1.0 2.) BOT ซึ่งล่าสุดมีการพบผู้ประกอบการอสังหาฯ โดยสิ่งที่ผู้ประกอบการเรียกร้อง คือ การขอผ่อนคลายมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อ (LTV) สำหรับการซื้อบ้านสัญญาที่ 2-3 คาดมีโอกาสหนุนจิตวิทยาลงทุนหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ดีขึ้นระยะสั้นเชิงกลยุทธ์ เราแนะนำเก็งกำไรหุ้นที่มีความแข็งแกร่งในกลุ่ม อาทิ SIRI AP หรือกลุ่มได้ประโยชน์สูง SPALI
(*/-) TH Tourism: จำนวนนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10-16 ก.พ. อยู่ที่ 7.84 แสนคน -6.4%w-w แม้โดยรวมทำให้ YTD ถึง 16 ก.พ. นักท่องเที่ยวอยู่ที่ 5.58 ล้านคน หากตัดนักท่องเที่ยว ม.ค. 25 ออก พบว่านักท่องเที่ยว 1-16 ก.พ. อยู่ที่ 1.88 ล้านคน หรือราว 1.17 แสนคนต่อวัน ชะลอลงช่วงต้นเดือน ก..พ. ทำให้ต่ำกว่ายอดนักท่องเที่ยวต่อวัน Pre-COVID ก.พ. 19 ราว -8.6% ขณะที่เติบโตเพียง +1.6%y-y ระยะสั้นจิตวิทยาลบต่อหุ้นท่องเที่ยว กลยุทธ์ รอตั้งรับ เน้น MINT BA
(*) To monitor: สัปดาห์นี้ปัจจัยภายในติดตาม
1.) วันนี้ (18 ก.พ.) ติดตามการประชุม ครม. จับตากระแส ครม. เตรียมพิจารณามาตรการที่ช่วยลดผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐฯ เช่น การนำเข้าสินค้าสหรัฐฯเพิ่มชดเชย และรายงานนักท่องเที่ยวรายสัปดาห์
1.) รายงานกำไร Real Sector 19 ก.พ. SPRC, BBIK* 20 ก.พ. BCP, PTT, BCPG* 21 ก.พ. WHA (* = หุ้นที่คาดรายงานกำไรออกมาดี)
2.) 19 ก.พ. กระทรวงการคลังจะจัดงานคลังครบรอบ 150 ปี คาดว่าน่าจะมีการชี้แจงรายละเอียดการโยกกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ไปยังกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG2) ด้วย ส่วนความคืบหน้า LTF ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการด้านรายละเอียดอยู่
3.) 21-26 ก.พ. รายงานส่งออก - นำเข้า ม.ค. 25 ยังไม่มีคาด vs prev. +8.7%y-y, +14.9%y-y
Daily Strategy : ADVANC, MTC, SIRI
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Up" ประเมินตลาดวันนี้แกว่งตัวขึ้นได้ หลัง AOT และ DELTA ตอบรับข่าวร้ายเฉพาะตัวมาแล้วระดับหนึ่ง ขณะที่เชื่อว่าตลาดจะเริ่มให้น้ำหนักการประชุม BOT สัปดาห์หน้า ผสาน กระแสการกลับมาพิจารณาผ่อนคลายมาตรการ LTV และหุ้นใหญ่ที่อยู่ในธีมดังกล่าว อาทิ CPAXT MTC ล้วนรายงานกำไรดีกว่าคาด ประเมินหนุน 1.) หุ้น Domestic (ค้าปลีก, เช่าซื้อ และอสังหา) นอกจากนี้ จับตา 2.) กลุ่มพลังงานต้นน้ำ หนุนจากราคาน้ำมันดีดเฉลี่ย +1%หลังมีประเด็นฝั่งซัพพลาย และความเสี่ยงการยุติสงครามรัสเซีย ยูเครนที่อาจจะซับซ้อนขึ้น หลังสหรัฐฯข้ามหัวยุโรปไปเจรจากับรัสเซีย
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (BTS, VGI, BJC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
กลุ่ม Value ที่คาดมีโอกาสซื้อหุ้นคืน (PTT , SCB , KBANK , KTB , BBL , BCP)
7 หุ้นที่อยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO)
• FEB25 Best Picks: ADVANC, AMATA, BA, BTS, ERW, KBANK, TTB
• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง
1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"
2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก
3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก
4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ
เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว
Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
Strategist Comment: Deepseek
กระแสข่าว AI Application จากประเทศจีน "Deepseek" ที่ทำงานได้ใกล้เคียงผู้นำตลาด โดยไม่จำเป็นต้องใช้ชิปประมวลผลสูง ทำให้ต้นทุนพัฒนาต่ำกว่า
โดยรวมประเมินนำมาสู่โอกาสเห็นภาพ AI Adoption ทั่วโลกเร่งขึ้น แต่สร้างความเสี่ยงหุ้น Semiconductor โลกที่จำหน่ายชิปประมวลผลระดับสูงที่อาจมีผลกระทบต่อยอดขาย จึงน่าจะเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นใน 1.) กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไทย ให้เกิดภาพชะลอลงทุนระยะสั้น อย่างไรก็ตาม KSS ประเมินผลกระทบจำกัด เพราะบริษัทชิ้นส่วนไทยไม่ได้มีสินค้าหรือรายได้ชิปประมวลผลสูง อาทิ กรณี DELTA เน้นจำหน่าย Power Supply ส่วนอีกกลุ่มที่อาจจะเห็นการชะลอลงทุน คือ 2.) กลุ่มโรงไฟฟ้า อาจจะมีความกังวลการใช้ไฟฟ้าต่ำลงตามรูปแบบชิปประมวลผลสูงลดลง อย่างไรก็ตาม ภาพบวกที่ AI Adoption จะเพิ่มขึ้นหนุนความต้องการโรงไฟฟ้ารวมถึงอุปกรณ์ Power Supply ในท้ายที่สุดอยู่ดี กลยุทธ์รอตั้งรับเมื่อหุ้นอ่อนตัวรับความกังวล
ขณะที่กลุ่มคาดได้ประโยชน์จากกรณีดังกล่าว คือ กลุ่มที่ผู้ใช้งาน AI ที่มีทางเลือกมากขึ้น ต้นทุนลดลง คาดนำมาสู่ปริมาณการใช้ข้อมูลในโครงข่ายโทรคมนาคมเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด ในส่วนกลุ่มสื่อสาร เน้น ADVANC และกลุ่ม Digital Tech Consult ที่ปริมาณงานที่ปรึกษาดิจิตอลจะเพิ่มขึ้นตาม AI Adoption เน้น BE8, BBIK
Strategy Update: MSCI Rebalance
MSCI ประกาศรายชื่อหุ้นที่ใช้ในดัชนีรอบใหม่แล้ว ซึ่งจะปรับน้ำหนักราคาปิด 28 กพ 2025 มีประเด็นสำคัญของไทยดังนี้
MSCI Thailand ถูกลดน้ำหนักจาก 1.3% เหลือ 1.28% คิดเป็น Net Outflows ราวๆ -100ล้านเหรียญฯ
โดยดัชนี MSCI Global Standard Index หุ้นไทยเข้า/ออก ได้แก่
หุ้นเข้า : ไม่มี
หุ้นออก : PTTGC(-60ล้านเหรียญฯ), TOP(-50ล้านเหรียญฯ)
ส่วน MSCI Global Small cap Index หุ้นไทยเข้า/ออก ได้แก่
หุ้นเข้า 4 หุ้น : GPSC, PTTGC, SCGP, TOP
หุ้นออก 11 หุ้น : BSRC, TIPH, DCC, ERW, GFPT, KAMART, PSH, PSG, SAPPE, STECON, THG
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีผลที่ราคาปิดวันที่ 28 ก.พ. นี้
กลยุทธ์ : ระยะสั้นให้ระวังความผันผวนของ PTTGC, TOP ที่ถูกถอดออกจาก MSCI Global Standard Index กลยุทธ์ ระยะสั้นเลี่ยงลงทุนหุ้นที่ถูกถอดออกจากดัชนี
Strategy Update : Dividend Plays 2H24
ช่วงปลายเดือน ก.พ. - พ.ค. 2025 จะเข้าสู่เทศกาลจ่ายปันผลประจำปี 2024 ของบริษัทจดทะเบียน ทีมกลยุทธ์ KSS จึงได้รวบรวมหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง) จากคาดการณ์ของ KSS และ Consensus เพื่อนำมาคัดสรรหุ้นปันผลสูง (High Dividend) คือ Dividend Yield มากกว่า 3.5% สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะ 1 - 2 เดือนแรกของปี ใน "Theme Dividend Play"
Key Ideas : KSS มีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นปันผลในช่วงต้นปีเนื่องจาก
o KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นปันผล(SETHD) ย้อนหลัง 10 ปี พบว่า SETHD ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. ของทุกปี ผลตอบแทนมักเป็นบวก เดือน ม.ค. ผลตอบแทนบวก 6 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.7%, เดือน ก.พ. บวก 7 ใน 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +0.67%
o SETHD ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของทุกปี (งวด 1Q) ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.85%)
กลยุทธ์ : ในเชิงกลยุทธ์ KSS แนะนำซื้อหุ้นปันผลสูงก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD 2 สัปดาห์แล้วขายวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD (dividend capture) มักจะให้ผลตอบแทนที่ดี ทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการคัดกรองหุ้นปันผลเด่น ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ คือ
1.) เป็นหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผล ช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง)
2.) เป็นหุ้นพื้นฐานที่มีแนวโน้มการเติบโต/กระแสเงินสดมั่นคง /อยู่ใน Theme การลงทุนหลักของ KSS ปี 2025 อาทิ Theme เศรษฐกิจไทยปี 2025F เติบโต อาทิ กลุ่มธนาคาร หรือ อยู่ในอุตสาหกรรม Up Cycle อาทิ Sector ICT หรือ หุ้นที่อยู่ในกลุ่มได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มอสังหา กลุ่มการเงิน ฯลฯ โดยเรียงตามอัตราตอบแทนเงินปันผลจากสูงไปต่ำ
พบว่ามีหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลเด่น 9 บริษัท คือ
หุ้น Big Cap ได้แก่ SCB (TP Max Con 135.0, Yield 2H24F 8.6%), TTB (TP25-2.2,Yield 2H24F 7.2%) HMPRO (TP25-13.5,Yield 2H24F 4.3%) INTUCH (TP25-108,Yield 2H24F 4.2%), ADVANC (TP25-305, Yield 2H24F 3.7%),
หุ้น Mid Cap ได้แก่ AP (TP25-11.8., Yield 2H24F 7.65%), TISCO (TP25-97.0, Yield 2H24F 5.84%), SC (TP25-3.2, Yield 2H24F 5.52%), JMT (TP25-22.8, Yield 2H24F 2.3%),
หุ้นปันผลสูงครึ่งหลังปี 2024 ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, HMPRO,JMT AP, SC, TISCO
โดยทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการศึกษาสถิติหุ้นปันผลเด่น 9 บริษัทดังกล่าวข้างต้น ย้อนหลัง 8 ปี พบว่าหากลงทุนซื้อหุ้นก่อน 2 สัปดาห์และขายวันที่ขึ้น XD พบว่า ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ Return มากที่สุด คือ JMT +5.36%, TTB +4.16%, ADVANC +3.05%, ส่วน SCB, HMPRO, INTUCH, AP, SC, TISCO ผลตอบแทน (Capital Gain) เฉลี่ยอยู่ราว 1% เท่ากับว่า การลงทุนหุ้นกลุ่ม High Dividend ในช่วงเวลาดังกล่าว หลาย ๆ ครั้งนักลงทุนจะมักจะได้รับเงินปันผลฟรี
• CPAXT(Neutral, TP25F-30): CPAXT's 4Q24 core profit was THB3.9b (+14% yoy and +82% qoq) higher than Bloomberg consensus by 2% and ours by 6%. The good results were driven by: 1) the 2.5% SSSG and 2) 0.7ppt yoy gross margin expansion (to 14.7%) underpinned by the improvement in fresh food selection both in Thailand and abroad. There was also a one-time expense of THB55m, relating to the amalgamation in 4Q24, which if included, would make net profit grow 17% yoy to THB3.84b.
• OKJ(Buy, TP25F-12): We maintain our view of OKJ as a growth stock in the restaurant sector, with projected earnings growth of +33% yoy in 2025F and a 17% annual growth rate (2-year CAGR from 2025-2027F), driven by the branch expansion of the Ohkajhu and Oh!Juice brands, despite our conservative assumption for SSSG. OKJ's share price has declined following disappointing 4Q24 results and is currently trading at just 22x PER, with a PEG of only 0.6x. We expect net profit to improve yoy and qoq in 1Q25F, and earnings growth anticipated in 2025F, we believe the current share price already reflects the past disappointment. We maintain our BUY rating, with a new target price of Bt12.
• MTC(Buy, TP25F-58): เราคงคำแนะนำ BUY ที่ TP25F 58 บ. และคงเป็น Top Pick ของกลุ่ม Consumer Finance เพราะ i) มีการพัฒนาการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ในเชิงบวกตั้งแต่ 3Q23 และการตามเก็บหนี้ยังมีแนวโน้มที่ดีต่อใน 2025F ii) ผลประกอบการ 2025F ทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง สำหรับกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 1,543 ลบ. กำไรเพิ่มขึ้น +14% y-y และ +4% q-q ผลักดันหลักจาก i) การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อรวม +3%q-q หรือคิดเป็น +15% YTD จากกลุ่มสินเชื่อที่มีหลักประกันเป็นหลัก และการขยายสาขา ii) การลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) จากการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ดีขึ้น NPL Ratio ที่ 2.75% ลดลงต่อจาก 2.82% ใน 3Q24
• BBL(Neutral, TP25F-160): เรามีมุมมอง slightly positive ต่อการประชุมนักวิเคราะห์ เพราะเราคาดว่ามีโอกาสเห็น BBL เพิ่ม dividend payout ratio ในการจ่ายปันผลปี 2024 ซึ่งจะประกาศปลายเดือน กุมภาพันธ์ 2025 จากปี 2023 ที่ 32% ทั้งนี้เราคงคำแนะนำ NEUTRAL ที่ TP25F 160 บ. เพราะ i) เราคาดว่าการเพิ่ม dividend payout ratio ของ BBL จะเพิ่มในกรอบไม่เกิน 5% ii) แม้ว่า BBL มีความเพียงพอของสำรองต่อพอร์ตสูงสุดในกลุ่มธนาคาร จาก Coverage Ratio อยู่ที่ราว 300% แต่กำไรสุทธิปี 2025F คาดที่ 4.57 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้นเพียง +1% y-y ต่ำกว่ากลุ่มที่ +4% y-y
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI