Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

294

 

ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook

แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ
อัปเดต Sentiment การลงทุนในภูมิภาคจาก Fund Flow
Key Takeaways:

กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกจากภูมิภาคมากขึ้น โดยมียอดขายสุทธิมูลค่า 1,507 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นจาก 1,115 ล้านเหรียญ ในสัปดาห์ก่อนหน้า โดยไต้หวันเป็นตลาดที่เผชิญแรงขายหนักที่สุด


เซคเตอร์เด่นของภูมิภาคในสัปดาห์ที่แล้วจากการจับสัญญาณด้วย Volume Index ได้แก่ Technology ในอินโดนีเซีย และ Distribution ในเกาหลีใต้
รายละเอียด:
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กระแสเงินลงทุน (fund flows) ใน 5 ประเทศสำคัญยังคงอยู่ในทิศทางไหลออก โดยมียอดขายสุทธิรวม 1,507 ล้านเหรียญสหรัฐ เร่งตัวขึ้นจากระดับ 1,115 ล้านเหรียญ ในสัปดาห์ก่อนหน้า โดยมีเงินทุนไหลออกทุกประเทศ ได้แก่ ไต้หวัน (-1,094 ล้านเหรียญ), เกาหลีใต้ (-154 ล้านเหรียญ) อินโดนีเซีย (-184 ล้านเหรียญ) ไทย (-33 ล้านเหรียญ) และ ฟิลิปปินส์ (-43 ล้านเหรียญ)

แรงขายต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาส่งผลให้ นับตั้งแต่ต้นปี 2025 ยอดขายสุทธิรวมใน 5 ประเทศแตะ 6,187 ล้านเหรียญ โดย ไต้หวัน เป็นตลาดที่เผชิญแรงขายมากที่สุด (-3,942 ล้านเหรียญ) ตามมาด้วย เกาหลีใต้ (-1,205 ล้านเหรียญ) และ อินโดนีเซีย (-612 ล้านเหรียญ)
สำหรับเซคเตอร์เด่นของภูมิภาคจากการจับสัญญาณด้วย Volume Index ได้แก่ Technology ในอินโดนีเซีย และ Distribution ในเกาหลีใต้ ส่วนเซคเตอร์ที่เผชิญกับแรงกดดันหนัก ได้แก่ Semiconductor ในไต้หวัน


แนวโน้ม:
เซคเตอร์ไทยที่น่าจับตาในระยะสั้น (เฉพาะที่ cover ในรายงาน Flow Tracker) ได้แก่ กลุ่ม ICT และ Energy & Utilities (เน้น Utilities) โดย Volume Index มีแนวโน้มฟื้นตัวจากโซนใกล้ midpoint และ lower bound ตามลำดับ

อัปเดต Market-timing Indicator (เฉพาะตลาดหุ้นไทย):
ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับแรงขาย จนทำดัชนี SET หลุดแนวรับสำคัญทางจิตวิทยาที่ 1280 จุด เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสรีบาวด์ในระยะสั้นจากภาวะ oversold แต่อาจไม่ยั่งยืน เนื่องจาก market-timing indicators กำลังส่งสัญญาณดังนี้:


ดัชนี Composite Short-term ซึ่งเป็นตัวชี้วัดแนวโน้มระยะสั้น แม้จะปรับตัวลงเข้าใกล้ภาวะ oversold แล้ว แต่แรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นของ Overnight Volatility ของ SET ซึ่งอยู่เหนือค่าเฉลี่ยระยะยาว อาจจำกัดช่วงเวลาในการฟื้นตัว (mean reversion) ให้เกิดขึ้นเพียงระยะสั้น ก่อนที่ดัชนีจะกลับมาอ่อนตัวลงอีกครั้ง หลังสิ้นสุดการฟื้นตัวทางเทคนิค (technical rebound)


นอกจากนี้ ดัชนี Composite Medium-term ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญในระยะกลาง เช่น Medium-term Momentum Index, Medium-term Bull-to-Bear และ Volume Flow Index ต่างปรับตัวลดลง สะท้อนถึงแนวโน้มที่อ่อนแอในภาพรวม ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยอาจเผชิญกับความผันผวนต่อไปในระยะสั้น เราประเมินกรอบดัชนี SET ในช่วงสองสัปดาห์ข้างหน้าไว้ที่ 1210-1300 จุด


สรุปภาพตลาดวานนี้
ตลาดหุ้นไทยโดนกระหน่ำจากคู่ขาใหญ่ ทั้ง DELTA และ AOT ที่เจอประเด็นลบพร้อมๆ กัน กด SET เมื่อวานเปิดลบไปกว่า 35 จุด ก่อนรีบาวน์เล็กๆ ระหว่างวัน (เอาคืนได้แค่ 1 ใน 3) จากหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่เป็นแหล่งรองรับการซับเม็ดเงินออกจากหุ้นคู่นี้ โดยเฉพาะบลูชิป เช่น BDMS BH CPAXT CPF CPN และธนาคาร

แนวโน้มตลาดวันนี้
เมื่อหุ้นใหญ่แตกแบงก์พัน
มาถึงคราวหุ้นใหญ่อย่าง DELTA ที่ลงแรงรับงบไตรมาส 4/24 ต่ำกว่าคาด เราคาดว่าเม็ดเงินที่แตกออกมาจากการขาย DELTA บางส่วนน่าจะกระจายไปในหุ้นบูลชิพตัวอื่นๆ ที่ราคาลงมาแรงให้ส่วนลดก่อนหน้านี้ เช่น BH GPSC MTC SAWAD CPN เป็นต้น
แม้ว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ที่สภาพัฒน์เพิ่งรายงานจะขยายตัว 3.2% ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 3.7-4% แต่ดูแล้วเหมือนจะไม่มีผลต่อราคาหุ้นหลายตัวที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งเหมือนตลาดจะรู้ตัวและขายลงมาคอยก่อนแล้ว ที่เหลือคืองบการเงินของแต่ละบริษัทฯ ว่าจะมีเหตุการณ์แบบ AOT DELTA อีกหรือไม่ถ้าไม่มีเราคิดว่าน่าจะสะท้อนปัจจัยลบจากเศรษฐกิจมหภาคไปค่อนข้างมากแล้ว
ดังนั้นเมื่อหมดเรื่องกดดันจากต่างประเทศ เช่น ภาษีที่อมเริกาจะเก็บนานาชาติต้องรอ 1 เมย. และปัจจัยมหภาคเมื่อได้สะท้อนไปแล้ว เราคิดว่าหุ้นไทยน่าจะเห็นการฟื้นตัวของราคาหุ้นบูลชิพใหญ่ที่ราคาลงแรงให้ส่วนลดเยอะไปก่อนหน้านี้...

กลยุทธ์การลงทุน
เลือกสะสมหุ้นรายตัว (Hold ระยะยาวหน่อย) จากเกณฑ์
1) ราคาหุ้นทรงตัวได้ดี Outperform ในเชิงเทคนิคคอล ไม่ Overbought
2) ความถูกของราคาหุ้นเมื่อเทียบมูลค่าทางบัญชี (PBV) และเทียบกับ Bands
3) แนวโน้มผลการดำเนินงานระยะสั้น ดูแล้วไม่น่าจะสร้างความผิดหวัง
4) โอกาสที่กำไรระยะสั้นจะดีกว่าที่คิด เพราะมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว เช่น มาตรการช้อปช่วยชาติ แจกเงินหมื่น ในช่วงไตรมาสแรก หนุนกำไรโตต่อเนื่อง 4Q24-1Q25
5) มีปันผลระหว่างกาล

วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET month หลุด low หลุดเส้น EMA 200 เดือน ขณะที่ RSI เข้าใกล้เขต oversold เกิดขึ้นไม่บ่อย (เคยเกิดขึ้นเมื่อปี Subprime 2008 & Covid 2020) นอกจากนี้ภาพ daily & weekly เคลื่อนที่ลงมาสู่ภาวะขายมากเกินไป...เต็มตัว! อาจมีโอกาสลุ้นเด้งสั้นๆ แต่โครงสร้างระยะกลาง-ยาว อาจต้องรอให้ดัชนีสร้างฐานให้ได้เสียก่อน โดยประเมิน downside risk ไว้ที่โซนรับ 1,250 จุด และ 1,200 จุดตามลำดับ ในส่วนของการเลือกหุ้น selective buy เน้นโครงสร้างแกร่งหรืออาจเป็นหุ้นผ่านการร่วงลงมาแล้วและเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว เช่น BDMS, BCP และ MTC
Note: AOT ร่วงลงสู่โซนรับที่ให้ไว้ แต่ยังไม่นิ่ง ขณะที่ DELTA มีแนวโน้มเปลี่ยนเป็นขาลง! จุดสังเกต….แรงขายหุ้นใหญ่ทั้ง 2 ตัวเริ่มกระจายไปสู่หุ้นใหญ่ตัวอื่นๆ แทนที่

 

 

What to watch
รมว.คลัง เปิดเผยว่า ในช่วงปลายเดือนก.พ. นี้ หรืออย่างช้าในช่วงต้นเดือนมี.ค.นี้ จะนัดประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อพิจารณาโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เฟส 3 สำหรับบุคคลทั่วไปที่ได้ลงทะเบียนแล้ว
MSCI Rebalance: หุ้นออกจาก Standard index: PTTGC TOP หุ้นเข้า MSCI Small Cap: GPSC SCGP PTTGC TOP และหุ้นออกจาก Small Cap: BSRC DCC ERW GFPT KAMART PSG PSH SAPPE STECON THG TIPH
ก.ล.ต. ลงโทษ "บล.เมย์แบงก์" ขายหุ้นไม่มีครอบครอง-ผิดกฎหุ้นกู้ ปรับ 4.86 ล้านบาท
สภาพัฒน์ เผย GDP ไตรมาส 4/67 โต 3.2% จากตลาดคาดโต 3.7-4.0%
โกลด์แมนแซคส์ปรับเพิ่มเป้าหมายตลาดหุ้นจีน หลังกระแสตอบรับ AI คึกคักโดยคาดการณ์ว่าการที่บริษัทจีนนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้อาจช่วยเพิ่มการเติบโตของรายได้ และอาจช่วยดึงดูดเม็ดเงินไหลเข้าสู่ตลาดได้มากถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ได้กล่าวสุนทรพจน์ในระหว่างการประชุมร่วมกับบรรดาผู้บริหารของบริษัทชั้นนำของจีนในวันจันทร์ (17 ก.พ.) โดยปธน.สีกล่าวว่ารัฐบาลจะส่งเสริมการพัฒนาภาคเอกชนของจีนให้มีคุณภาพสูงและสามารถแข่งขันอย่างเป็นธรรม
บรรดาตัวแทนจากบริษัทเอกชนจาก Alibaba Group Holding Xiaomi Meituan Unitree Huawei Technologies โดยผู้บริหารเหล่านี้ถือเป็นบุคคลสำคัญที่จะช่วยให้จีนบรรลุเป้าหมายลดการพึ่งพาเทคโนโลยีของสหรัฐฯ
นายอัสสเดช กล่าวว่า ตลท. ได้มีมาตรการกระตุ้นตลาดทุนระยะสั้นการรื้อฟื้นกองทุน LTF ซึ่งจะศึกษาและนำเสนอแนวทางการย้ายกองมายัง TESG เพื่อสนับสนุน Trust & Confidence รวมทั้งสนับสนุนการลงทุนใน ESG ช่วยสร้างเสถียรภาพตลาดในยามผันผวน อย่างไรก็สิทธิจูงใจ และสิทธิประโยชน์ทางภาษียังไม่มีความชัดเจนไม่ประเด็นดังกล่าว เนื่องจากเป็นประเด็นที่ต้องคำนึงถึงและวางแผนด้านนี้อยู่

หุ้นแนะนำวันนี้
BGRIM เมื่อสัญญา PPA Adder ยกเลิกไม่ได้เพราะผิด กม. ดังนั้นแนวทางในการลดค่าไฟ จึงเหลือความน่าจะเป็นคือ การปรับโครงสร้างค่าก๊าซมาอิงกับอ่าวไทยที่ผลิตในประเทศเพิ่ม มาแทนการนำเข้า ส่งผลให้ต้นทุนค่าก๊าซถูกลงอย่างมีนัยยะ (แนวรับ 12.6 ต้าน 14.5 ตัดขาดทุน 12.5)

Tactical port เพิ่ม BCP BGRIM BCH

 


รายงานพื้นฐานวันนี้

Quantitative Strategy
ดัชนี Market-timing ที่แย่ลง เป็นสัญญาณว่าตลาดจะยังผันผวนต่อไป
ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับแรงขาย จนทำดัชนี SET หลุดแนวรับสำคัญทางจิตวิทยาที่ 1280 จุด เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสรีบาวด์ในระยะสั้นจากภาวะ oversold แต่อาจไม่ยั่งยืน เนื่องจาก market-timing indicators กำลังส่งสัญญาณดังนี้ 1) ดัชนี Composite Short-term ซึ่งเป็นตัวชี้วัดแนวโน้มระยะสั้น แม้จะปรับตัวลงเข้าใกล้ภาวะ oversold แล้ว แต่แรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นของ Overnight Volatility ของ SET ซึ่งอยู่เหนือค่าเฉลี่ยระยะยาว อาจจำกัดช่วงเวลาในการ ฟื้นตัว (mean reversion) ให้เกิดขึ้นเพียงระยะสั้น ก่อนที่ดัชนีจะกลับมาอ่อนตัวลงอีกครั้ง หลังสิ้นสุดการฟื้นตัวทางเทคนิค (technical rebound) 2) นอกจากนี้ ดัชนี Composite Medium-term ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญในระยะกลาง เช่น Medium-term Momentum Index, Medium-term Bull-to-Bear และ Volume Flow Index ต่างปรับตัวลดลง สะท้อนถึงแนวโน้มที่อ่อนแอในภาพรวม ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยอาจเผชิญกับความผันผวนต่อไปในระยะสั้น เราประเมินกรอบดัชนี SET ในช่วงสองสัปดาห์ข้างหน้าไว้ที่ 1210-1300 จุด

Econ
GDP ไตรมาส4 และทั้งปี 2024 ต่ำกว่าตลาดคาด
GDP ใน 4Q24 ขยายตัวเพียง 3.2% YoY (0.4% QoQ) ขยายตัวต่ำกว่าตลาดคาดที่ 3.8% YoY (Bloomberg Consensus) และทั้งปีขยายตัวได้ 2.5% YoY น้อยกว่าที่ BLS คาดเล็กน้อยที่ 2.6%

แม้มีปัจจัยหนุนจากการลงทุนจากภาครัฐ +39.4% YoY โดยเฉพาะการลงทุนก่อสร้างจากทางภาครัฐ ดันการลงทุนรวม +5.1% YoY และการส่งออกสินค้า (ในรูปเงินบาท) ขยายตัวได้ +8.9% YoY แต่ก็พบว่าปัจจัยกดดันมาจากการบริโภคภาคเอกชน แม้จะ +3.4% แต่ขยายตัวต่ำกว่าที่คาด จึงเป็นไปได้ว่าโครงการแจกเงินหมื่นของรัฐบาลกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศได้ต่ำกว่าที่คาดไว้ ซึ่งสาเหตุหลัก มาจากหนี้ครัวเรือนไทยที่ยังอยู่ในระดับสูง และด้านลบการลงทุนจากภาคเอกชนหดตัว -2.1% YoY ซึ่งเป็นการหดตัวไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์

สำหรับ GDP ไทยปี 2025 เรายังมองว่าน่าจะขยายตัวในทิศทางชะลอลงจากปี 2024 โดยขยายตัวราว 2.4% YoY (กรณีฐาน) ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก ปัจจัยหนี้ครัวเรือนที่ยังกดดันกำลังซื้อ รวมถึงการไหลทะลักเข้ามาของสินค้าราคาถูกจากจีน ทำให้ภาพการลงทุนเอกชนยังคงน่าเป็นกังวล อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยปี 2025 จะยังมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัว ได้ต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนและการใช้จ่ายภาครัฐ


Commodities Sector
ค่าการกลั่นยังปรับตัวขึ้นต่อ
ภาพรวม: ค่าการกลั่น (GRM) ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง WoW ตามมาด้วยค่าระวางเรือเทกอง ขณะที่ค่าระวางตู้คอนเทนเนอร์และราคาถ่านหินปรับลดลง ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นเล็กน้อย
น้ำมันดิบ: ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยเพิ่มขึ้น $0.18 WoW อยู่ที่ $78.21/bbl จากความกังวลเศรษฐกิจที่ลดลงหลังสหรัฐฯ ชะลอการขึ้นภาษีสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก
ค่าการกลั่น: GRM อิงตลาดสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น $0.86 WoW เป็น $3.83/bbl หนุนโดยสเปรดเบนซิน (+$0.95 WoW เป็น $8.71/bbl) และน้ำมันเตา (+$1.48 WoW เป็น -$0.32/bbl) ขณะที่สเปรดน้ำมันเครื่องบิน (+$0.17 WoW) และดีเซล (+$0.14 WoW) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ส่วนต่างเคมีภัณฑ์: ปรับตัวลง WoW จากต้นทุนแนฟทาที่สูงขึ้น โดย Ethylene (-$3 WoW เป็น $180/t), Propylene (-$23 WoW เป็น $150/t), HDPE (-$3 WoW เป็น $300/t) และ PP (-$13 WoW เป็น $310/t)
ถ่านหิน: Newcastle Export Index (NEX) ลดลง $3.16 WoW (-3% WoW) เป็น $101.73/tonne จากความกังวลอุปทานส่วนเกินในจีน
ค่าระวางเรือ: สำหรับของเรือเทกอง หรือ Baltic Dry Index (BDI) เพิ่มขึ้น 18 จุด (+2% WoW) มาอยู่ที่ 792 จุด นำโดย Panamax (+4% WoW) และ Supramax (+15% WoW) ขณะที่ Capesize ลดลง (-11% WoW)
ส่วน World Container Index ลดลง 177 จุด (-5% WoW) มาอยู่ที่ 3,095 จุด
Fundamental view: คงคำแนะนำ “ขาย” กลุ่มโรงกลั่นจาก Low season และ “ถือ” PTTEP จากความเสี่ยงด้านอุปทานน้ำมัน โดยยังคงเลือก IVL เป็นหุ้นเด่น ในกลุ่มเคมีภัณฑ์

DELTA
เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย)
พักสร้างฐานใหม่
เราประเมินต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นบางส่วนใน 4Q24 จะเป็นการเกิดครั้งเดียวและบางส่วนน่าจะส่งผลต่อ เช่น การแก้ไขปัญหาสินค้า Royalty fee และประเด็นด้านกฏหมาย อย่างไรก็ตามคาดกำไร 1Q25 จะฟื้นกลับมาระดับ 4.6 พันล้านบาท โต 10% YoY และ 80% QoQ ได้
ภาพรวมปี 2025 จะได้แรงหนุนจากกลุ่ม Data center และ AI แต่คาด กลุ่ม EV การเติบโตจะชะลอตัวลง เราประเมินกรอบกำไรปี 2025 ที่ 2 หมื่นล้านบาท เติบโตแค่ 6% YoY ซึ่งถือว่าเป็นกรอบล่างเทียบเป้าหมายของบริษัท
ทั้งนี้ สำหรับเป้าหมายบริษัทประเมินรายได้เติบโต 10-15% YoY (ทิศทางเดียวกับปี 2024 แต่ความท้าทายมากขึ้น) GM ที่ 25% และ SG&A/sales ที่ 13% โดยรวมจะคิดเป็นกำไรราว 2-2.1 หมื่นล้านบาท เติบโต 6-11% YoY

Fundamental view: เรายังแนะนำ wait-and-see โดยประเมินว่าระยะสั้นราคาหุ้นน่าจะพักตัวในกรอบ 70-90 บาท (เดิมเราประเมินหากกำไร 4Q24 ไม่ทำ New high ราคาจะลงมาที่ 80 บาท) อิง Valuation ในอดีตที่ 45-55 เท่า ซึ่งเป็นจุดพักตัวในช่วงกำไรอ่อนตัวลงก่อนหน้า


รายงานผลประกอบการวันนี้

GPSC
โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่

(+) GPSC รายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 1,000 ล้านบาท หักรายการพิเศากำไรหลักจะอยู่ที่ 1,010 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78% YoY แต่ลดลง 2% QoQ มากกว่าที่เราและตลาดคาด 10% และ 11% ตามลำดับ เกิดจากส่วนแบ่งกำไรมากกว่าที่คาด แนวโน้ม 1Q25 คาดกำไรหลักเติบโต YoY จากต้นทุนลดลง แต่กำไรลดลง QoQ ตามฤดูกาล เรายังคงแนะนำซื้อเก็งกำไร

 

TU
ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป

(+) TU รายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 1,213 ล้านบาท หักรายการพิเศษกำไรหลักจะอยู่ที่ 1,095 ล้านบาท ลดลง 7% YoY และ 25% QoQ สูงกว่าที่เราคาด 7% (แต่เป็นไปตามตลาดคาด) แนวโน้ม 1Q25 คาดกำไรหลักจะลดลง YoY จากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และ QoQ ตามฤดูกาล เราปรับกำไรปี 2025 ลง 5% สะท้อน Guidance ใหม่ และราคาเป้าหมายลงเป็น 15 บาท (จาก 16.50 บาท) ยังคงคำแนะนำถือ


PTTGC
พีทีที โกลบอล เคมิคอล

(0) PTTGC รายงานขาดทุนสุทธิ 4Q24 ที่ 11,738 ล้านบาท พลิกจากกำไร YoY แต่ขาดทุนน้อยลง QoQ หักรายการพิเศษขาดทุนหลักจะอยู่ที่ 6,201 ล้านบาท ขาดทุนมากขึ้น YoY, QoQ แต่เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผล 0.50 บาท คิดเป็น Div. Yield ที่ 2.6% ขึ้น XD วันที่ 3 มี.ค. แนวโน้ม 1Q25 คาดยังคงขาดทุนหลัก แต่เป็นขาดทุนลดลง QoQ ทั้งนี้ เราได้ปรับประมาณการกำไรปี 2025 ลง 23% เหลือ 5,142 ล้านบาท สะท้อนแผนการปิดซ่อมบำรุงใหม่ และราคาเป้าหมายอยู่ที่ 19 บาท คงคำแนะนำขาย (wait-and-see ต่อ)

 

สรุปประเด็นจาก Quick take

MINT
ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์
ตั้งเป้ารายได้โต 6-8% และกำไรโต 15-20% จากการเปิดโรงแรมและร้านอาหารเพิ่มทั่วโลก ไปยังประเทศใหม่ๆ ผ่านการลงทุนแบบแฟรนไชส์เป็นหลัก และดอกเบี้ยจ่ายลด บริษัทมองบวกจากกระแสซีรีย์ White Lotus จะเป็นบวกต่อการท่องเที่ยวไทยในภาพลักษณ์ท่องเที่ยวหรู สอดคล้องกับแนวโน้มการ ใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยวสูงขึ้น และโรงแรม 4 โรงของ MINT ที่ใช้ในการถ่ายทำ มียอดจองห้องพักสูงขึ้น และ ADR ปรับขึ้นแล้ว
View from fundamental: เราชอบ MINT มากขึ้น และมองเห็นอัพไซด์จากประมาณการของเรา คงคำแนะนำ ซื้อ

ADVANC
แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส
ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์
ธุรกิจมือถือตั้งเป้ารายได้เติบโต 3-5% YoY การประมูลคลื่นไม่น่าแข่งขันแรง เพราะ ADVANC และ TRUE ต่างมองเรื่อง cost structure และการเตรียมทุนสำหรับ 3.5GHz ในอนาคต
View from fundamental: ราคาหุ้น ADVANC ปรับตัวสูงเกินราคาเป้าหมายของเราแล้ว และมี upside ค่อนข้างจำกัด อย่างไรก็ตามประเด็นเกี่ยวกับการลดค่าใช้จ่ายหลังการประมูลคลื่นความถี่ อาจทำให้ราคาหุ้นยังยืนอยู่ในระดับสูงได้ ในระยะสั้น

 


วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

ผถห. SSP ผ่านฉลุย! จ่ายปันผล 0.20 บาท/หุ้น

ผถห. SSP ผ่านฉลุย! จ่ายปันผล 0.20 บาท/หุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้