SET Index แอบซ่อนความถูก
External Factor
เจ้าหน้าที่ Fed อย่างนาย Waller กล่าวว่า ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐฯยังมีควม เปราะบางอยู่บ้าง ดังนั้นจึงควรคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในช่วงเวลานี้ แต่หากอัตราเงินเฟ้อ เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงเหมือนปีที่แล้ว Fed ก็สามารถกลับมาลดอัตราดอกเบี้ยได้ ในบางช่วงของปีนี้
จีนมีการจัดการประชุมร่วมกับภาคเอกชน โดยมีสี จิ้นผิง เป็นประธาน ซึ่งเนื้อความ กล่าวถึงทิศทางเศรษฐกิจจีนที่อาจกำลังเปลี่ยนแปลงจากการพึ่งพึงภาคอสังหาฯ ไปสู่ การพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง
Internal Factor
สภาพัฒน์เผยตัวเลข GDP Growth ของไทย 4Q67 +3.2%YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 3.8%YoY) และ +0.4%QoQ (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 0.5%QoQ) ทำให้ตลอดทั้งปี 2567 ขยายตัว +2.5%YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 2.7%YoY)
สภาพัฒน์มีความเห็นสอดคล้องกับ กนง. หนุน “คงดอกเบี้ย” เพื่อเก็บกระสุนนโยบาย การเงินรับความผันผวนในยุค Trump 2.0 พร้อมกับหวั่นว่าการเร่งลดดอกเบี้ยสวน ทางกับ Fed จะทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยไทย-สหรัฐฯ และตามาด้วยเงินบาทอ่อนค่า
สัดส่วน Market Cap ต่อ GDP อยู่ที่ 0.84 เท่า ซึ่งอยู่บริเวณช่วงวิกฤตโควิด-19 และ ต่ำกว่า 2 S.D. สะท้อนถึง Valuation ต่ำมาก และอาจสัญญาณเชิงบวกปรากฏขึ้น
Investment Strategy
SET Index 1256 จุด แต่ถ้าหัก DELTA และ AOT ออกดัชนีจะเหลือเพียง 1120 จุดเท่านั้น
ในมุม Valuation ณ SET 1256 จุด อิง EPS25F จากทาง Bloomberg 96 บาท/หุ้น หากหัก EPS25F จาก DELTA และ AOT รวมกันที่ -3.2 บาท/หุ้น จะเหลือ EPS25F (Ex DELTA, AOT) 92.8 บาท/หุ้น และคิดเป็น P/E25F ของ SET (Ex DELTA, AOT) เหลือเพียง 12.0 เท่า
แนะนำทยอยสะสมหุ้นใหญ่อันดับต้นๆ ของแต่ละ Sector, ที่มี Valuation ถูก, Dividend Yield > 3%, พร้อมกับ มี ESG Rating A ขึ้นไป อย่าง HMPRO, SCC, PTT, PTTEP, TOP, TU, BDMS, IVL, SCGP, CPN, SCB
Stock Focus
ราคาหุ้น AOT ช่วง 2วันที่ผ่านมาปรับลงแรง ทั้งการปรับสมดุลระหว่าง PER และอัตราการเติบโต ประกอบกับการ ขยายเทอมชำระหนี้ให้ผู้ประกอบการในสนามบิน ซึ่งสมมติฐานประมาณการกระแสเงินสดของฝ่ายวิจัย ได้รวมลูกหนี้ การค้าที่เกิดขึ้นในงวด 1Q68แล้ว
คงประมาณการกำไรปกติงวดบัญชีปี 2568 (สัดส่วน 1Q68 คิดเป็นสัดส่วน 26% ของประมาณการกำไรทั้งปี) –70 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย (CAGR) 13% ต่อปี
PER ปี 2568 ซื้อขาย 30 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปี 2560 –62 ที่ 38 เท่า (CAGR ช่วงดังกล่าวอยู่ที่ 9% ต่อปี) และมี Upside เปิดอยู่ที่ 20% เป็นการ Trading เชิงกลยุทธ์ เพื่อคาดหวังการ Rebound ของราคาหุ้น
ปัจจัยภายนอก-ในมีอะไรที่น่าติดตามบ้าง
แหล่งข่าวจาก Bloomberg รายงานว่าเจ้าหน้าที่ Fed อย่างนาย Waller กล่าวว่า ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐฯ ยังมีควมเปราะบางอยู่บ้าง ดังนั้นจึงควรคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในช่วงเวลานี้แต่หากอัตราเงินเฟ้อเริ่มส่งสัญญาณชะลอ ตัวลงเหมือนปีที่แล้ว Fed ก็สามารถกลับมาลดอัตราดอกเบี้ยได้ในบางช่วงของปีนี้ซึ่งล่าสุด Fed Watch Tool ให้ น้ำหนักการลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้ง หรือ 0.25% ในปีนี้ อยู่ที่เดือน ก.ค.68 ส่วนอีก 1 ปัจจัยภายนอก คือ วานนี้มีจีน มีการจัดการประชุมร่วมกับภาคเอกชน โดยมีสี จิ้นผิงเป็นประธาน ซึ่งเนื้อความกล่าวถึงทิศทางเศรษฐกิจจีนที่อาจ กำลังเปลี่ยนแปลงจากการพึ่งพึงภาคอสังหาฯ ไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง โดย Bloomberg คาดว่าในปี 2026 อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของจีนกำลังเติบโตไปถึง 27 ล้านล้านหยวน หรือ 18.3% ของ GDP ขณะที่ภาคอสังหา ฯ จะขยายตัวแค่ 16%-17% ของ GDP
ส่วนปัจจัยในประเทศ FETCO เตรียมผนึก 7 องค์กรสมาชิก พูดคุยกับ รมว.คลัง วันนี้โดยมีรายละเอียด ดังนี้
• ขอต่ออายุกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF)
• การฟื้นกองทุนทุนหุ้นระยะยาว (LTF)
• การตั้งกองทุน Thai ESG 2 ขึ้นมา เน้นหุ้นไทยเป็นหลัก
• มาตรการที่จะช่วยปรับปรุงตลาดหุ้นไทยให้กลับมามีเสน่ห์อีกครั้ง
ซึ่งน่าจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนไทย และต่างชาติอีกครั้ง หนุนให้มูลค่าซื้อขายกลับมาคึกคักในยามที่ ปัจจัยต่างประเทศไม่ได้กดดันมากนัก
สรุปปัจจัยภายนอกไม่ได้ถือเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ บวกกับ FETCO เตรียมผนึก 7 องค์กรสมาชิก พูดคุยกับ รมว.คลัง เพื่อช่วยปรับปรุงตลาดหุ้นไทยให้กลับมามีเสน่ห์อีกครั้ง ซึ่งน่าจะหนุนให้มูลค่าซื้อขายกลับมา คึกคักอีกครั้ง
GDP ไทย ปี 2567 +2.5% โตต่ำคาด แต่ยังเห็นแนวโน้มโตต่อเนื่อง
วานนี้ สภาพัฒน์เผยตัวเลข GDP Growth ของไทย 4Q67 +3.2%YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 3.8%YoY) และ +0.4%QoQ (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 0.5%QoQ) ทำให้ตลอดทั้งปี 2567 ขยายตัว +2.5%YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 2.7%YoY)
เศรษฐกิจไทยปี 2567 เร่งตัวจากปี 2566 โดยมีแรงหนุนเด่นๆ มาจากการบริโภคภาคเอกชน (+4.4%YoY), การ ลงทุนภาครัฐ (+4.8%YoY), การใช้จ่ายภาครัฐ (+2.5%YoY), การส่งออก (+4.4%YoY) ขณะที่การลงทุนเอกชนหด ตัว (-1.6%YOY) สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป สศช. ประเมินว่าจะขยายตัว 2.8% (2.3 – 3.3%) ด้วย ปัจจัยหนุนของการบริโภคภาครัฐ-เอกชนเพิ่มขึ้น บวกกับการท่องเที่ยวฟื้นตัว และการส่งออกสินค้าขยายตัว
เศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในภาวะที่ขยายตัวได้ดี พร้อมกับมีนโยบายการคลังช่วยขับเคลื่อน โดยรัฐบาลมีการเร่งรัด มาตรการทางเศรษฐกิจทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณ และเร่งรัดการลงทุน ท่ามกลางความเสี่ยงจากนโยบายตั้งกำแพง ภาษีของสหรัฐฯ จะเป็นแรงผลักให้เงินเฟ้อพุ่งสูง ทำให้สภาพัฒน์มีความเห็นสอดคล้องกับ กนง. หนุนแนวทางการ “คงดอกเบี้ย” เพื่อเก็บกระสุนนโยบายการเงินรับความผันผวน พร้อมกับหวั่นว่าการเร่งลดดอกเบี้ยสวนทางกับ Fed จะทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยไทย-สหรัฐฯ และตามาด้วยเงินบาทอ่อนค่า
ขณะที่ล่าสุด BOND YIELD 10Y ของไทย ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 2.29% ซึ่งสูงว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25%สะท้อน มุมมองตลาดฯ ว่าอาจเห็นการคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในการประชุม กนง. วันที่ 26 ก.พ. นี้
ในแง่มุมของตลาดหุ้นไทยปัจจุบันมีขนาด Market Cap SET อยู่ที่ 15.66 ล้านล้านบาท ส่วน Nominal GDP ปี 2567 อยู่ที่ 18.58 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน Market Cap ต่อ GDP อยู่ที่ 0.84 เท่า ซึ่งอยู่บริเวณช่วงวิกฤตโควิด19 และอยู่ในระดับต่ำกว่า 2 S.D. สะท้อนถึง Valuation ต่ำมาก และอาจสัญญาณเชิงบวกปรากฏขึ้น แนะนำหุ้น พื้นฐานดี ราคาถูกลงเยอะ CPALL, BDMS, IVL, SCGP, MINT, LH, HMPRO, AP, MTC
SET Index แอบซ่อนความถูก
แม้ SET Index ปรับตัวลงมา -10.26%ytd เหลือ 1256 จุด แต่ถ้าหัก DELTA และ AOT ออกดัชนี SET (Ex DELTA, AOT)จะเหลือเพียง 1120 จุดเท่านั้น ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก
และถ้าดูในมุม Valuation ณ SET 1256 จุด อิง EPS25F จากทาง Bloomberg ประเมินไว้ราว 96 บาท/หุ้น หากหัก EPS25Fจาก DELTA และ AOTรวมกันที่-3.2 บาท/หุ้น จะเหลือ EPS25F(Ex DELTA, AOT)92.8 บาท/หุ้น และคิด เป็น P/E25F ของ SET (Ex DELTA, AOT) เหลือเพียง 12.0 เท่า เท่านั้น (แม้ปกตินักวิเคราะห์จะมีการปรับประมาณ การลง 8 บาท/หุ้น ในช่วงที่เหลือของปี เหลือ 84.8 บาท P/E25F ก็ยังถูกอยู่13.2 เท่า)
สรุปดัชนี SET 1256 จุด จะเทียบเคียง SET (Ex DELTA, AOT) 1120 จุด เท่านั้น และมี P/E25F ของ SET (Ex DELTA, AOT) เหลือเพียง 12.0 เท่า แสดงให้เห็นว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปัจจุบันยังถือว่าถูกมากๆ แล้ว แนะนำ ทยอยสะสมหุ้นใหญ่อันดับต้นๆ ของแต่ละ Sector, ที่มี Valuation ถูก, Dividend Yield > 3%, พร้อมกับมี ESG Rating A ขึ้นไป อย่าง HMPRO, SCC, PTT, PTTEP, TOP, TU, BDMS, IVL, SCGP, CPN, SCB
Stock Focus : AOT ลุ้นรีบาวน์
ราคาหุ้น AOT ช่วง 2วันที่ผ่านมาปรับลงแรง ทั้งการปรับสมดุลระหว่าง PER และอัตราการเติบโต ประกอบกับการ ขยายเทอมชำระหนี้ให้ผู้ประกอบการในสนามบิน ซึ่งสมมติฐานประมาณการกระแสเงินสดของฝ่ายวิจัย ได้รวมลูกหนี้ การค้าที่เกิดขึ้นในงวด 1Q68แล้ว
คงประมาณการกำไรปกติงวดบัญชีปี 2568 (สัดส่วน 1Q68 คิดเป็นสัดส่วน 26% ของประมาณการกำไรทั้งปี) –70 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย (CAGR) 13% ต่อปี
PER ปี 2568 ซื้อขาย 30เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปี 2560 –62 ที่ 38เท่า (CAGR ช่วงดังกล่าวอยู่ที่ 9% ต่อปี) และมี Upside เปิดอยู่ที่ 20% เป็นการ Trading เชิงกลยุทธ์ เพื่อคาดหวังการ Rebound ของราคา
Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์