สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 13 กุมภาพันธ์ 2568)-----บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) BTS เปิดเผยมุมมองผู้บริหาร ว่าจากการปรับโครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มบริษัท ในเดือนธันวาคม 2567 ส่งผลให้กลุ่มบริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น รวมถึงหนี้สินสุทธิที่ลดลง อีกทั้งยังได้ประโยชน์จากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของ RABBIT และ ROCTEC (ซึ่งปัจจุบัน บีทีเอส กรุ๊ป ถือหุ้นอยู่ที่ร้อยละ 65.4 และร้อยละ 63.2 ตามลำดับ) โดยงบการเงิน ของทั้งสองบริษัทถูกนำมารวมในการจัดทำงบการเงินรวมของ บีทีเอส กรุ๊ป ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2567 เป็นต้นมา
VGI สามารถจัดหาเงินได้ทั้งสิ้น 15.4 พันล้านบาท จากการขายหุ้นทั้งหมดของ ROCTEC จำนวน 2.2 พันล้านบาท และการเสนอขายหุ้นสามัญของ VGI ให้แก่บุคคล ในวงจำกัด (Private Placement: PP) จำนวน 13.2 พันล้านบาท ส่งผลให้ VGI มีเงินสดสุทธิ จำนวน 17.5 พันล้านบาท และมีสินทรัพย์รวมเป็น 40.9 พันล้านบาท โดย ร้อยละ 57 ของสินทรัพย์รวม คิดเป็นมูลค่าที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโฆษณา ธุรกิจบริการดิจิทัล และธุรกิจการจัดจำหน่าย ทั้งนี้ เงินสดสุทธิของ VGI จำนวน 17.5 พันล้านบาท (หรือคิดเป็นร้อยละ 43 ของสินทรัพย์) ได้สำรองไว้สำหรับโอกาสการลงทุนในอนาคต
ในส่วนของหนี้สินสุทธิของ บีทีเอส กรุ๊ป ลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากการเพิ่มทุนจำนวน 13.2 พันล้านบาท และการได้รับชำระหนี้ O&M จากทางกทม. จำนวน 14.5 พันล้านบาทเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ เราคาดว่ากทม.มีแนวโน้มจะชำระหนี้ O&M ส่วนที่เหลือภายในอนาคตอันใกล้
สำหรับนโยบายของภาครัฐในการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าโดยมีเป้าหมายเพื่อกำหนดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ซึ่งทางภาครัฐมีการตั้งเป้าว่าจะเริ่มมี ผลในเดือนกันยายน 2568 หากรัฐบาลดำเนินการได้สำเร็จ คาดว่ารายได้จากค่าโดยสารจะกลายเป็นรายได้จากการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ บริษัทฯ เผชิญกับความเสี่ยงที่เกี่ยวกับจำนวนผู้โดยสารนั้นลดลง
ในส่วนของการซื้อคืนรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง หากเกิดขึ้นคาดว่าจะส่งผลให้ผลขาดทุนจากการดำเนินงานจากทั้งสองโครงการในปัจจุบันหมดไป และจะ เปลี่ยนไปรับรู้รายได้จากการเดินรถและซ่อมบำรุงแทนรายได้จากค่าโดยสาร นอกจากนี้ บริษัทฯ จะสามารถลดภาระหนี้สินสุทธิอย่างมีสาระสำคัญ และยังสามารถลด ต้นทุนทางการเงินลง ซึ่งต้นทุนดอกเบี้ยของบีทีเอส กรุ๊ป ในช่วงงวด 9 เดือนของปี 2567/68 (เมษายน - ธันวาคม 2567) มีจำนวนประมาณ 5.1 พันล้านบาท