วันพฤหัสบดีที่ผ่านมาดัชนีเคลื่อนไหวผันผวน โดยในช่วงเช้าดัชนีปรับตัวขึ้นจากแรงหนุน Fund Flow ที่ไหลกลับเข้ามา มีแรงซื้อนำโดยหุ้นกลุ่มไอซีที พลังงาน และอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม ดัชนีอ่อนตัวลงในช่วงบ่ายจากแรงขายนำโดยหุ้นกลุ่มค้าปลีก และธนาคาร ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,284.11 จุด +0.14 จุด +0.01% มูลค่าการซื้อขาย 53,124 ลบ. Program Trading -253.51 ลบ. ต่างชาติ -945.29 ลบ. TFEX +3,013 สัญญา ตราสารหนี้ -1,248.39 ลบ.
ปัจจัยบวก
+ ดัชนีดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 342.87 จุด หรือ +0.77% หลังจากปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) อย่างไรก็ดี นักลงทุนคลายความกังวลเนื่องจากมาตรการดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้ในทันที
+ สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ปรับตัวขึ้น 3.5%YoY ในเดือนม.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 3.5%YoY ในเดือนธ.ค.เช่นกัน
+ กลุ่มฮามาสออกแถลงการณ์ยืนยันว่าจะมีการปล่อยตัวประกันอิสราเอลอีก 3 รายในวันเสาร์นี้ตามข้อตกลงหยุดยิงกับอิสราเอล
+ ททท. เปิดเผย แนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวของตลาดไทยเที่ยวไทยเดือน ก.พ. 68 คาดว่าการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศเติบโตเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทย 16.45 ล้านคน/ครั้ง เพิ่มขึ้น 2% ก่อให้เกิดรายได้ ทางการท่องเที่ยว ประมาณ 81,250 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8%
+ กระทรวงการคลัง กำลังทบทวนผ่อนปรนเกณฑ์เรื่องการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้จากต่างประเทศและนำเข้ามาในประเทศไทยใหม่เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนนำเงินลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาในประเทศเพิ่ม
+กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างจัดทำมาตรการในการช่วยเหลือการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์โดยเฉพาะรถเชิงพาณิชย์ที่ประชาชนใช้เป็นเครื่องมือในการทำมาหากินที่มีการปล่อยสินเชื่อน้อยลงในปัจจุบัน
+ กระทรวงคมนาคม เดินหน้านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ยืนยันว่าจะประกาศใช้ในโครงการรถไฟฟ้าทุกสี ทุกสาย และทุกเส้นทางภายในเดือนก.ย.นี้
+ การส่งออกของไทยในปี 2567 ช่วงปลายปีได้รับอานิสงส์จากผู้นำเข้าเร่งสั่งสินค้าล่วงหน้ากักตุนสินค้าก่อนที่ปธน.สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากหลายประเทศ
ปัจจัยลบ
- สัญญา WTI ลดลง 8 เซนต์ หรือ -0.11% ปิดที่ 71.29 ดอลลาร์ /บาร์เรล ราคาน้ำมันขยับลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากนักลงทุนคลายกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า หลังจากสหรัฐฯ เลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ออกไปอย่างน้อยจนถึงเดือนเม.ย.
- สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 7,000 ราย สู่ระดับ 213,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 215,000 ราย
- นายอับดุล มาลิก อัล-ฮูตี ผู้นำกลุ่มฮูตี กล่าวว่า ฮูตีจะกลับมาโจมตี เป้าหมายของสหรัฐและอิสราเอลหากทั้งสองประเทศทำการโจมตีฉนวนกาซาในวันเสาร์นี้
- ปธน.โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนไม่ยอมรับการเจรจาสันติภาพโดยปราศจากการมีส่วนร่วมของยูเครน
แนวโน้มตลาดวันนี้
คาดดัชนีในวันนี้ยังแกว่งตัว Sideway ออกข้าง โดยนักลงทุนคลายความกังวลเนื่องจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังไม่มีผลบังคับใช้ ในทันที ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด มองกรอบดัชนี 1,280-1,290 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
>หุ้นที่ได้ประโยชน์โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” : KBANK SCB BBL TTB
>หุ้น ESG ดีเยี่ยม : ADVANC GULF BBL BEM RATCH CPN
>หุ้นได้ประโยชน์ Easy-E receipt : CRC COM7 ERW CENTEL MINT M AU TNP SIS SYNEX IP HL
>หุ้นปันผลสูง : SCB TISCO LH RATCH EGCO
>MSCI Rebalance : MSCI Global Standard : เข้า - ออก PTTGC, TOP MSCI Global Small Cap : เข้า GPSC, PTTGC, SCGP, TOP ออก BSRC, DCC, ERW, GFPT, KAMART, PSG, PSH, SAPPE, STECON, THG, TIPH (ใช้ราคาปิด 28 ก.พ.)