SET Index มาพร้อมปัจจัยขับเคลื่อน
External Factor
ความกังวลเรื่อง “การตั้งกำแพงภาษี” ดูผ่อนคลายลง หลังการลงนามคำสั่งเก็บภาษี ตอบโต้ (reciprocal tariffs) กับทุกประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ “ไม่ได้มีผล บังคับใช้ในทันที” ซึ่งยังพอมีเวลาเหลือให้หลายประเทศเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ
Howard Lutnick รมว. กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ เผยว่าการศึกษาคาดว่าจะเสร็จ สิ้นภายในวันที่ 1 เม.ย. 68 และการเรียกเก็บภาษีจะถูกปรับให้เหมาะสมกับแต่ละประเทศ
ประเด็นดังกล่าว หนุนให้ตลาดหุ้นโลกพากันดีดตัววานนี้ โดยในฝั่งสหรัฐฯ ปรับตัว เพิ่มขึ้นราว +0.8% ถึง +1.5% ส่วนยุโรป +1.8% ขณะที่เช้านี้ ตลาดหุ้นในฝั่งเอเชีย อย่างเช่นฮ่องกง +1.6% ฟิลิปปนส์ +1.1% เป็นต้น
Internal Factor
วันจันทร์ติดตาม GDP 4Q67 ไทย ซึ่ง Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ +3.8%YoY ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากรัฐบาลไทย ที่พยายามเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน นโยบายต่างๆ ในไตรมาสดังกล่าว ซึ่งหากตัวเลขดังกล่าวออกมาเท่าคาด จะหนุนให้ GDP ทั้งปี 2567 จะอยู่ที่ +2.65%YoY
ขณะที่ในปีหน้าสำนักเศรษฐกิจต่างๆคาดการณ์ GDP 2568F ใกล้เคียงกับการ ประมาณการล่าสุดของ IMF และ WORLD BANK โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ +2.9%YoY
Investment Strategy
รมต.คลังพบแนวทางฟื้นตลาดหุ้นไทย ด้วยการยกระดับเก็บภาษีคนลงทุนหุ้นต่างประเทศเพื่อสกัดเงินไหลออก และเตรียมจัดตั้งกองทุนประหยัดภาษี ThaiESG2 เป้าหมายลงทุนหุ้นไทย 100% ซึ่งจะเป็นการนำเงินกองทุน LTF ที่ครบอายุมาลงทุน โดยคาดว่าระยะเวลาถือครองกองใหม่อยู่ที่ 5 ปี
กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ หวังจะได้เม็ดเงินจากต่างชาติหนุน และกองทุนในประเทศหากมีการเปลี่ยนผ่านจาก LTF สู่ ThaiESG2 เน้นหุ้นขนาดใหญ่ Top 3 ในแต่ละ Sector ที่มี ESG Rating A ขึ้นไป รวมถึงยังมีP/E,PBV ต่ำกว่าปกติ อาทิ PTT CPALL BDMS CPN SCC CPF IVL TLI HMPRO PTTGC GPSC SCGP SAWAD TU AP เป็นต้น
ประเด็นกีดกันทางภาษีดูผ่อนคลาย คาดหนุนตลาดหุ้น “Rebound”
นับตั้งแต่ ปธน. Trumpขึ้นรับตำแหน่ง ได้มีการประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าในหลายๆ ประเทศ อาทิ โคลอมเบีย, เม็กซิโก, แคนนาดา, จีน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ยังมีเพียงแค่ “ประเทศจีน” เท่านั้น ที่มีผลบังคับใช้ไปแล้วเมื่อ 4 ก.พ. ที่ ผ่านมา
ขณะที่ล่าสุด ประเด็นความกังวลเรื่อง “การตั้งกำแพงภาษี” ดูผ่อนคลายลง หลังการลงนามคำสั่งเก็บภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) กับทุกประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ “ไม่ได้มีผลบังคับใช้ในทันที” ซึ่งยังพอมีเวลาเหลือให้ หลายประเทศเจรจาต่อรอง โดย Howard Lutnick รมว. กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ เผยว่าการศึกษาคาดว่าจะ เสร็จสิ้นภายในวันที่ 1 เม.ย. 68 และการเรียกเก็บภาษีจะถูกปรับให้เหมาะสมกับแต่ละประเทศ
ประเด็นดังกล่าว หนุนให้ตลาดหุ้นโลกพากันดีดตัววานนี้ โดยในฝั่งสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว +0.8% ถึง +1.5% ส่วนยุโรป +1.8% ขณะที่เช้านี้ ตลาดหุ้นในฝั่งเอเชีย อย่างเช่นฮ่องกง +1.6% ฟิลิปปนส์ +1.1% เป็นต้น
ทั้งนี้เมื่อพิจาณาจากข้อมูลในอดีตของผลตอบแทนตลาดหุ้น หลังประกาศใช้มาตรการจกีดกันทางภาษี ตลาดหุ้น ไทย ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7 วัน ร่วงลงราว -2.8% สะท้อนถึงความกังวลที่อยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ดังนั้น หากความกังวลนโยบายการผ่อนคลายใงในช่วงสั้ง น่าจะหนุนให้ SET Index รีบาวน์กลับขึ้นไปได้บ้าง อีกทั้งยัง มีสัญญาณจากค่าเงิน Dollar อ่อนค่าลงมาแตะ 107 จุด ซึ่งจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในเชิงเปรียบเทียบ ช่วยดึงดูด เม็ดเงินจากต่างชาติ ไหลเข้ามาในไทย
วันจันทร์ติดตาม GDP 4Q67 ไทย คาดโต 3.8%YoY และนักลงทุนเตรียมเฮรับกองทุน ThaiESG2 คาดลงทุนหุ้นไทย 100% คาดหนุนให้ SET สดใสในวันนี้
วันจันทร์ติดตาม GDP 4Q67 ไทย ซึ่ง Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ +3.8%YoY ซึ่งส่วนหนึ่งมาจาก รัฐบาลไทย ที่พยายามเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายต่างๆ ในไตรมาสดังกล่าว อาทิ แจกเงินเฟส 1, เติมเม็ดเงินให้ ชาวนาไร่ละ 1000 บาท อีกทั้งไตรมาสนี้เป็น High Season ที่มีการจับจ่ายใช้สอยอยู่แล้ว ซึ่งหากตัวเลขดังกล่าว ออกมาเท่าคาด จะหนุนให้ GDP ทั้งปี 2567 จะอยู่ที่ +2.65%YoY
ขณะที่ในปีหน้าสำนักเศรษฐกิจต่างๆคาดการณ์ GDP 2568F ใกล้เคียงกับการประมาณการล่าสุดของ IMF และ WORLD BANK โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ +2.9%จากแรงหนุนภาคครัวเรือน (C) ทั้งการปรับขึ้นค่าจ้าง 400 บาท นำร่อง 4 จังหวัดเริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 68 โครงการ EASY E-RECEIPT, แจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2-3 รวมถึงภาคท่องเที่ยว ไทยที่คาดหวังปัจจัยหนุนจากกระทรวงท่องเที่ยวออกโครงการกระตุ้นท่องเที่ยวในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ภายใต้ “โครงการไทยเที่ยวด้วยกัน” เฟส 6 ซึ่งจะเริ่มเปิดใช้สิทธิได้ในช่วงเดือน มิ.ย. 68
ขณะที่อีก 1 ประเด็นหนุน คือ รมต.คลังพบแนวทางฟื้นตลาดหุ้นไทย ด้วยการยกระดับเก็บภาษีคนลงทุนหุ้น ต่างประเทศเพื่อสกัดเงินไหลออก แล้วได้เม็ดเงินกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย ซึ่งล่าสุดมูลค่า Foreign Currency Deposit (FCD) อยู่ไทยยังอยู่ระดับสูงมากราว 8.2 แสนล้านบาท อีกทั้งเตรียมจัดตั้งกองทุนประหยัดภาษี ThaiESG2 เป้าหมายลงทุนหุ้นไทย 100% ซึ่งจะเป็นการนำเงินกองทุน LTF ที่ครบอายุมาลงทุน (มูลค่า AUM คงเหลือประมาณ 1.8แสนล้านบาท) โดยคาดว่าระยะเวลาถือครองกองใหม่อยู่ที่ 5 ปีซึ่ง รมต.คลัง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายใน 1- 2 สัปดาห์นี้
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ หวังจะได้เม็ดเงินจากต่างชาติหนุน และกองทุนในประเทศหากมีการเปลี่ยนผ่านจาก LTF สู่ ThaiESG2 เน้นหุ้นขนาดใหญ่ Top 3 ในแต่ละ Sector ที่มี ESG Rating A ขึ้นไป รวมถึงยังมีP/E,PBV ต่ำกว่า ปกติ อาทิ PTT CPALL BDMS CPN SCC CPF IVL TLI HMPRO PTTGC GPSC SCGP SAWAD TU AP เป็นต้น
Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์