"Domestic Play"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1295/1305 จุด รับ 1275/1270 จุด ประเด็นกำหนดทิศทางตลาดวันนี้เป็นบวก 1.) เงินบาทแข็งค่า 33.6 +/- บาท หลัง US Bond Yield 10 ปี ลดลง -10 bps หลังคุณ Trump ลงนามใช้มาตรการภาษีเท่าเทียม (Reciprocal Tax) คาดว่าต้องใช้เวลาศึกษาก่อนมีผล 1 เม.ย. ทั้งนี้ ยังต้องตามปัจจัยนี้ที่กลายเป็นความเสี่ยงระยะกลาง ส่วนไทยแม้อยู่ในกลุ่มที่เก็บภาษีนำเข้าสหรัฐ > ภาษีสหรัฐนำเข้าไทย แต่ไม่อยู่ในกลุ่มที่ปริมาณการค้า+เกินดุลสหรัฐลำดับต้น ทำให้ระยะแรกภาษีดังกล่าวน่าจะมีน้ำหนักไปทางยุโรป อินเดีย นอกจากนี้ 2.) เงินเฟ้อผู้ผลิตมากกว่าคาด แต่ฝั่งสินค้าการแพทย์ ประกัน บริการการเงินลดลง บ่งชี้ภาพเงินเฟ้อ PCE ที่ Fed ให้น้ำหนักลดลง 3.) ภายในดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) ม.ค. 25 สูงสุดใน 8 เดือน 4.) เห็นเม็ดเงินลงทุนภายในดูเป็นบวกขึ้น หลังรัฐฯเตรียมทบทวนปรับเงื่อนไขภาษีเพื่อดึงเงินได้จากการลงทุนต่างประเทศเข้าประเทศ ประเมินตลาดวันนี้ Sideways/Up หุ้นนำ คือ หุ้นธีม Yield ลดลงหนุน (ชิ้นส่วน โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield หนี้สูง High Growth) และหุ้นในธีม 7 Value (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO)วันนี้แนะนำ MTC, TRUE, PLANB
Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1295/1305 จุด รับ 1275/1270 จุด
What happened around the world?
(*/+) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นแรงแม้เงินเฟ้อผู้ผลิต PPI สูงกว่าคาด แต่รับข่าวบวกคือ ภาษีตอบโต้ Reciprocal Tariff ของประธานาธิบดีสหรัฐ ทรัมป์จะไม่บังคับใช้ในทันที แต่อาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรือหลายเดือนก่อนมีผล อิง ดัชนี Dow jones +0.77%d-d แต่ดัชนี Nasdaq +1.5%d-d S&P500 +1.04% โดยดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นทุก Sector โดยกลุ่มที่ปรับขึ้นหลักๆ คือ Materials, Consumer discretionary, IT, ICT ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวเด่นคือ Intel +7%, NVDIA +3.2%, Chevron +0.6% หลังจากบริษัทประกาศแผนการเลิกจ้างพนักงานทั่วโลก 20% ภายในสิ้นปี 2569 MGM Resorts Internationalประกอบธุรกิจกาสิโน +17% หลังจากรายงบสูงกว่าคาด ฯลฯ
(*) US Econ : 1.)ดัชนีราคาผู้ผลิต(PPI) เดือน ม.ค. +0.4%m-m สูงกว่าตลาดคาดเล็กน้อยที่ 0.3% prev. +0.5% หากเทียบกับเดือนเดียวกันในปีก่อน +3.5%y-y ทรงตัวจากเดือนก่อนแต่สูงกว่าตลาดคาด แรงหนุนหลักๆมาจากต้นทุนอาหารและพลังงานที่เพิ่มขึ้น แต่ Key สำคัญคือหมวด Healthcare, ค่าตั๋วเครื่องบิน, ค่าใช้จ่ายการเงินและประกัน ต่ำคาด (3 หมวดนี้คิดเป็น 20%ขององค์ประกอบเงินเฟ้อ PCE ที่ Fed ให้น้ำหนัก หากออกมาต่ำ หรือเพิ่มในอัตราที่ลดลงจะหนุนมุมมองดอกเบี้ยขาลง) ทำให้ตลาดคาดมีโอกาสที่เงินเฟ้อ PCE ที่จะออกมาในช่วงปลายเดือน ก.พ. มีโอกาสปรับลง อิง Bloomberg คาด 0.26%m-m 2.)ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ +2.13 แสนราย ดีกว่าคาดที่ 2.17 แสนราย ดีกว่าค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ที่ 2.16 แสนราย ตัวเลขแรงงานที่ออกมา ยังไม่อยู่ในระดับน่ากังวล และประเมินสะท้อนภาพภาคแรงงานสหรัฐฯประคองในลักษณะ Soft Landing ได้ (ความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง)
(*/+) Plastic บริษัททำธุรกิจน้ำอัดอม Coca-Cola ประกาศว่าภาษีเหล็กและอลูมิเนียมของโดนัลด์ ทรัมป์อาจบังคับให้บริษัทต้องใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกเพิ่มมากขึ้น ในการใช้เพื่อผลิตและบรรจุเครื่องดื่มน้ำอัดลม KSS ประเมินเป็นปัจจัยหนุนความต้องการใช้พลาสติกระยะกลาง- ยาว บวกต่อหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี โดยเฉพาะ IVL
(*/+) US Tariff : โดนัล ทรัมป์ได้ลงนามในบันทึกของประธานาธิบดีเพื่อประกาศแผนการใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้กับทุกประเทศที่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้ในทันที อาจจะมีการบังคับใช้ในอีกไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือนข้างหน้า คาดราว 1 เม.ย. KSS ประเมินเป็นสัญญาณบวก คาดสหรัฐจะไม่เดินหน้าหรือเร่งขึ้นภาษีนำเข้ารุนแรง เพราะในท้ายที่สุดจะกระทบต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสหรัฐ โดยรวมในเชิงกลยุทธ์มองแนะนำลงทุนในหุ้นที่ก่อนหน้ามีแรงกดดัน อาทิ กลุ่ม Global Play อาทิ กลุ่มพลังงาน PTTEP กลุ่มชิ้นส่วน DELTA HANA
(*) To Monitors : 14 ก.พ. ติดตามดัชนีค้าปลีก ม.ค. คาด +0.0%m-m vs prev. +0.4%m-m, ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม ม.ค. คาด +0.3%m-m vs prev. +0.9%m-m ฝั่งยุโรป 14 ก.พ. ติดตาม GDP งวด 4Q24 คาด +0.9%y-y เท่าไตรมาสก่อน 14-16 ก.พ. ติดตามแผนการยุติสงครามยูเครนและรัสเซียของ ปธน. ที่คาดว่าจะมีการแถลงในการประชุมความมั่นคงระหว่างประเทศที่กรุงมิวนิค ประเมินโทนคาดจะออกมาในเชิงสันติภาพ และเห็นความคืบหน้าในการยุติสงคราม มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง และคาดจะยังเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาพลังงานทั้ง น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และค่าระวางเรือ Container ในระยะกลาง – ยาว มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นน้ำมัน เรือ Container แต่ในทางตรงข้ามมองบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Anti Commodity อาทิ กลุ่มโรงไฟฟ้า
(-) World Container Index (WCI) : WCI ปรับลงติดต่อกัน 5 สัปดาห์ ล่าสุด -5%w-w อยู่ที่ 3095 เหรียญต่อ 40 ft และปรับลงทุกเส้นทางเรือ ประเมินจิตวิทยาลบต่อหุ้นเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO (90% ของรายได้), SONIC (62% ของรายได้) LEO (75% ของรายได้) และ WICE (34% ของรายได้)
(*)Oil : น้ำมันดิบ Brent +0.20%d-d ปิดที่ USD 75.33/barrel, น้ำมันดิบ West Texas -0.11%d-d ปิดที่ USD 71.29/barrel
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ ปรับลงแรงรับความตึงเครียดทางการค้าไม่ร้อนแรง อายุ 2 ปี ปรับลง -5 bps อยู่ที่ 4.30% และอายุ 10 ปี ปรับลงแรง -10 bps อยู่ที่ 4.53% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ,ระยะสั้นมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF กลุ่มชิ้นส่วน DELTA, KCE กลุ่ม ICT TRUE ADVANC ส่วน Dollar Index แกว่งตัวอ่อนค่าลงมาที่ 106.9 จุด
(*/+) Sugar Price : น้ำตาล +2.73%d-d ปิดที่ 18.84Cent/lb มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นทำธุรกิจเชื่อมโยงน้ำตาล อาทิ KSL, KBS
What happened in Thailand?
(*/+) SET Index : SET Index วันทำการล่าสุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น +0.14 จุด หรือ +0.01% ปิดที่ 1284.11 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC) งบเด่นปันผลดี ปีนี้มี Story ประมูลคลื่นคาดแข่งขันไม่รุนแรงช่วยลดค่าใช้จ่ายในงบ P&L ช่วยหนุนกำไร ผสานกับนักลงทุนบางส่วนที่ลงทุนเน้นเงินปันผลจะโยกเงินลงทุนบางส่วนจาก INTUCH ไปที่ ADVANC ก่อนที่การควบรวมกิจการของ INTUCH และ GULF กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA) จิตวิทยาบวกหุ้นเทคโนโลยีต่างประเทศนำตลาด กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มค้าปลีก (GLOBAL, DOHOME, HMPRO) จิตวิทยาลบ GLOBAL รายงานกำไร 4Q24 น่าผิดหวัง ต่ำกว่าที่เราคาดไว้ 14% (ต่ำกว่า BB Consensus 4%) กลุ่มธนาคาร (KBANK, SCB) ประเมินถูกขายสลับกลุ่มไปยังกลุ่มที่ยัง Underperform
(*/-) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุด เงินไหลออก ขายหุ้น -27.9 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -81.7 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Short 12,028 สัญญา เงินบาทแข็งค่ามาอยู่ที่ราว 33.6+/- บาท
(+) New Domestic Flow: รมว. คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาที่จะปรับปรุงกฎหมายการเก็บภาษีเงินได้จากการลงทุนในต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนให้คนไทยนำเงินเข้าประเทศ ซึ่งตนกำลังพิจารณาทบทวนกฎหมายนี้ เพื่อสนับสนุนให้คนไทยนำเงินเข้าประเทศ ประเมินจิตวิทยาบวกต่อ SET ที่มีโอกาสเห็นเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลกลับเข้ามาลงทุน และ หุ้น Big Cap เน้นหุ้น 7 Value ที่เรา ประเมินทุกๆ 1 หมื่นล้านบาทที่กลับเข้ามา จะหนุน SET ได้ราว 20-25 จุด อย่างไรก็ตาม ในส่วนดังกล่าวยังต้องติดตามรายละเอียดมาตรการอีกครั้ง
(*/+) AUTO: สัญญาณเงินลงทุนต่างประเทศเข้าไทย + ภาคยานยนต์เป็นบวกมากขึ้น 1.) Mazda ประกาศลงทุน 5.0 พันล้านบาท ตามมาตรการส่งเสริมรถยนต์ Hybrid (HEC, MHEV) นอกจากนี้ 2.) รัฐฯเตรียมออกมาตรการกระตุ้นภาคยานยนต์โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อรถยนต์พาณิชย์ที่ยอดปล่อยกู้สินเชื่อลดลง โดยรัฐฯกำลังพิจารณาใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บ.ส.ย) เข้ามาช่วย โดยที่ผ่านมา บ.ส.ย.ค้ำประกันราว 30% จะไปพิจารณาว่าจะเพิ่มยอดอย่างไรในอนาคต ประเมินจิตวิทยาบวกหุ้นนิคม WHA, AMATA และหุ้นเช่าซื้อ TISCO, KKP
(+) TH CCI : ม.หอการค้าไทย เผยดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.ค. เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 อยู่ที่ 59.0 จุด +1.8% m-m มองชี้นำภาพบวกแนวโน้มยอดขายกลุ่มค้าปลีกระยะ3-6 เดือนข้างหน้าจิตวิทยาบวกต่อหุ้นอิงกำลังซื้อในประเทศ ค้าปลีก เน้น CPALL CPAXT สื่อสาร เน้น ADVANC
(*) To monitor: ช่วงที่เหลือสัปดาห์นี้ ปัจจัยภายในติดตามหุ้นหลักๆที่จะรายงานสัปดาห์นี้ ได้แก่ MINT*, TOP, DELTA (* = หุ้นที่คาดรายงานกำไรออกมาดี) ส่วนสัปดาห์หน้าปัจจัยภายในติดตาม
1.) 17 ก.พ. รายงาน GDP งวด 4Q24 ตลาดคาด +3.8%y-y, +0.6%q-q vs prev. +3.0%y-y, +1.2%q-q ส่วน GDP ทั้งปี 2024 ตลาดคาด +2.7% vs prev. +1.9%
2.) รายงานกำไร Real Sector 17 ก.พ. TU, STA 18 ก.พ. MTC* 19 ก.พ. SPRC, BBIK* 20 ก.พ. BCP, PTT, BCPG* ได้แก่ WHA (* = หุ้นที่คาดรายงานกำไรออกมาดี)
3.) 21-26 ก.พ. รายงานส่งออก - นำเข้า ม.ค. 25 ยังไม่มีคาด vs prev. +8.7%y-y, +14.9%y-y
Daily Strategy : MTC, TRUE, PLANB
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Sideways/Up" จิตวิทยาลงทุนวันนี้เป็นบวก ประเมินหุ้นด่นวันนี้ 1.) หุ้นเกาะกระแส Yield สหรัฐฯปรับลดลง -10 bps อาทิ กลุ่มชิ้นส่วน โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield หนี้สูง High Growth 2.) หุ้นในธีม 7 Value (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO) ที่สัญญาณเม็ดเงินลงทุนระยะยาวในประเทศมีโอกาสเร่งขึ้น และ 3.) หุ้นสัญญาณเศรษฐกิจภายในดีขึ้น โดยเฉพาะภาคบริโภค CCI สูงสุดในรอบ 8 เดือน บวกต่อหุ้นค้าปลีก
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
กลุ่มที่คาดรายงานกำไร 4Q24F ออกมาดี ขยายตัว y-y q-q (ADVANC, AMATA, BTS, ERW, CRC, HMPRO , TRUE, OKJ)
กลุ่มที่คาดมีโอกาสซื้อหุ้นคืน (PTT , SCB , KBANK , KTB , BBL , PTTGC , TOP BCP)
• FEB25 Best Picks: ADVANC, AMATA, BA, BTS, ERW, KBANK, TTB
• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง
1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"
2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก
3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก
4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ
เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว
Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
Strategist Comment: Deepseek
กระแสข่าว AI Application จากประเทศจีน "Deepseek" ที่ทำงานได้ใกล้เคียงผู้นำตลาด โดยไม่จำเป็นต้องใช้ชิปประมวลผลสูง ทำให้ต้นทุนพัฒนาต่ำกว่า
โดยรวมประเมินนำมาสู่โอกาสเห็นภาพ AI Adoption ทั่วโลกเร่งขึ้น แต่สร้างความเสี่ยงหุ้น Semiconductor โลกที่จำหน่ายชิปประมวลผลระดับสูงที่อาจมีผลกระทบต่อยอดขาย จึงน่าจะเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นใน 1.) กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไทย ให้เกิดภาพชะลอลงทุนระยะสั้น อย่างไรก็ตาม KSS ประเมินผลกระทบจำกัด เพราะบริษัทชิ้นส่วนไทยไม่ได้มีสินค้าหรือรายได้ชิปประมวลผลสูง อาทิ กรณี DELTA เน้นจำหน่าย Power Supply ส่วนอีกกลุ่มที่อาจจะเห็นการชะลอลงทุน คือ 2.) กลุ่มโรงไฟฟ้า อาจจะมีความกังวลการใช้ไฟฟ้าต่ำลงตามรูปแบบชิปประมวลผลสูงลดลง อย่างไรก็ตาม ภาพบวกที่ AI Adoption จะเพิ่มขึ้นหนุนความต้องการโรงไฟฟ้ารวมถึงอุปกรณ์ Power Supply ในท้ายที่สุดอยู่ดี กลยุทธ์รอตั้งรับเมื่อหุ้นอ่อนตัวรับความกังวล
ขณะที่กลุ่มคาดได้ประโยชน์จากกรณีดังกล่าว คือ กลุ่มที่ผู้ใช้งาน AI ที่มีทางเลือกมากขึ้น ต้นทุนลดลง คาดนำมาสู่ปริมาณการใช้ข้อมูลในโครงข่ายโทรคมนาคมเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด ในส่วนกลุ่มสื่อสาร เน้น ADVANC และกลุ่ม Digital Tech Consult ที่ปริมาณงานที่ปรึกษาดิจิตอลจะเพิ่มขึ้นตาม AI Adoption เน้น BE8, BBIK
Strategy Update: MSCI Rebalance
MSCI ประกาศรายชื่อหุ้นที่ใช้ในดัชนีรอบใหม่แล้ว ซึ่งจะปรับน้ำหนักราคาปิด 28 กพ 2025 มีประเด็นสำคัญของไทยดังนี้
MSCI Thailand ถูกลดน้ำหนักจาก 1.3% เหลือ 1.28% คิดเป็น Net Outflows ราวๆ -100ล้านเหรียญฯ
โดยดัชนี MSCI Global Standard Index หุ้นไทยเข้า/ออก ได้แก่
หุ้นเข้า : ไม่มี
หุ้นออก : PTTGC(-60ล้านเหรียญฯ), TOP(-50ล้านเหรียญฯ)
ส่วน MSCI Global Small cap Index หุ้นไทยเข้า/ออก ได้แก่
หุ้นเข้า 4 หุ้น : GPSC, PTTGC, SCGP, TOP
หุ้นออก 11 หุ้น : BSRC, TIPH, DCC, ERW, GFPT, KAMART, PSH, PSG, SAPPE, STECON, THG
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีผลที่ราคาปิดวันที่ 28 ก.พ. นี้
กลยุทธ์ : ระยะสั้นให้ระวังความผันผวนของ PTTGC, TOP ที่ถูกถอดออกจาก MSCI Global Standard Index กลยุทธ์ ระยะสั้นเลี่ยงลงทุนหุ้นที่ถูกถอดออกจากดัชนี
Strategy Update : Dividend Plays 2H24
ช่วงปลายเดือน ก.พ. - พ.ค. 2025 จะเข้าสู่เทศกาลจ่ายปันผลประจำปี 2024 ของบริษัทจดทะเบียน ทีมกลยุทธ์ KSS จึงได้รวบรวมหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง) จากคาดการณ์ของ KSS และ Consensus เพื่อนำมาคัดสรรหุ้นปันผลสูง (High Dividend) คือ Dividend Yield มากกว่า 3.5% สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะ 1 - 2 เดือนแรกของปี ใน "Theme Dividend Play"
Key Ideas : KSS มีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นปันผลในช่วงต้นปีเนื่องจาก
o KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นปันผล(SETHD) ย้อนหลัง 10 ปี พบว่า SETHD ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. ของทุกปี ผลตอบแทนมักเป็นบวก เดือน ม.ค. ผลตอบแทนบวก 6 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.7%, เดือน ก.พ. บวก 7 ใน 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +0.67%
o SETHD ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของทุกปี (งวด 1Q) ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.85%)
กลยุทธ์ : ในเชิงกลยุทธ์ KSS แนะนำซื้อหุ้นปันผลสูงก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD 2 สัปดาห์แล้วขายวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD (dividend capture) มักจะให้ผลตอบแทนที่ดี ทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการคัดกรองหุ้นปันผลเด่น ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ คือ
1.) เป็นหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผล ช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง)
2.) เป็นหุ้นพื้นฐานที่มีแนวโน้มการเติบโต/กระแสเงินสดมั่นคง /อยู่ใน Theme การลงทุนหลักของ KSS ปี 2025 อาทิ Theme เศรษฐกิจไทยปี 2025F เติบโต อาทิ กลุ่มธนาคาร หรือ อยู่ในอุตสาหกรรม Up Cycle อาทิ Sector ICT หรือ หุ้นที่อยู่ในกลุ่มได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มอสังหา กลุ่มการเงิน ฯลฯ โดยเรียงตามอัตราตอบแทนเงินปันผลจากสูงไปต่ำ
พบว่ามีหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลเด่น 9 บริษัท คือ
หุ้น Big Cap ได้แก่ SCB (TP Max Con 135.0, Yield 2H24F 8.6%), TTB (TP25-2.2,Yield 2H24F 7.2%) HMPRO (TP25-13.5,Yield 2H24F 4.3%) INTUCH (TP25-108,Yield 2H24F 4.2%), ADVANC (TP25-305, Yield 2H24F 3.7%),
หุ้น Mid Cap ได้แก่ AP (TP25-11.8., Yield 2H24F 7.65%), TISCO (TP25-97.0, Yield 2H24F 5.84%), SC (TP25-3.2, Yield 2H24F 5.52%), JMT (TP25-22.8, Yield 2H24F 2.3%),
หุ้นปันผลสูงครึ่งหลังปี 2024 ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, HMPRO,JMT AP, SC, TISCO
โดยทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการศึกษาสถิติหุ้นปันผลเด่น 9 บริษัทดังกล่าวข้างต้น ย้อนหลัง 8 ปี พบว่าหากลงทุนซื้อหุ้นก่อน 2 สัปดาห์และขายวันที่ขึ้น XD พบว่า ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ Return มากที่สุด คือ JMT +5.36%, TTB +4.16%, ADVANC +3.05%, ส่วน SCB, HMPRO, INTUCH, AP, SC, TISCO ผลตอบแทน (Capital Gain) เฉลี่ยอยู่ราว 1% เท่ากับว่า การลงทุนหุ้นกลุ่ม High Dividend ในช่วงเวลาดังกล่าว หลาย ๆ ครั้งนักลงทุนจะมักจะได้รับเงินปันผลฟรี
• AOT (Buy, TP25F-64.5): เราคงคำแนะนำ Buy ราคาเป้าหมาย 64.50 บาท กำไรปี FY25F มีแนวโน้มโต +22%yy ตามการฟื้นของอุตฯ การบิน และมี Upside จากหลายโครงการที่คาดว่าจะชัดเจนขึ้นในปี FY25F กำไรสุทธิ 1Q25 อยู่ที่ 5.3 พันลบ. เติบโต +17%yy +25%qq ตามปริมาณผู้โดยสารและเที่ยวบินที่ฟื้นตัว
• PLANB(Buy, TP25F-9.35): PLANB ซื้อ Hello LED 4,000 ลบ. และเพิ่มทุน PP 2,000 ลบ. เรามอง Positive ต่อ PLANB จาก 2 ดีลข้างต้นจะทำให้ PLANB มีอัตรากำไรสูงขึ้น และมีกำลังการให้บริการสื่อเพิ่มขึ้น โดยเราอยู่ระหว่างประเมินมูลค่าเพิ่มซึ่ง PLANB กำไรส่วนเพิ่มจาก Hello LED เพียงพอชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เราประเมินจากกำไรสุทธิปี 2023 ของ Hello LED ที่ 202 ลบ. คิดเป็นสัดส่วน 18% ของกำไรปี 2025F ของ PLANB เพียงพอชดเชย (1) Dilution effect จากการเพิ่มทุน PP ที่ 6% และ (2) ต้นทุนเงินกู้ 2,000 ลบ. ราว 80 ลบ./ปี (อิงจากต้นทุนเงินกู้ PLANB ที่ราว 4% ต่อปี) เบื้องต้นเราประเมิน 2 ดีลข้างต้นเป็น Upside ต่อมูลค่าหุ้น PLANB อย่างน้อย 5-10% (ยังไม่รวมกรณีหาก PLANB นำสื่อมาบริหารแล้วหารายได้ได้สูงกว่าเดิม)
• SHR (Buy, TP25F-2.8): We maintain a BUY rating for SHR with a target price of Bt2.80. This would be underpinned by (i) SHR's strong operational momentum continues, as evidenced by January's 16% yoy RevPAR growth, and we anticipate double-digit RevPAR growth in 1Q25F driven by robust performance in Thailand and Maldives properties. (ii) We expect SHR to achieve profitability in 4Q24F and deliver impressive earnings growth with a 25% CAGR over FY2025-27F, underpinned by sustainable tourism recovery and operational improvements across its portfolio; and (iii) attractive current valuation, at 6.0x EV/EBITDA and 0.4x P/BV on FY25F numbers; they are trading at a large discount to sector averages, offering compelling value for investors.
• EPG (Buy, TP25F-4.5): Although EPG's core earnings fell to Bt270m (-34% yoy, -37% qoq) in 3QFY25, it was 44% higher than our expectation. This was mainly due to the lower than expected SG&A expense. Moreover, with the expectation that the final quarter should be a decent quarter that its earnings should improve from this quarter, our earnings forecast of EPG has an upside risk about 7-10%. This would make EPG's earnings for FY25 to post a minimal decline, lowest decline in the sector. Thus, we maintain our BUY call with the same TP of Bt4.50
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI