Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

281

 

 


แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ
อัปเดต Momentum Tracker แนวโน้มตลาดหุ้นโลกและทองคำ
Key Takeaways:
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา สินทรัพย์เสี่ยงเผชิญความผันผวน ขณะที่ตราสารหนี้และทองคำโดดเด่นกว่า โดยทั้งสองสินทรัพย์ให้ผลตอบแทนเป็นบวก
ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเฉพาะแผนปรับขึ้นภาษีนำเข้าที่กำลังจะประกาศ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มเผชิญความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนผ่านดัชนีความกลัวและความโลภ (Fear & Greed Index) ที่ร่วงเข้าสู่โซนความกลัว ประกอบกับระดับ Forward PE ที่อยู่ในระดับสูงเกินไป ยิ่งเพิ่มความเปราะบางให้กับตลาดในระยะสั้น
ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม: ตัวเลข US Core CPI (พุธ) ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 0.3% MoM และ US Retail Sales (ศุกร์) ตลาดคาดทรงตัวที่ 0% MoM
รายละเอียด:
“ภาวะการลงทุนในสัปดาห์ก่อน”
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกเผชิญกับความผันผวน ส่งผลให้ดัชนี MSCI All-Country World Equity ปิดทรงตัว ขณะที่ราคาน้ำมัน Brent ปรับตัวลง 2.3% ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สาม
ในทางตรงกันข้าม พันธบัตรและสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า โดยปิดสัปดาห์ที่ +0.7% และ +2.2% ตามลำดับ
สำหรับตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET ปรับตัวลงแรง 2.5% และทดสอบแนวรับสำคัญที่ 1,280 จุด โดยมี 16 จาก 20 กลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวลง โดยเฉพาะกลุ่ม Electronics และ Construction ที่ร่วงหนัก 8.8% และ 6.2% ตามลำดับ
“พัฒนาการสำคัญในต่างประเทศ ได้แก่”
1 การออกสตาร์ต Trump 2.0 นับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ไม่ได้สดใสอย่างที่นักลงทุนคาดหวัง สะท้อนจากความผันผวนของตลาดที่สูงขึ้น ส่งผลให้ CNN Fear & Greed Index เข้าสู่โซน fear รวมถึง McClellan Volume Summation Index กลับมาลดลงอีกครั้ง สะท้อนความเปราะบางที่มีมากขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐ
2 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแผนเรียกเก็บภาษีตอบโต้ต่อหลายประเทศ โดยคาดว่าจะประกาศอย่างเป็นทางการในสัปดาห์นี้ แม้จะยังไม่ระบุชื่อประเทศเป้าหมาย แต่ทรัมป์ย้ำว่ามาตรการนี้จะช่วยให้สหรัฐฯ ได้รับการปฏิบัติทางการค้าอย่างเป็นธรรม และอาจช่วยลดปัญหางบประมาณของประเทศ
แนวทางนี้เป็นไปตามนโยบายหาเสียงของทรัมป์ที่ต้องการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าให้เท่าเทียมกับภาษีที่ประเทศคู่ค้ากำหนดกับสินค้าสหรัฐฯ โดยข้อมูลจากองค์การการค้าโลกชี้ว่าอัตราภาษีเฉลี่ยของสหรัฐฯ อยู่ที่ 2.2% ต่ำกว่าหลายประเทศคู่ค้า
แผนขึ้นภาษีนี้นับเป็นหนึ่งในแนวทางหารายได้เพื่อชดเชยการขยายเวลามาตรการลดภาษีเงินได้ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มภาระหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ

 

“ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่”
วันพุธ: US Core Inflation (consensus คาดเงินเฟ้อ CPI พื้นฐานเดือนมกราคมจะเพิ่มขึ้น 0.3% MoM เร่งตัวขึ้นจาก 0.2% ในเดือนก่อนหน้า)

วันศุกร์: US Retail Sales (consensus คาดตัวเลขค้าปลีกสหรัฐฯ เดือนมกราคมจะทรงตัวที่ 0% MoM ชะลอตัวลงจาก 0.4% ในเดือนก่อนหน้า)
“แนวโน้มราคาสินทรัพย์ต่างๆ”
ในสัปดาห์นี้ เราแนะนำให้ระมัดระวังในการลงทุนในตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว โดยคาดว่าจิตวิทยาเชิงลบจากการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าหลายประเทศของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งจะกดดันให้ดัชนี MSCI All-Country World Equity เผชิญกับแรงขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นสหรัฐซึ่งมี Market Valuation อยู่ในระดับสูง
ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง แม้เผชิญแรงขายบริเวณแนวต้าน 2,900 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ยังสามารถยืนเหนือระดับดังกล่าวและปิดบวกเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งเพิ่มโอกาสที่ราคาจะพุ่งแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐได้เร็วกว่าที่เคยประเมินไว้ อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ราคาทองคำอาจเผชิญความผันผวน เนื่องจากสถานะ net long position ที่อยู่ในระดับสูงถึง 230,200 สัญญา ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวเกือบสองเท่า
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 7-10 ปีให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นกว่าตลาดหุ้นโลก โดยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีแกว่งตัวใกล้ระดับ 4.5% สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์นี้ ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าอาจเพิ่มความผันผวนให้กับพันธบัตรระยะยาว อย่างไรก็ตาม มีโอกาสที่แรงซื้อจะกลับเข้ามา หากตัวเลขเงินเฟ้อ CPI ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะในหมวด Shelter

สรุปภาพตลาดวานนี้
SET มีแรงฮึบสวนขึ้นมาบวก 20 จุด ช่วงบ่ายวันศุกร์ โดยหุ้นใหญ่มีแรงซื้อกลับเข้ามากันถ้วนหน้า ทั้ง DELTA CPALL GULF ADVANC PTT INTUCH TRUE BDMS CPF CPN KTB BBL เป็นต้น ส่วนหุ้นขายแรงๆ เป็นปัจจัยเฉพาะตัวอย่าง OKJ (ที่งบฯ ต่ำคาด) เป็นต้น

แนวโน้มตลาดวันนี้
เลือกเล่นตามงบ...
สัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหุ้นไทยปรับลงรุนแรงกว่าคาด เป็นการปรับลงต่อเนื่องติดต่อกัน 5 สัปดาห์ ส่วนเหตุผลของการปรับฐานมุ่งเป้าไปที่
1) ปัจจัยลบเฉพาะตัว เช่น กระแสข่าวการทาบทาม CPALL มาร่วมซื้อกิจการ Seven I Holding จากญี่ปุ่น (มองกันว่าไม่คุ้มค่าการลงทุน แต่ บริษัทฯก็ออกมาชี้แจงแล้วว่ายังไม่มีการดำเนินการฯ)
2) การปรับสมมุติฐาน Risk free rate หลังเห็นโบรกต่างชาติ เช่น MS “คาดปีนี้ เฟด ปรับดอกเบี้ยลงเหลือแค่ครั้งเดียว และเลื่อนการยุติโครงการ QT ออกไปอีก 3 เดือน (บอนด์ยิลด์อเมริกาจะทรงตัวในระดับสูงนานขึ้น กดดันหุ้นที่เล่นตรงข้ามบอนด์ยิลด์)
3) ผิดหวังงบการเงิน บจ.ไทย และการปรับลดคาดการณ์กำไร (เช่น ราคาหุ้น OKJ ดิ่ง หลังเห็นงบแย่เกินคาด)

 

4) LTF ไถ่ถอนสูงมาก ซึ่งเกินกว่าค่าเฉลี่ยของแต่ละปีไปแล้ว (AUM ลดลงกว่า 3 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปีที่แล้ว 2.2 แสน ลบ.)
5) ปธน.ทรัมป์ เริ่มเกม กำแพงภาษีแล้ว แต่ยังเปิดช่องให้เจรจาก่อนบังคับใช้มาตรการ
6) ตลท.รับฟังความเห็น-เปลี่ยนเกณฑ์คำนวณดัชนีฯ จำกัดน้ำหนักหุ้นที่มีผลต่อการคำนวณดัชนีฯ เช่น DELTA
เหตุผลเท่าที่ไล่มาถึงตอนนี้ อันที่จริงแค่ข้อเดียวหุ้นไทยก็หนักแล้ว เราคงต้องหยุดรอ แล้วขอประเมินสถานการณ์ใหม่อีกครั้ง ว่าเรื่องทั้งหมดนี้สะท้อนไปในตลาดหุ้นไทยพอแล้วหรือยัง (ถ้ายังไม่มีเรื่องลบใหม่เข้ามาซ้ำเติมตลาดหุ้นไทย) จากจุดนี้ SET Index แถว 1,250 แต่ราคาหุ้นหลายตัวลงมาทำจุดต่ำสุดใหม่นับตั้งแต่ วิกฤตโควิด สวนทางกับกำไรปกติ ที่ทำได้สูงกว่าช่วงโควิดตอนที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก เราเลือกใช้กลยุทธ์ ชะลอเพิ่มหุ้น ถือเงินสดเพิ่ม รอดูสถานการณ์ เลือกถือหุ้นเท่าที่จำเป็น แล้วรอประเมินสถานการณ์ว่า เหตุผลด้านลบตามที่ไล่มา ใกล้จบแล้วหรือยัง?

กลยุทธ์การลงทุน เลือกสะสมหุ้นรายตัว (Hold ระยะยาวหน่อย) จากเกณฑ์
1) ราคาหุ้นทรงตัวได้ดี Outperform ในเชิงเทคนิคคอล ไม่ Overbought
2) ความถูกของราคาหุ้นเมื่อเทียบมูลค่าทางบัญชี (PBV) และเทียบกับ Bands
3) แนวโน้มผลการดำเนินงานระยะสั้น ดูแล้วไม่น่าจะสร้างความผิดหวัง
4) โอกาสที่กำไรระยะสั้นจะดีกว่าที่คิด เพราะมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว เช่น มาตรการ ช้อปช่วยชาติ แจกเงินหมื่น ในช่วงไตรมาสแรก หนุนกำไรโตต่อเนื่อง 4Q24-1Q25
5) มีปันผลระหว่างกาล

วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET หลุด low แล้วรีบาวด์กลับทันที จับตาโซนรับเส้น support 5&15 ปี จะอยู่บริเวณ 1,200 จุด และ 1,250 จุด ปัจจุบันดัชนีเริ่มรีบาวด์ ขณะที่ RSI week ลงใกล้เขต oversold สถิติ 2 ครั้งล่าสุด เกิดเมื่อวิกฤต subprime และ covid (เกิดขึ้นไม่บ่อย) ส่วนวิธีรับมือกับความผันผวนของตลาด แนะแผนตั้งรับ แบ่งไม้ทยอยซื้อ หุ้นโครงสร้างแกร่ง หรือหุ้นที่ปรับตัวลงลึก อาจมี downside risk เหลืออีกไม่มาก โดบเลือกหุ้นน่าซ๊อปได้แก่ GULF, TRUE, BTS, AOT และ WHA ส่วนวิธีแผนตั้งรับซื้อหุ้นอยู่ในหน้าถัดไป
Note: หุ้น DR01 อิงกับตลาดตปท. มาตามแผนรายละเอียดอยู่ในบทวิเคราะห์ “World Asset Class”

 

 

 

 

What to watch
ปานามาประกาศความตั้งใจที่จะถอนตัวออกจากโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road initiative - BRI) ของจีน และจีนได้เรียกร้องให้ปานามาซึ่งเป็นประเทศในอเมริกากลางดำเนินการตัดสินใจให้ถูกต้อง
ก่อนหน้านี้ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เตือน โฮเซ ราอูล มูลิโน ประธานาธิบดีปานามาเมื่อวันอาทิตย์ (2 ก.พ.) ว่า สหรัฐฯ จะดำเนินมาตรการที่จำเป็น หากปานามาไม่รีบจัดการกับสิ่งที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มองว่า เป็นอิทธิพลและการควบคุมของจีนเหนือคลองปานามา
MSCI Rebalance สัปดาห์หน้า (11 ก.พ.) มีผลสิ้นเดือน ก.พ.
"ทรัมป์" วางแผนที่จะประกาศใช้ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะเป็นการยกระดับการทำสงครามการค้ากับพันธมิตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ภาษีตอบโต้อาจจะมาแทนแผนภาษีนำเข้าพื้นฐานในอัตรา 10-20% ซึ่งเขาใช้ในการหาเสียง โดยทรัมป์กล่าวว่าเขามีแนวโน้มที่จะใช้ภาษีตอบโต้เป็นหลักมากกว่าอัตราภาษีศุลกากรพื้นฐานทั่วไป
ทรัมป์กล่าวว่าเขากำลังพิจารณาการเก็บภาษีสินค้านำเข้าที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์เป็นพิเศษ


หุ้นแนะนำวันนี้
MTC BLS Research ออกรายงานคาดการณ์กำไรไตรมาส 4/24 ทำสถิติสูงสุดใหม่ (S 43 R 46 SL 42)

Tactical port เพิ่ม MTC

 

 

 

รายงานพื้นฐานวันนี้

Wealth Insight
Productivity ของไทยอยู่ตรงจุดไหนบนเวทีโลก?
ปัจจุบัน ไทยมีขีดความสามารถการแข่งขันในระดับปานกลาง เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลกโดยมีประเด็นเชิงโครงสร้างที่จำเป็นต้องแก้ไขและพัฒนาอีกมาก เพื่อให้เกิด Productivity ที่ยั่งยืน อาทิ การเพิ่มจำนวนเด็กเกิดใหม่ เพิ่มทักษะแรงงาน เร่งพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กไทยให้เป็นกำลังแรงงานสำคัญในอนาคต
การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินงาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรต้องร่วมมือกันในเชิงบูรณาการ โดยมีการจัดทำนโยบายภายใต้กรอบระยะเวลาที่ชัดเจน เพราะทุกช่วงเวลาที่ดำเนินไปนั้นจะเป็นต้นทุนตั้งต้นสำคัญต่อผลลัพธ์ในการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
(รายละเอียดติดตามในรายงานฉบับเต็ม)

Tourism Sector (Idea)
เร่งเครื่องเทอร์โบคู่
ภาพรวมการท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวแรง มาจากสองพลังบวกจากจำนวนนักท่องเที่ยว และรายได้เฉลี่ย
นักท่องเที่ยวพุ่งแรงเกินคาด: โดย ม.ค. 2025 มีนักท่องเที่ยว 3.7 ล้านคน (+22% YoY) แตะระดับก่อนโควิด-19 ขณะที่ รายได้ท่องเที่ยวพุ่ง 32% YoY เติบโตมากกว่าจำนวน

นักท่องเที่ยวใช้จ่ายสูงสุดเป็นประวัติการณ์: ยอดใช้จ่ายต่อคนต่อทริป เดือน ม.ค. 2025 สูงกว่าระดับก่อนโควิด-19 นำโดย ยุโรป ตะวันออกกลาง และจีน
นักลงทุนมักเข้าใจผิดว่าคนจีนใช้จ่ายต่ำ แต่ข้อมูลชี้ว่าคนจีนใช้จ่ายสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 14% อยู่ที่ 5.6 หมื่น/ทริป (+2% YoY, +16% จากก่อนโควิด) โดยเน้นจ่ายเพิ่มในที่พัก (สัดส่วน 39% เพิ่มจากเดิม) และอาหาร (20%) ขณะที่ การช้อปปิ้งลดลง สะท้อนเทรนด์ใหม่ที่เน้นประสบการณ์มากกว่าสินค้า
กำไร 4Q24 เติบโตแกร่ง โดยคาดกำไรรวม 5 บจ. ที่ 9.85 พันล้านบาท (+21% YoY) นำโดย AOT (+27% YoY จากผู้โดยสารเติบโต 16%) และ AWC (+34% YoY จาก RevPAR เติบโต 22%)

Fundamental view: โดยสรุป หุ้นเด่นรับการเก็งกำไรช่วง 1H25 เรียงตามความชอบ ได้แก่ (1) AOT (ผู้โดยสารเติบโตหนุนรายได้) (2) CENTEL (เรายังมองรายได้โรงแรมใหม่ช่วยชดเชยขาดทุนจาก Maldives) (3) ERW (RevPAR เติบโตแข็งแกร่ง แต่ยังมีความกังวลเรื่องการต่อสัญญาเช่า) (4) MINT (เข้าฤดูท่องเที่ยว EU ใน 2Q25) และ (5) AWC (PER สูง แต่ได้อานิสงส์จากนักท่องเที่ยวจ่าย พรีเมียม)

 

 

 

 

 


รายงานผลประกอบการวันนี้

 

3BBIF
กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต สามบีบี (0) ADVANC รายงานกำไรสุทธิ/หลัก 4Q24 ที่ 9,259 ล้านบาท คิดเป็นกำไรหลักเพิ่มขึ้น 28% YoY และ 10% QoQ เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด แนวโน้ม 1Q25 คาดกำไรหลักเติบโต YoY ต่อ แต่ลดลง QoQ เราปรับสมมติฐาน ARPU ปี 2025 ขึ้น หนุนให้กำไรเพิ่มขึ้น 3% เป็น 3.7 หมื่นล้านบาท (เติบโต 6% YoY) และราคาเป้าหมายใหม่ขึ้นเป็น 294 บาท (จาก 292 บาท) ยังคงคำแนะนำซื้อ

(+) THCOM รายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 189 ล้านบาท หักรายการพิเศายังมีกำไรหลักที่ 20 ล้านบาท เติบโจ 29% YoY ลดลง 33% QoQ สูงกว่าที่เราคาด จากส่วนแบ่งกำไรมากกว่าคาด แนวโน้ม 1Q25 คาดกำไรหลักเติบโตๆได้ทั้ง YoY, QoQ จากกำไร Thaicom-8 เพิ่มขึ้นหลังรับรู้รายได้ อย่างไรก็ตาม เราปรับลดกำไรปี 2025 ลง 33% เป็น 132 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 21% YoY) โดยลดสมมติฐานของรายได้ Thaicom-8 ต่ำกว่าประมาณการเดิม และราคาเป้าหมายใหม่ที่ 11.10 บาท (จาก 15.70 บาท) ยังแนะนำถือ


(0) TIDLOR รายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 1.0 พันล้านบาท เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด โดยเพิ่มขึ้น 16% YoY และ 5% QoQ มีปัจจัยสนับสนุนจากสินเชื่อเติบโตและ Credit cost ลดลง ด้านคุณภาพสินทรัพย์แข็งแกร่งขึ้น เราคาดกำไรสุทธิ 1Q25 จะเพิ่มขึ้น YoY และ QoQ จากสินเชื่อเติบโต และค่าใช้จ่าย OPEX ลดลง QoQ เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ขึ้น 2% คาดกำไรสุทธิปี 2025 จะเพิ่มขึ้น 12% YoY เรายังแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 20 บาท


(0) 3BBIF รายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 3,321 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 1,521 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% YoY และ 3% QoQ พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผล 0.16 บาท (โดยวิธีการลดทุน) คิดเป็น Div. Yield 3% ขึ้น XD 18 ก.พ. แนวโน้ม 1Q25 คาดเติบโต YoY, QoQ จากต้นทุนทางการเงินลดลง เราปรับสมมติฐานกำไรหลักปี 2025 ขึ้น 4% และปรับราคาเป้าหมายอิง DDM ใหม่ ที่ 5.80 บาท (จาก 5.70 บาท) ยังคงแนะนำถือรับปันผล ทั้งนี้ คาดการจ่ายปันผลจากการดำเนินการปกติ คาดจะกลับมาใน ช่วงปี 2025

 

สรุปประเด็นจาก Quick take

OKJ
ปลูกผักเพราะรักแม่
ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์
บริษัทชี้แจงผลกำไร 4Q24 ที่น้อยกว่าคาดมาจาก cannibalization จากการเปิดสาขาใหม่และฐานสูง ต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าราคาสูงขึ้น ซึ่งคาดว่าจะยังคงสูงต่อเนื่องไปใน 1Q25 โดยบริษัทจะทำการปรับเมนู

View from fundamental: รายได้ที่เพิ่มจะมาจากการเปิดสาขาใหม่ ด้านต้นทุนมีความกดดันอยู่ที่ YoY แต่ดีขึ้น QoQ ดังนั้น เรามองว่าระยะสั้น มีโมเมนตัมอ่อนแอจากการปรับลดประมาณการของตลาดและของเราลง

วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ประคับประคอง By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ บ่ายวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทย คงประคับ ประคอง แกว่งตัวไปมา ท่ามกลาง บริษัทจดทะเบียนไทย...

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้