SET Index ผันผวนสร้างฐาน
เลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว

Market Strategy
SET Index คาดแกว่งตามกรอบ 1275-1300 จุด แรงกดดันของ DELTA จากประเด็น ตลท.เสนอปรับวิธีการคำนวณดัชนีเป็น Cap Weight ยังน่าจะมีอยู่บวกกับราคาน้ำมันดิบที่ปรับลง -2% เป็นแรงกดดันต่อกลุ่มพลังงาน แต่อย่างไรก็ตาม ทิศทาง Fund Flow ต่างชาติที่แรงขายเริ่มลดลงหลังสถานะการถือครอง SET ex DELTA อยู่ระดับ 24% ใกล้จุดต่ำสุดรอบ 10 ปีที่ 22.5% และ Valuation ของ SET Index ที่อยู่ระดับต่ำมากผิดปกติจาก PBV ที่ 1.22 เท่าและ Dividend Yield 3.9% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี -2 S.D. จึงน่าจะเป็นปัจจัยที่จำกัด Downside ของหุ้นรายตัว กลยุทธ์ Selective Buy หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะวันนี้เลือก TIDLOR

การตอบโต้ทางการค้าสหรัฐและจีนไม่มีการตอบโต้เพิ่มเติม ทำให้ความสนใจเคลื่อนย้ายไปที่การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการกำไร 4Q67 ของสหรัฐฯ ซึ่งวานนี้การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจออกมาผสมผสาน โดยตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน (ADP Employment) เพิ่ม 1.83 แสนตำแหน่ง สูงกว่า Consensus คาด 1.5 แสนตำแหน่ง แต่ ISM ภาคบริการเดือน ม.ค. ที่ 52.8 ต่ำกว่าตลาดคาด 54.0 ชี้นำภาคบริโภค (ที่คิดเป็นสัดส่วน 68% ต่อ GDP) ที่โมเมนตัมเริ่มช้าลง

ส่งผลให้ U.S. Bond Yield 10 ปี ลดลง 9 bps Dollar Index อ่อนค่า -0.4% และเช้านี้ค่าเงินบาทแข็งค่า 33.55 บาท/USD การตอบสนองข้างต้นจึงไม่ได้กดดันต่อ Fund Flow ต่างชาติ ซึ่งวานนี้มีสัญญาณที่ดีจากการซื้อในตลาดหุ้น 553.5 ล้านบาท และตลาดตราสารหนี้ 6,820 ล้านบาท ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะได้ Sentiment บวกจาก U.S. Bond Yield ที่ปรับลงกลุ่มไฟแนนซ์ชอบ MTC TIDLOR และ SAK กลุ่มโรงไฟฟ้าชอบ GPSC

ปัจจัยในประเทศวันนี้ติดตามการรายงานเงินเฟ้อเดือน ม.ค.68 คาดขยายตัว 1.3%YoY เร่งตัวจาก 1.23%YoY หากออกมาตามคาด เชื่อว่าผลการประชุม กนง. ในวันที่ 26 ก.พ. จะยังคงดอกเบี้ย 2.25% และการประชุมระหว่างนายก แพทองธาร ร่วมกับผู้นำจีน ต่อประเด็นการผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนต่อไป

Market Summary
SET Index ปรับลงแรง 14 จุด กดดันหลักมาจาก DELTA-7% กดดันดัชนีไป 8.5 จุด จากความกังวลผลกระทบจาก ตลท. เปิดรับฟังความคิดเห็นวิธีคำนวณดัชนีแบบ CAP Weight กลุ่มค้าปลีกจาก CPALL -3.4% CPAXT -2% จาก Overhang เรื่องการลงทุน Seven & I DOHOME -6.3% จากกังวลต่อผลประกอบการฟื้นช้า ส่วนกลุ่มที่ฟื้นตัวกลุ่ม Global Play จากจีนตอบโต้ภาษีสหรัฐฯ ไม่มากหนุน SCGP +1.3% PTTGC +1.5% กลุ่มขนส่ง AOT +1.3% ตลาดคาดงบ 1Q68 เติบโตดี ต่างชาติซื้อ 554 ล้านบาท สวนกับสถาบันขาย 296 ล้านบาท

DAILY
Stock Pick
TIDLOR

คาดกำไร 4Q67 อยู่ที่ 1,096 ล้านบาท ขยายตัว 11%QoQ และ 17%YoY จากสินเชื่อและ NII ที่เติบโตได้ดีและต้นทุนเครดิตอาจลดลงทั้ง YoY และ QoQ แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 3.40% เพื่อเคลียร์ NPLs ในสินเชื่อรถบรรทุกและสินเชื่อทะเบียนรถบรรทุก
มุมมองปี 68 คาดว่ากำไรเติบโต 10% YoY จากอัตราผลตอบแทนจากสินเชื่อและ NIM มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยให้กู้ คุณภาพสินเชื่อรถบรรทุกจะค่อยๆ ดีขึ้นจากการกลับมาของการใช้จ่ายภาครัฐ นอกจากนี้ ยังเห็นบวกกับแผนปรับโครงสร้างหนี้ และคาดว่า ROE จะฟื้นตัวสู่ระดับ 13.8-14.4% ในปี 68-69 จาก 13.6% ในปี 67 โดยคาดว่า TIDLOR จะจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดแทนการปันผลในรูปแบบหุ้นตั้งแต่ปี 68 เป็นต้นไป
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 22.00 บาท

KEY FACTOR
การจ้างงานเอกชน ADP ของสหรัฐฯเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
การตอบโต้สงครามการค้าของจีนล่าสุด จะเริ่มปรับขึ้นภาษีนำเข้าพลังงานจากสหรัฐฯ 1) 15% สำหรับ ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) 2) 10% สำหรับ น้ำมันดิบ เครื่องจักรกลการเกษตร รถยนต์เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ และรถปิกอัพ มีผลวันที่ 10 ก.พ. ทั้งนี้ ประเมินว่าโอกาสที่การตอบโต้ดังกล่าว น่าจะนำไปสู่การเจรจาเป็นไปได้มากที่สุด เนื่องจาก

1) สินค้าที่จีนประกาศตอบโต้สหรัฐฯ ถือเป็นสินค้าที่จีนนำเข้า จากสหรัฐฯในสัดส่วนที่ไม่สูงมากอยู่แล้ว สะท้อนการดำเนินนโยบายที่ระมัดระวังว่าจะเกิดผลลบต่อเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม 2) หากจีนต้องไปนำเข้าจากประเทศอื่นๆมากขึ้นอาจส่งผลให้ Supply พลังงานในตลาดโลกตึงตัวมากขึ้น กดดันราคาปรับตัวขึ้น

การจ้างงานภาคเอกชน (ADP) ของสหรัฐฯ เดือน ม.ค. เพิ่มขึ้น +1.83 แสนตำแหน่ง เร่งตัวขึ้นจาก +1.22 แสนตำแหน่ง ในเดือนก่อนหน้า และ สูงกว่า ที่ Consensus คาด +1.5 แสนตำแหน่ง อย่างมีนัยสำคัญ

EYES ON
[ในสัปดาห์] การรายงานงบฯ 4Q67
6 ก.พ. เงินเฟ้อของไทย
7 ก.พ. การจ้างงานนอกภาคเกษตร, อัตราการว่างงาน

นักกลยุทธ์ : ธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์, ชาญชัย พันทาธนากิจ