กลัว TRADE WAR แต่ก็ รอดอกเบี้ยลง
ความกังวลเรื่อง TRADE WAR แม้จะยังคงมีอยู่และมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้น หากมีการประกาศกำแพงภาษีระหว่าง UAS กับ EU แต่ก็เชื่อว่าราคาหุ้น ได้ดูดซับประเด็นดังกล่าวไปแล้วระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามในอีกมุมหนึ่ง ก็สร้างความหวังว่าจะเห็นทิศทางดอกเบี้ยปรับลดลง โดยล่าสุดมีรายงาน ตัวเลข PMI ในภาคบริการสหรัฐเดือน ม.ค.68 ออกมาที่ 52.8 ต่ำกว่า คาดที่ 54.2 ภาวะดังกล่าวประกอบกับโอกาสที่จะเห็นเงินเฟ้อสูงขึ้นจาก การเดินนโยบายของ ปธน.ทรัมป์ ทำให้เกิดความคาดหวังว่าFED อาจปร รับลดดอกเบี้ยง่ายขึ้น ส่วนในบ้านเราวันนี้จะประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ม.ค.68 คาดอยู่ที่ 1.3% YOY ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจคาดว่าจะ ยังดีซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาต่อเนื่อง สภาวะดังกล่าวอาจทำให้ กนง.ยังคงดอกเบี้ยต่อไป
SET INDEX ปรับลดลงมาแรงเกินจริง ทำให้มีโอกาสเห็น TECHNICAL REBOUND แต่ก็จะเป็นกรอบที่จำกัดจากมูลค่าการซื้อขายที่บาง กรอบ วันนี้ 1280 –1295 จุด TOP PICK เลือก ADVANC, BJC และ PR9
ปัจจัยภายนอกเริ่มผ่อนคลาย หนุนเงินเข้าสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
หลังจากที่เกิดการตอบต่อกันทั้ง 2 ฝ่ายระหว่างจีน-สหรัฐฯ ล่าสุด จีนตอบโต้กลับ สหรัฐฯ ด้วยมาตรการ NON-TARIFF มากขึ้น ด้วยการเตรียมสอบสวนการผูกขาด ของ “APPLE” ในจีน ปมการเก็บค่าธรรมเนียม 30%จากการใช้จ่ายใน APP STORE และข้อจำกัดการชำระเงิน อย่งไรก็ตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่ได้ตอบสนองในเชิงลบมาก นักกับประเด็นดังกล่าว และเคลื่อนไหวในแดนบวกโดยดัชนี DOWJONES เพิ่มขึ้น 0.7% S&P500 เพิ่มขึ้น 0.4% และดัชนี NASDAQ100 เพิ่มขึ้น 0.2% เป็นต้น
ซึ่งหนึ่งในปัจจัยหนุนคงหนีไม่พ้น ตัวเลขเศรษฐกิจ ISM ภาคบริการสหรัฐฯต่ำกว่า คาด โดยปรับตัวลงสู่ระดับ 52.8 จุดในเดือนม.ค.68 จากระดับ 54.0จุด ในเดือนธ.ค. 67และต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ระดับ 54.2จุด เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศชะลอตัวลงซึ่ง รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ การขนส่ง การก่อสร้าง ประเด็นดังกล่าว ทำให้ตลาดคาดว่า FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากขึ้นในการประชุมเดือนมิ.ย.68 ซึ่งก่อนหน้านี้คาด ว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยช่วงเดือน ก.ค.68 หรือ ก.ย.68
อีก 1 เหตุผลที่สะท้อนไดป็นอย่างดี คือ BOND YIELD 10Y สหรัฐฯที่ปรับตัวลงแรง จนล่าสุดอยู่ที่ 4.42%(ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย)
ดังนั้น แม้ TRADE WAR 2.0 ยังมีการตอบโต้กับของทั้ง 2 ฝั่ง แต่ตลาดให้น้ำหนัก ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาต่ำกว่าคาด จึงเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดคาดว่า FED จะ ดำเนินนโยบายดอกเบี้ยเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งน่าจะสร้าง SENTIMENT เชิงบวกต่อ SET วันนี้ได้ ดังเช่นตลาดหุ้นเอเชียที่เช้านี้เปิดบวกแถบทุกประเทศ
คาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย จะเข้ามาช่วยคลาย ความกังวล
เช้านี้ รอติดตามตัวเลขเงินเฟ้อไทย ม.ค. 68 โดย CONSENSUS คาดว่าจะปรับตัว สูงขึ้น +1.3%YOY ซึ่งจะเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 1-3% เป็นเดือนที่ 2 ขณะที่ช่วงต้นปี 2568 มีแรงหนุนจากรัฐบาลกระตุ้นการใช้จ่าย ทั้งโครงการ EASY E-RECEIPT 2.0 และโคงการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ให้กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ราว 3 ล้านคน
สำหรับระยะถัดไปคาดหวังนโยบายการคลัง จะยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้ในช่วง 2Q68 โดยล่าสุด รมช.คลัง ยืนยันโอนเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 ไตรมาส 2 อย่าง แน่นอน ซึ่งความคืบหน้าในขณะนี้ จะมีการประชุมอนุกรรมการขับเคลื่อนกระตุ้น เศรษฐกิจภายในเดือน ก.พ. 68 (จะทราบ TIMELINE) ส่วนระบบดำเนินการเสร็จแล้ว (เหลือแค่การทดสอบ) ด้านผู้ลงทะเบียนจะต้องคัดกรองอีกรอบราว 36 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม หาจบ 2Q68 ไปแล้ว การกระตุ้นเศรษฐกิจไทยผ่านนโยบายการคลัง อาจแผ่วลง ทำให้คาดหวังว่าจะเห็นการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น ในช่วง 2H68 เพื่อจะได้เข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจ ท่ามกลางความเสี่ยง TRADE WAR ที่มีแนวโน้มดุเดือดขึ้น และเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
แม้ LTF สาบสูญ VOLUME หาย, ดัชนีถูกกระแสลบกัดเซาะตาย , แต่ไม่วาย VALUATION ถูกน่าซื้อต่อ
ข้อมูลจาก BLOOMBERG เปรียบเทียบผลตอบแทนหุ้นทั่วโลก 92 ดัชนี พบว่า ปีนี้ (1 ม.ค. – 5 ก.พ. 68) ตลาดหุ้นไทย (SET INDEX) ปรับตัวลงมาแรงสุดในโลก -8.1%, รองลงมาคือ คูเวต -5.7%, เลบานอน -5.3%, มาเลเซีย -4.1%, ฟิลิปปินส์ -3.6% ส่วนหนึ่งที่กดดันให้ SET INDEX ลงมาแรงและเร็ว คือ แรงขาย LTF ที่เร่งตัวออกมา สะท้อนได้จากข้อมูล AIMC คือ ยอด LTF ในเดือน ม.ค. 68 ลดลง -3.14 หมื่นล้าน บาท หรือ 14.5% เหลือ 1.88 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 10 ปี (เฉลี่ย 10 ปี เดือน ม.ค. AUM ลดลง -8.0 พันล้านบาท)
แรงขาย LTF ที่มาพร้อมกับมูลค่าซื้อขายที่เบาบางเฉลี่ย 3.8 หมื่นล้านบาท กดดันให้ SET INDEX ลงแรง
อย่างไรก็ตามต่างชาติยังเป็นผู้ที่คอยพยุงตลาดหุ้นไทย โดยปีนี้ (YTD) ภาพรวม ต่างชาติซื้อหุ้นไทย 7 พันล้านบาท แม้ขายทางตรง 1.04 หมื่นล้านบาท แต่ซื้อผ่าน NVDR 1.7 หมื่นล้านบาท โดยมี 10 หุ้นแรก ต่างชาติซื้อสะสมมากสุด คือ KTB ,ADVANC ,TTB ,CPALL ,CBG ,TRUE ,SAWAD ,SCC ,MINT ,GPSC
สุดท้ายที่ SET INDEX 1300 จุด มี VALUATION ที่ถูกมาก P/E 68F 13.9 เท่า (อิง EPS 92 บาท/หุ้น) PBV 1.28 เท่า (-1.5 SD), DIVIDEND YIELD 68F 4.0%, PRICE/SALE 0.88 เท่า ถือเป็นจังหวะในการสะสมระยะกลางยาว
Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์