"Domestic Play"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "สร้างฐาน" ต้าน 1292/1300 จุด รับ 1276/1270 จุด ดัชนี S&P500 บวก +0.39% แม้จีนยังตอบโต้สหรัฐฯจะตรวจสอบนโยบายของ Apple แต่บ่งชี้ตลาดซึมซับความเสี่ยงสงครามการค้าในระดับเชิงต่อรอง / เชิงสัญลักษณ์แล้ว ผสาน จิตวิทยาบวก US Bond Yield 10 ปี ลงแรง -9 bps ทำให้ปัจจัยต่างประเทศเป็นกลาง-บวกอ่อนๆต่อภาพลงทุน ด้านภายในวานนี้ตลาดหุ้นปรับลงจากปัจจัยเฉพาะตัวกรณีเกณฑ์ใหม่ดัชนี SET50 และ SET100 กำหนดหุ้น 1 บริษัทมีน้ำหนักต่อดัชนีไม่เกิน 10% ซึ่งกระทบ DELTA แต่น้ำหนักใน SET50 ยังสูง 12.2% ทำให้ยังน่าจะมีแรงขายต่อ แต่หุ้นอื่นที่เม็ดเงินถูกกระจายออกไปที่ปรับตัวลดลงตาม คาดเริ่มฟื้นตัวได้ ผสาน Fund Flows เริ่มซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง ตั้งแต่ SET ลงต่ำกว่า 1300 จุดที่เป็นโซน Value ที่มี Equity Risk Premium > Avg + 1 S.D. คาดช่วย SET ค่อยๆสร้างฐานเพื่อฟื้นตัวระยะถัดไป หุ้นนำ คือ หุ้น Big Cap ที่เม็ดเงิน DELTA มีโอกาสสลับเข้าลงทุน หุ้น Bond Yield ทั้งนอก+ใน (วันนี้คาดเงินเฟ้อยังออกมา < ดอกเบี้ยนโยบาย) แกว่งลงหนุน วันนี้แนะนำ KTB (เก็งโอกาส Treasury Stock), GULF, MTC, KTB เด่น
Daily outlook: "สร้างฐาน" ต้าน 1292/1300 จุด รับ 1276/1270 จุด
What happened around the world?
(*/+) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นต่อหลังตัวเลขภาคบริการสหรัฐ ISM ต่ำคาด หนุนโอกาสลดดอกเบี้ยฯ อิง ดัชนี Dow jones +0.71%d-d ดัชนี Nasdaq +0.19%d-d S&P500 +0.39% โดยดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นเกือบทุก Sector ยกเว้น ICT, Consume discretionary Materials ที่ปรับลง ส่วนกลุ่มที่ปรับขึ้นหลักๆ คือ Real estate, IT, Financial ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวเด่นคือ NVIDIA +5.4%, Broadcom +4.3% Alphabet -7.3% งบต่ำคาด และบริษัทเปิดเผยรายได้ธุรกิจคลาวด์ที่ต่ำกว่าคาดในงวด 4Q24 และเปิดเผยแผนการลงทุนด้าน AI ในปีนี้สูงถึง 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ Apple -0.14% หลังจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านการแข่งขันทางการค้าของจีนจะดำเนินการตรวจสอบนโยบายของแอปเปิ้ลและค่าธรรมเนียม App Store ฯลฯ
(*) US Econ ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาผสมผสาน ฝั่งตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง แต่ภาคบริการอ่อนแอ 1. )ADP เผยการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯ เดือนม.ค. +1.83 แสนราย สูงกว่าตลาดคาดที่ 1.5 แสนราย prev. 1.76 แสนราย 2.) ISM เผย ดัชนีภาคบริการของสหรัฐฯ เดือน ม.ค.ปรับตัวลงสู่ระดับ 52.8 จุด ใน prev. 54.0 ในเดือน ธ.ค. 3.) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ + 24.7% สู่ระดับ 9.84 หมื่นล้านดอลลาร์ ในเดือนธ.ค. 2567 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี
(*) US labor Monitor : 7 ก.พ. ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ม.ค. คาด 1.5 แสนราย vs prev. 2.56 แสนราย และอัตราการว่างงาน ม.ค. คาด 4.1% เท่าเดือนก่อนเราประเมินความเป็นไปได้ที่จะเห็นภาพดีกว่าตลาดคาดได้ จากสัญญาณยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกตลอด ม.ค. 25 ที่แกว่งตัวกรอบ 2.01-2.23 แสนราย ขณะที่ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง ลดต่ำลงจากสิ้นเดือน ธ.ค. 24 ที่ 1.91 ล้านรายมาอยู่ในกรอบ 1.84-1.89 +/- ล้านราย แต่ยังอยู่ในระดับที่ไม่เกินกว่า 2.0 แสนตำแหน่ง สะท้อนภาพการจ้างงานสหรัฐฯ สมดุล บ่งชี้ภาพ Goldilocks to Soft Landing ของสหรัฐฯ และคาดหนุนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง
(*) Fed Speak 2 ท่านที่เป็นประธาน Fed ให้ความเห็นต่อทิศทางดอกเบี้ยเป็นกลาง(Neutral) ต่อตลาดคือ 1.)Thomas Barkin ประธาน Fed สาขา Richmond (Voter) เผยยังคงมุมมองมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในปีนี้ แต่ประเมินมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรครั้งใหม่ รวมทั้งนโยบายคนเข้าเมือง และนโยบายอื่น ๆ ของประธานาธิบดี 2.. คุณ Austan Goolsbee ประธาน Fed สาขา Chicago (Voter) ประเมินห่วงโซ่อุปทานจํานวนหนึ่ง คาดจะได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากรคาดจะมีผลกระทบต่อเงินเฟ้อ
(*/-)China Econ : ตัวเลขเศรษฐกิจจีน ดัชนี PMI ภาคบริการ Caixin ในเดือน ม.ค. อยู่ที่ระดับ 51.0 จุด (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ระดับ 52.4 จุด)
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ แนวโน้มเป็นขาลงชัดอิง อายุ 2 ปีปรับลง -2 bps อยู่ที่ 4.189% (เป็นฐานแนวรับ หากหลุดมีโอกาสเป็นขาลงระยะกลาง แนวรับถัดไปบริเวณ 4.0 +-) และอายุ 10 ปี -9 bps อยู่ที่ 4.42% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน JMT, MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF) ส่วน Dollar Index อ่อนค่าต่อเนื่องลงมาที่ 107.4 จุด
(-) Oil : น้ำมันดิบ Brent -1.93%d-d ปิดที่ USD 74.73/barrel น้ำมันดิบ West Texas -2.30%d-d ปิดที่ USD 71.03/barrel. แรงกดดันมาจาก เนื่องจากสต็อกน้ํามันดิบและน้ํามันเบนซินของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด อิง สต็อกน้ำมันดิบเพิ่ม 8.6 ล้านบาร์เรลมากกว่าตลาดคาดที่ 2.4 ล้านบาร์เรล ส่งสัญญาณถึงความต้องการที่อ่อนแอลง ในขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าครั้งใหม่ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทําให้เกิดความกลัวการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนลงมองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP
(-) ยาง TOCOM -2.25%d-d ปิดที่ 374.1JPY/kg (ต่ำสุดตั้งแต่ 20 มค 25) มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มยาง อาทิ STA, NER
(*/-) Steel price เหล็กเส้น -1.93%d-d ปิดที่ 458 CNY/MT เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเชื่อมโยงเหล็ก อาทิ GLOBAL, DOHOME
What happened in Thailand?
(-) SET Index : SET Index วันทำการล่าสุด ผันผวนปิดลบ -14.3 จุด หรือ -1.1% นักลงทุนเทขายหุ้น Big Cap ที่มีปัจจัยลบเฉพาะตัวกดดันดัชนี Sector ที่ปรับลงกดดัชนี กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA) จิตวิทยาลบจากข่าว ตลท. เตรียมปรับเกณฑ์น้ำหนักในดัชนี SET50/100 และ SET50FF/100FF ใหม่ โดยจะจำกัดน้ำหนักหุ้นรายตัวไม่ให้เกิน 10% ของแต่ละดัชนี ทีมกลยุทธ์ของหลักทรัพย์กรุงศรีฯ ประเมิน DELTA จะได้รับผลกระทบจากประเด็นนี้ เนื่องจากเป็นเพียงหลักทรัพย์เดียวที่มีน้ำหนักใน SET50/100 เกิน 10% กลุ่มพลังงาน (GULF, BGRIM, GPSC) ความเสี่ยงจากกฏระเบียบของรัฐยังกดดันหุ้นโรงไฟฟ้าโดยเฉพาะข้อเสนอการปรับลดค่าไฟต่อหน่วย ในขณะเดียวกันวันนี้มีจิตวิทยาลบจากข่าวรัฐสั่งระงับการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับพม่า กลุ่มหนุน คือ กลุ่มขนส่ง (AOT) เป็นหุ้นได้ผลบวกที่ปรับเกณฑ์ SET50/100 และภาพท่องเที่ยวช่วงต้นปีเป็นบวก กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE) กระบวนการประมูลคลื่นกลางปีคืบหน้า กสทช. เตรียมรับฟังความเห็นสาธารณะเกณฑ์ประมูลคลื่น
(*/+) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุด เงินไหลเข้า ซื้อหุ้น +16.5 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +202.9 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long -6,914 สัญญา เงินบาทแข็งค่าสู่บริเวณ 33.6+/- บาท
(*/+) Digital Wallet: รมช.คลัง เตรียมประชุมอนุกลั่นกรองฯ ลุยแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต เฟส 3 ก่อนชงบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ สรุปไทม์ไลน์ ภายในก.พ.นี้ คาดเริ่มจ่าย 2Q25F หลังระบบพัฒนาเสร็จแล้ว ประเมินบวกแนวโน้มเศรษฐกิจต่อเนื่อง โดยงวด 1Q25 เป็นภาพนักท่องเที่ยวคึกคัก และมีมาตรการกระตุ้นรัฐฯ อาทิ ไร่ละพัน มาตรการ Easy E-Receipt และมาตรการ Digital Wallet เฟส 2 ขณะที่งวด 2Q25 นโยบาย Digital Wallet เฟส 3 ที่น่าจะมีขนาดใหญ่กว่ามาตรการงวด 1Q25 ส่วนงวด 2H25 เราคาดโครงการลงทุนรัฐฯ ที่ ครม. อนุมัติ จะทยอยเปิดประมูลและเริ่มลงทุน โดยรวมประเมินภาพบวกต่อหุ้น Domestic โดยเฉพาะธนาคาร เน้น KTB, SCB, KBANK ค้าปลีก เน้น BJC ที่รับประโยชน์ Digital Wallet สูง ขณะที่ไม่มีประเด็นกดดันเฉพาะตัว
(*/+) TH Inflation: วันนี้ (6 ก.พ.) เงินเฟ้อ CPI ม.ค. 25 เงินเฟ้อทั่วไป ตลาดคาด 1.3%y-y, +0.1%m-m vs prev. +1.2%y-y, -0.18%m-m เงินเฟ้อพื้นฐาน ตลาดคาด +0.82%y-y, vs prev. +0.79%y-y เราประเมินมีโอกาสใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด อิงราคาน้ำมันเฉลี่ย ม.ค. 25 ค่อนข้างนิ่งบริเวณ 75 +/- เหรียญฯ ใกล้เดือนก่อนและช่วงเดียวกันปีก่อน เงินเฟ้อที่บวกขึ้นน่าจะเป็นสัญญาณเศรษฐกิจไทยที่ค่อยๆฟื้นตัว โดยรวมจะเป็นภาพชี้นำความเชื่อมั่นการฟื้นตัวเศรษฐกิจ หนุนหุ้น Domestic ขณะเดียวกัน ระดับเงินเฟ้อที่ยังต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ยังหนุน Real Yield หนุน BOT ยังมีช่องว่างสำหรับการลดดอกเบี้ยได้ในกรณีจำเป็น โดยรวมเป็นภาพทางบวกต่อตลาดหุ้น
(*) TH Tourism: รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยรัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ในรูปแบบแบ่งจ่ายระหว่างนักท่องเที่ยวและรัฐบาล ในสัดส่วน 50 ต่อ 50 หรือจ่ายคนละครึ่งของค่าโรงแรมที่พัก คาดมีผลช่วงนอกฤดูกาล เพื่อรักษาโมเมนตัมภาคท่องเที่ยว กรณีดังกล่าว บวกต่อหุ้นที่มีฐานธุรกิจโรงแรมในไทยสัดส่วนสูง ได้แก่ AWC (100%) ERW (88%) CENTEL (72%) SHR (18%) และ MINT (12%)
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวระยะสั้นมีแนวโน้มถูกหักล้างจากภาพนักท่องเที่ยว 4 ก.พ. 25 อิงข้อมูลสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่แผ่วเหลือ 1.09 แสนคน แผ่วลงจากช่วง 1-3 ก.พ. ที่เป็นช่วงท้ายเทศกาลตรุษจีนซึ่งสูงเฉลี่ยวันละ 1.24 แสนคน กลยุทธ์ รอหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว การบิน ย่อตัวลงก่อน ค่อยหาจังหวะสะสมอีกครั้ง
(*) SET Index Capped Weight: ตลาดหลักทรัพย์กำลังรับฟังความคิดเห็นกรณีปรับปรุงวิธีคำนวณดัชนี SET50 และ SET100 เพื่อลดผลกระทบของดัชนีจากหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ ทั้งนี้ ในเบื้องต้นการเสนอรับฟังความคิดเห็น ตลาดฯ มีแผนจะจำกัดน้ำหนักของ 1 หลักทรัพย์ในดัชนี SET50, SET100, SET50FF และ SET100FF ไม่เกิน 10% ของมูลค่าตลาดของดัชนี
อิงตามกรอบข้อเสนอเบื้องต้น ประเมินหลักทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบเชิงลบ ใน SET50 และ SET100 ได้แก่ DELTA คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลออกจากกองทุน Passive fund ราว +/-1600 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบัน DELTA มีน้ำหนักใน SET50 และ SET100 ที่ราว 13% และ 11% ตามลำดับ
หลักทรัพย์ที่ได้ผลบวกเด่น (อิงจากโอกาสที่จะมี Passive fund เข้าซื้อกรณีปรับน้ำหนักตามเกณฑ์ใหม่ > 50 ล้านบาท) ได้แก่ PTT, ADVANC, AOT, GULF, PTTEP, CPALL, SCB, TRUE, KBANK, BDMS, KTB
กลยุทธ์แนะนำระยะสั้นหลีกเลี่ยงการเก็งกำไรใน DELTA แม้ราคาหุ้นวานนี้ที่ดิ่งแรง น่าจะสะท้อนความเสี่ยงไประดับหนึ่งแล้ว ขณะที่น้ำหนักที่มีดัชนีล่าสุดก็ลดต่ำลงแล้ว โดยใน SET50 และ SET100 เหลือ 12.2% และ 11% (vs วานนี้ 13% และ 11%) และจับจังหวะเก็งกำไรในหุ้นได้ประโยชน์ เลือก PTT, ADVANC, AOT, GULF
(*) To monitor: สัปดาห์นี้ปัจจัยภายในติดตาม
1.) 6 ก.พ. เงินเฟ้อ CPI ม.ค. 25 เงินเฟ้อทั่วไป ตลาดคาด +1.3%y-y, +0.1%m-m vs prev. +1.2%y-y, -0.18%m-m เงินเฟ้อพื้นฐาน ไม่มีคาด vs prev. +0.79%y-y
2.) 7-13 ก.พ. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.ค. 25 ไม่มีคาด vs prev. 57.9 จุด
3.) เข้าสู่ช่วงรายงานกำไรกลุ่ม Real Sector งวด 4Q24 ทั้งนี้ หุ้นหลักๆ ที่จะรายงานกำไร ได้แก่ ADVANC, THCOM, OKJ
Daily Strategy : KTB, GULF, MTC
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "สร้างฐาน" หุ้นเด่นวันนี้ เราประเมินอยู่ใน 2 กลุ่มหลักๆ คือ 1.) การปรับลดน้ำหนัก DELTA ที่ยังน่าจะเกิดขึ้นต่ออีกระยะ คาดว่าหุ้น Big Cap ที่เม็ดเงินมีโอกาสสลับเข้าไปลงทุน อาทิ PTT, ADVANC, AOT, GULF, PTTEP, CPALL, SCB, TRUE, KBANK, BDMS, KTB น่าจะขึ้นมาประคองตลาด 2.) กลุ่มที่มีแรงส่ง US Bond Yield อายุ 10 ปีปรับลง จากความเห็นคุณ Trump และรมว.คลัง Bessent คาดนโยบายต่างๆของรัฐบาลที่ดำเนินการ อาทิ การเพิ่มอุปทานน้ำมัน จะช่วยเงินเฟ้อและลดระดับ US Bond Yield ได้ในที่สุด ขณะที่ภายในวันนี้คาด Yield มีโอกาสตอบรับภาพเงินเฟ้อที่ยังต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบาย อาทิ โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
กลุ่มที่คาดรายงานกำไร 4Q24F ออกมาดี ขยายตัว y-y q-q (ADVANC, AMATA, BTS, ERW, CRC, HMPRO , TRUE, OKJ)
กลุ่มที่คาดมีโอกาสซื้อหุ้นคืน (PTT , SCB , KBANK , KTB , BBL , PTTGC , TOP BCP)
• FEB25 Best Picks: ADVANC, AMATA, BA, BTS, ERW, KBANK, TTB
• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
Strategy Update : โอกาสลงทุนจากกระแสหุ้นทุนซื้อคืน (Treasury Stocks)
· กระแสการซื้อหุ้นคืนรายบริษัท (Treasury Stocks) ของตลาดหุ้นไทย นับจากนี้มีแนวโน้มคึกคักขึ้น โดยเฉพาะฝั่งหุ้น Big-Mid Cap หลัง TTB นำร่องประกาศซื้อคืน 3 ปีปีละ 7.0 พันล้านบาท กรอบวงเงินรวม 2.1 หมื่นล้านบาท ผสาน SET Index ระดับดัชนีปัจจุบันอยู่ในโซนลงทุนดึงดูดเม็ดเงินลงทุนระยะกลาง-ยาว
· ทีมกลยุทธ์ ประเมินจากข้อเสนอแนะอดีตนายกฯ ในงานสัมมนาล่าสุด 1 ในแนวทางที่ช่วยเรียกคืนความเชื่อมั่นตลาดคือการซื้อหุ้นคืน(Treasury Stock) KSS ทำการคัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสเห็นการประกาศซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) ในระยะถัดไป โดยใช้เกณฑ์
1.)เป็นหุ้น Undervalue ที่ซื้อขายต่ำมูลค่าทางบัญชี หรือมี PBV ต่ำกว่า 1.0 เท่า คือ
2.) มีสภาพคล่องมากพอซื้อคืน > 5.0% ของมูลค่าตลาดหุ้น (Market Cap) และมีสภาพคล่องเข้าเกณฑ์ของตลาดฯ 3.) มีสภาพคล่องเพียงพอชำระหนี้ครบกำหนดในอีก 1 ปี (vs ตลาดกำหนด6 เดือน)
4.)มีกำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรรในงบเดี่ยวเพียงพอรองรับการซื้อคืน
· กลยุทธ์การลงทุน : แนะนำลงทุนในหุ้น Theme "Treasury Stock Plays" โดยเลือกหุ้นที่มีศักยภาพ และผ่านเข้าเกณฑ์ดังกล่าวข่าวต้น และมีปัจจัยหนุนอุตสาหกรรม พบว่ามีหุ้น Big Cap หลักๆ ในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร ปิโตรเคมีที่มีโอกาสเห็นการซื้อคืนระยะถัดไป อาทิ PTT, SCB, KBANK, KTB , BBL, PTTGC, TOP, BCP
Strategist Comment: Deepseek
กระแสข่าว AI Application จากประเทศจีน "Deepseek" ที่ทำงานได้ใกล้เคียงผู้นำตลาด โดยไม่จำเป็นต้องใช้ชิปประมวลผลสูง ทำให้ต้นทุนพัฒนาต่ำกว่า
โดยรวมประเมินนำมาสู่โอกาสเห็นภาพ AI Adoption ทั่วโลกเร่งขึ้น แต่สร้างความเสี่ยงหุ้น Semiconductor โลกที่จำหน่ายชิปประมวลผลระดับสูงที่อาจมีผลกระทบต่อยอดขาย จึงน่าจะเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นใน 1.) กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไทย ให้เกิดภาพชะลอลงทุนระยะสั้น อย่างไรก็ตาม KSS ประเมินผลกระทบจำกัด เพราะบริษัทชิ้นส่วนไทยไม่ได้มีสินค้าหรือรายได้ชิปประมวลผลสูง อาทิ กรณี DELTA เน้นจำหน่าย Power Supply ส่วนอีกกลุ่มที่อาจจะเห็นการชะลอลงทุน คือ 2.) กลุ่มโรงไฟฟ้า อาจจะมีความกังวลการใช้ไฟฟ้าต่ำลงตามรูปแบบชิปประมวลผลสูงลดลง อย่างไรก็ตาม ภาพบวกที่ AI Adoption จะเพิ่มขึ้นหนุนความต้องการโรงไฟฟ้ารวมถึงอุปกรณ์ Power Supply ในท้ายที่สุดอยู่ดี กลยุทธ์รอตั้งรับเมื่อหุ้นอ่อนตัวรับความกังวล
ขณะที่กลุ่มคาดได้ประโยชน์จากกรณีดังกล่าว คือ กลุ่มที่ผู้ใช้งาน AI ที่มีทางเลือกมากขึ้น ต้นทุนลดลง คาดนำมาสู่ปริมาณการใช้ข้อมูลในโครงข่ายโทรคมนาคมเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด ในส่วนกลุ่มสื่อสาร เน้น ADVANC และกลุ่ม Digital Tech Consult ที่ปริมาณงานที่ปรึกษาดิจิตอลจะเพิ่มขึ้นตาม AI Adoption เน้น BE8, BBIK
Strategy Update: MSCI Rebalance
MSCI Rebalance รอบเดือนก.พ. จะประกาศรายชื่อวันที่ 11 ก.พ.มีผลราคาปิดวันที่ 28 ก.พ. เราคาดหุ้นเข้า/ออก ดัชนี MSCI ACWI ดังนี้
หุ้นเข้า: ไม่มี
หุ้นออก: TOP (medium conviction)
Strategy Update : Dividend Plays 2H24
ช่วงปลายเดือน ก.พ. - พ.ค. 2025 จะเข้าสู่เทศกาลจ่ายปันผลประจำปี 2024 ของบริษัทจดทะเบียน ทีมกลยุทธ์ KSS จึงได้รวบรวมหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง) จากคาดการณ์ของ KSS และ Consensus เพื่อนำมาคัดสรรหุ้นปันผลสูง (High Dividend) คือ Dividend Yield มากกว่า 3.5% สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะ 1 - 2 เดือนแรกของปี ใน "Theme Dividend Play"
Key Ideas : KSS มีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นปันผลในช่วงต้นปีเนื่องจาก
o KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นปันผล(SETHD) ย้อนหลัง 10 ปี พบว่า SETHD ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. ของทุกปี ผลตอบแทนมักเป็นบวก เดือน ม.ค. ผลตอบแทนบวก 6 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.7%, เดือน ก.พ. บวก 7 ใน 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +0.67%
o SETHD ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของทุกปี (งวด 1Q) ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.85%)
กลยุทธ์ : ในเชิงกลยุทธ์ KSS แนะนำซื้อหุ้นปันผลสูงก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD 2 สัปดาห์แล้วขายวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD (dividend capture) มักจะให้ผลตอบแทนที่ดี ทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการคัดกรองหุ้นปันผลเด่น ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ คือ
1.) เป็นหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผล ช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง)
2.) เป็นหุ้นพื้นฐานที่มีแนวโน้มการเติบโต/กระแสเงินสดมั่นคง /อยู่ใน Theme การลงทุนหลักของ KSS ปี 2025 อาทิ Theme เศรษฐกิจไทยปี 2025F เติบโต อาทิ กลุ่มธนาคาร หรือ อยู่ในอุตสาหกรรม Up Cycle อาทิ Sector ICT หรือ หุ้นที่อยู่ในกลุ่มได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มอสังหา กลุ่มการเงิน ฯลฯ โดยเรียงตามอัตราตอบแทนเงินปันผลจากสูงไปต่ำ
พบว่ามีหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลเด่น 9 บริษัท คือ
หุ้น Big Cap ได้แก่ SCB (TP Max Con 135.0, Yield 2H24F 8.6%), TTB (TP25-2.2,Yield 2H24F 7.2%) HMPRO (TP25-13.5,Yield 2H24F 4.3%) INTUCH (TP25-108,Yield 2H24F 4.2%), ADVANC (TP25-305, Yield 2H24F 3.7%),
หุ้น Mid Cap ได้แก่ AP (TP25-11.8., Yield 2H24F 7.65%), TISCO (TP25-97.0, Yield 2H24F 5.84%), SC (TP25-3.2, Yield 2H24F 5.52%), JMT (TP25-22.8, Yield 2H24F 2.3%),
หุ้นปันผลสูงครึ่งหลังปี 2024 ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, HMPRO,JMT AP, SC, TISCO
โดยทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการศึกษาสถิติหุ้นปันผลเด่น 9 บริษัทดังกล่าวข้างต้น ย้อนหลัง 8 ปี พบว่าหากลงทุนซื้อหุ้นก่อน 2 สัปดาห์และขายวันที่ขึ้น XD พบว่า ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ Return มากที่สุด คือ JMT +5.36%, TTB +4.16%, ADVANC +3.05%, ส่วน SCB, HMPRO, INTUCH, AP, SC, TISCO ผลตอบแทน (Capital Gain) เฉลี่ยอยู่ราว 1% เท่ากับว่า การลงทุนหุ้นกลุ่ม High Dividend ในช่วงเวลาดังกล่าว หลาย ๆ ครั้งนักลงทุนจะมักจะได้รับเงินปันผลฟรี
• BBIK (Buy, TP25F-47): Thanks to the high season, cost efficiency, and the resuming demand for technology consultant, we expect BBIK's earnings in 4Q24F should hit its all-time high of Bt103 (+32% yoy, +17% qoq). This would make the company's net profit in 2024 higher than our expectation by 8%. This would be an upside risk to our earnings forecast of 2025. Maintain BUY with the same TP of Bt47. BBIK remains our top pick as the company expected to have the strongest earnings growth in the sector for 2024 and 2025.
• Hotel (Bullish): We maintain a positive outlook for the hotel sector, premised on the following: (i) earnings would improve yoy and qoq in 4Q24F-1Q25F led by strong tourism activity in Thailand and Maldives; (ii) valuations are attractive, with sector share prices dropping an average of 8% YTD, and counters trading at 1-2 SD below historical multiples. This suggests that investors have overly discounted the sector, pricing in only normal earnings growth and implying that hotels cannot raise room rates beyond 2025, while current indicators showing high-single to double-digit room revenue growth in 1Q25F. We maintain MINT and SHR as our top picks, given their sustained growth prospects and compelling valuations.
• SIRI (Buy, TP25F-2.34): มุมมอง slightly positive ต่อข้อมูลใน meeting จาก i) 2025F business plan ยังถือว่า aggressive กว่ากลุ่มฯ โดยเฉพาะแผนเปิดโครงการใหม่ ทำให้คาด 2025F presale และ transfer target ที่ +5% to +12% เป็นไปได้ ii) ปี 2025F ยังเน้นเปิดโครงการกลุ่ม luxury สัดส่วน 57% ของมูลค่ารวม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ SIRI เชี่ยวชาญ และ weight การเปิดใน 1H : 2H ใกล้เคียงกัน ทำให้โอกาสแย่ง market share ยังจะทำได้ต่อเนื่อง iii) price promotion อาจยังใช้ต่อเนื่อง อาจกระทบ %GPM ให้ลดลงบ้าง แต่อยู่ใน assumption ของเรา iv) IBD/E ยังบริหารจัดการได้ และมีโอกาสลดมาที่ 1.40x-1.50x (จาก 1.70x ใน Sep-24) เราคง TP25F ที่ 2.34 บาท คง BUY และเป็น top pick จากจุดเด่นเรื่องการเป็น first mover ทั้งด้าน product design, การจับ trend ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไวได้ดี และกลยุทธ์สร้าง value-added ในทำเลที่มีการโตสูง ซึ่งเป็นส่วนผลักดันให้ 2025F Norm. profit ทำ record high
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI