Market Wrap-Up
- SET วันที่ 5 ก.พ.68 ปิด -14.28 จุด อยู่ที่ 1,286.74 จุด มูลค่าการซื้อขาย 42,226 ลบ. พอร์ตโบรกขาย 603 ลบ. สถาบันขาย 296 ลบ. รายย่อยซื้อ 346 ลบ. และต่างชาติซื้อ 553 ลบ. NVDR มียอดซื้อสุทธิ 2,395 ลบ. โดยมียอดซื้อในหุ้น CPALL,DELTA,BDMS,AOT,TOP และยอดขายหุ้น KBANK,INTUCH,PRM,EA,OSP มูลค่า Short Sales อยู่ที่ 1,857 ลบ. หุ้นที่มี%ปริมาณ Short สูงคือ JAPAN10001,DCC,TGE โดยนักลงทุนต่างประเทศมีสถานะ Short ใน Index Futures จำนวน 6,845 สัญญา ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีต่างชาติ Short สุทธิรวม 6,845 สัญญา นักลงทุนต่างชาติซื้อพันธบัตรจำนวน 6,820 ลบ.
- ตลาดหุ้นสหรัฐ DJIA +0.71%, S&P500 +0.39%, Nasdaq +0.19% โดยกลุ่มอสังหาฯ +1.59%, เทคโนโลยี +1.57% ขณะที่กลุ่มบริการสื่อสาร -2.79% หลัง Alphabet -7.3% รับรายได้จากธุรกิจคลาวด์ต่ำกว่าคาด ส่วน ADP เผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเอกชน ม.ค. เพิ่มขึ้น 183,000 ราย สูงกว่าคาดที่ 150,000 ราย ตลาดหุ้นยุโรป Stoxx600 +0.47% นำโดยกลุ่มบริการสุขภาพ +2.1% หลัง Novo Nordisk +4.5% รับกำไร Q4/67 ดีกว่าคาด
Market View
- ตลาดหุ้นสหรัฐวานนี้ได้แรงหนุนจากกลุ่มอสังหาฯ ,เทคโนโลยี และกลุ่มผู้ผลิตชิปที่เริ่มฟื้นตัว หลังจากถูกกดดันจากข่าวการเปิดตัวของ DeepSeek ที่มีต้นทุนการพัฒนาที่ต่ำกว่า ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจวานนี้ ISM เผยดัชนี PMI ภาคบริการสหรัฐ ม.ค.ชะลอตัวอยู่ที่ 52.8 & ธ.ค. 54.0 และยอดขาดดุลการค้าสหรัฐ ธ.ค. +24.7% สูงสุดในรอบ 3 ปี ส่งผลให้นักลงทุนคาดหวังเฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยในการประชุม มิ.ย. โดยโธมัส บาร์กิ้น ปธ.สาขาริชมอนด์ หนุนให้ลดดอกเบี้ยปีนี้ แต่ยังมีความไม่แน่นอนต่อนโยบายของทรัมป์ ค่ำวันนี้ติดตามตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์คาด 214,000 & สัปดาห์ก่อน 207,000 ราย และความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดหลายท่าน
- ตลาดหุ้นยุโรปวานนี้ได้แรงหนุนจากกลุ่มบริการ หลัง Novo Nordisk +4.5% ตอบรับกำไร Q4/67 ดีกว่าคาด มาจากยอดขายยาลดน้ำหนักเวโกวีเพิ่มขึ้น 2 เท่า นักลงทุนรอการรายงานกำไร Q4/67 บจ.ใน Stoxx600 ซึ่ง 67 บริษัทที่ส่งงบแล้ว 53.7% รายกำไรดีกว่าคาด ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยที่ 54% ส่วนค่ำวันนี้ติดตามผลการประชุม BOE อังกฤษคาดจะลดดอกเบี้ยลง 0.25% และวันศุกร์ ECB หารือเกี่ยวแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย Neutral Rate
- ตลาดหุ้นเอเชียวานนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้ -0.65%, ฮั่งเส็ง -0.93% หลังจีนจะตอบโต้สหรัฐด้วยการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐอัตรา 10 – 15 % ในวันที่ 10 ก.พ. โดยล่าสุดท่าทีของ ปธ.ทรัมป์เผยจะยังไม่รีบเจรจากับจีนในประเด็นดังกล่าว ส่งผลให้ความเสี่ยงสงครามการค้าสหรัฐ – จีน สูงขึ้น ส่วนดัชนีนิเกอิวานนี้ +0.09% ถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มส่งออก หลังค่าเงินเยนแข็งค่าอยู่ที่ 152.5 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ
- ดัชนี SET วานนี้ปิด -1.1% ปริมาณการซื้อขาย 4.2 หมื่น ลบ. สถาบันขาย 296 ลบ. พอร์ตโบรกขาย 603 ลบ. รายย่อยซื้อ 346 ลบ. และต่างชาติซื้อ 553 ลบ. โดยดัชนีปรับลดลงจากแรงขาย Delta วานนี้ -6.9% ส่งผลลบต่อดัชนี -8.58 จุด หลัง ตลท.เตรียมใช้เกณฑ์ Cap Weight หุ้นรายตัวใน SET50/100 ไม่ให้มีน้ำหนักเกิน 10 % ซึ่งส่งผลลบต่อ Delta ที่ปัจจุบันมี Weight ที่ 13% ดังนั้นกองทุน Passive Fund ที่อ้างอิงกับ SET50/100 จำเป็นต้องปรับพอร์ตลดน้ำหนักการถือ Delta ลงด้วย ส่วนกลุ่มค้าก็ปรับลดลง จากแรงชาย CPALL -38% หลังยังไม่มีความชัดเจนต่อประเด็นการร่วมซื้อกิจการ Seven & I Holding ของญี่ปุ่น ทางด้านข้อมูลเศรษฐกิจวานนี้ กกร.คาด GDP ไทยปีนี้จะขยายตัวในกรอบ 2.4 – 2.9% โดยมีปัจจัยเสี่ยงต้องระวัง คือ ภาวะสงครามการค้า, ค่าเงินบาทแข็งค่า, อุปสงค์ในประเทศชะลอตัว และสินค้าต่างประเทศราคาถูกที่มาแย่งตลาดในประเทศ ประเด็นที่ต้องติดตามวันนี้ ก.พาณิชย์รายงาน CPI ไทย ม.ค. คาด 1.3% & ธ.ค.1.23% รวมถึงรายงานงบ Q4/67 ของ OKJ, ADVANC, THCOM
Daily Strategy
- ประเมินแนวรับดัชนี SET ที่ 1,280 แนวต้าน 1,300 คาดดัชนีทรงตัวรอผลการเจรจาระหว่างสหรัฐ & จีน ในช่วงก่อนที่จีนปรับขึ้นภาษีสหรัฐในวันที่ 10 ก.พ. รวมถึงรายงานงบกลุ่ม ICT ในช่วงปลายสัปดาห์ แนะนำพักเงินในกลุ่มจ่ายปันผลสูง เช่น SIRI,AP,MC,SCB,KTB,INTUCH
- SNNP* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 15.60 บาท) แนวโน้มกำไร 4Q67 จะกลับมาฟื้นตัว QoQ, YoY จากช่วง high season โดยคำสั่งซื้อในเวียดนามที่เป็นปัญหาคาดสามารถเห็นการฟื้นตัว QoQ จากการปรับโครงสร้าง distributor ส่วนการขยายตลาดในฟิลิปปินส์จะทำได้ดีขึ้นหลังตั้ง distributor ใหม่ ด้าน GPM คาดว่ายังทำได้ดีในระดับเกิน 30% ทั้งนี้ในปี 68 ปัจจัยหนุนจะมาจากคาดการณ์รายได้ในเวียดนามจะกลับมาเติบโต และเพิ่มการขยายตลาดฟิลิปปินส์เข้ามาชดเชย เบื้องต้น consensus คาดกำไรสุทธิปี 67 ที่ 661 ล้านบาท (+4%YoY) และปี 68 ที่ 730 ล้านบาท (+10%YoY)
- SNPS* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 6.33 บาท) กำไรสุทธิ 9M67 อยู่ที่ 56 ลบ. +82%YoY ตามรายได้ขายที่ +22%YoY เพิ่มจากรายได้สารสกัดที่มีการขยายฐานลูกค้าไปกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง และรายได้ ODM ที่โตจากฐานต่ำในปีก่อนที่ผลิตภัณฑ์หมด Product Life Cycle ซึ่งในปี67 ได้มีการพัฒนาสินค้าใหม่ๆออกมาให้ลูกค้าแล้ว ด้านการดำเนินงานช่วง 4Q67 และปี68 คาดว่าจะยังมีโมเมนตัมการสั่งซื้อเข้ามาต่อเนื่องโดยปี68 คาดเปิดตัวสินค้าใหม่อีก 10 รายการ ส่วนระยะกลาง-ยาวยังจะมีปัจจัยหนุนจากการลงทุนเพิ่มเติมในเทคโนโลยีการสกัดขั้นสูง Phytoextraction Technology กำลังผลิตที่ 2.8 หมื่น/ปี คาดเริ่มใช้งานในปี69 และ รายได้จากการขอทุนวิจัยจากหน่วยงานภายนอก
Daily Key Factors
Oil Update(-) WTI มี.ค. -$1.67 อยู่ที่ $71.03 / บาร์เรล, Brent เม.ย. -$1.59 อยู่ที่ $74.61/บาร์เรล โดย EIA รายงานสต็อคน้ำมันดิบสหรัฐสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 8.6 ล.บาร์เรล & คาดจะเพิ่มขึ้น 2.6 ล.บาร์เรล กอปรปธ.ทรัมป์ออกคำสั่งให้ รมว.คลังสหรัฐใช้ ม.กดดันทางเศรษฐกิจขั้นสูงสุดกับอิหร่าน เพื่อลดการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน
Gold Update(+) Comex Gold เม.ย.+$17.20 อยู่ที่ $2,893 /ออนซ์ เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หลังปัจจัยเสี่ยงสงครามการค้าสหรัฐ & จีนเพิ่มขึ้น ขณะที่ Dollar Index อ่อนค่า -0.35% อยู่ที่ 107.578
Fund Flow(-) Fund Flow ต่างชาติในตลาด TIP วานนี้ ขายสุทธิ -8.02 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซื้อหุ้นไทย +16.46 ล.ดอลลาร์สหรัฐ ขายหุ้นอินโดฯ -30.08 ล.ดอลลาร์สหรัฐ และซื้อหุ้นฟิลิปปินส์ +5.6 ล.ดอลลาร์สหรัฐ
(0) ค่าเงินบาทเช้านีแข็งค่าอยู่ที่ 33.54 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(0) ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ลดลงอยู่ที่ 4.419 %
(+) ดัชนี BDI วานนี้ +18 จุด อยู่ที่ 771
(-) BitCoinเช้านี้ -1.17% อยู่ที่ 97,147 ดอลลาร์สหรัฐ
Economic Calendar
ในประเทศ
สัปดาห์ที1 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทย
(ก.พ.)
ต่างประเทศ
03 ก.พ. EU ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) (ปีต่อปี) (ม.ค.)
US ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต (ม.ค.)
04 ก.พ. US ตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่จาก JOLTS (ธ.ค.)
05 ก.พ. US ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการบริการ (ม.ค.)
US การเปลี่ยนแปลงการจ้างงานภาคนอกภาคเกษตรกรรม(ADP) (ม.ค.)
06 ก.พ. US จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก
07 ก.พ. US รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง (เดือนต่อเดือน) (ม.ค.)
US การจ้างงานนอกภาคการเกษตร (ม.ค.)
US อัตราการว่างงาน (ม.ค.)
Theme Strategy
Theme หุ้นเด่น 1H68 เน้น หุ้นในธุรกิจใหม่ที่เป็น Trend ในอนาคต อย่าง Data Center รวมถึงหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรปกติ 4Q67-1Q68 คาดออกมาดี และ หุ้นที่รับความผันผวนได้ดีจากความเสี่ยง Trade War/ธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มชะลอการลดดอกเบี้ย
(1) กลุ่มธนาคารที่มี Sentiment บวกจากธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มชะลอการลดดอกเบี้ย/มี Yield สูง BBL, KTB, KBANK, TISCO*, TTB*
(2) กลุ่มการอุปโภคบริโภค ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ CPALL, CPAXT*, CRC, NSL*, TNP*, OSP*
(3) กลุ่มโรงพยาบาล BDMS, BH, PR9*, SKR
(4) กลุ่มมีโอกาสเกี่ยวข้องกับการลงทุน Data Center/ธุรกิจ Trend อนาคต ADVANC,INTUCH*,TRUE,GULF*,WHA,AMATA
(5) กลุ่มสินค้า IT ที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยี(เช่น AI function/ 4G to 5G) SYNEX*, ADVICE*, SIS*
(6) กลุ่มที่มี Sentiment บวกจาก Entertainment Complex BTS*, VGI*, MBK*, BA
**หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ที่ยังไม่อยู่ใน Coverage ของฝ่ายวิจัย
Asset Allocation: Equity 55% Fixed Income 30% Alternative Investment etc. Gold 10% Cash 5%
Today Fundamental Research: -
Monthly Portfolio January 2025: CPALL, SYNEX*, CRC, WHA, SHR*
Analysts
Apichai Raomanachai
Fundamental and Technical Investment Analysis ID No. 002939
Tel 02-829-6999 Ext 2200
Email : apichai.ra@kfsec.co.th
Nopporn Chaykaew
Fundamental Analysis ID No. 043964
Tel 02-829-6999 Ext 2203
Email : noppoen.ch@kfsec.co.th
Nattawat Poosunthornsri
Fundamental Analysis ID No. 087077
Tel 02-829-6999 Ext 2204
Email : nattawat.po@kfsec.co.th