AT THE OPEN (#ATO)
SET Index สร้างฐาน
เลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
Market Strategy
SET Index คาดตั้งฐานตามกรอบ 1300+/-10 จุด ความกังวลต่อสงครามการค้าต่อการตอบโต้ของจีนเชื่อว่าแรงกดดันตลาดหุ้นวันนี้จะลดลง ด้าน Valuation ที่อยู่ในจุดน่าสนใจเป็นปัจจัยจำกัด Downside ยังชอบ SPRC BBIK
จีนประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ในอัตรา 15% สำหรับถ่านหินและ LNG 10% สำหรับน้ำมันดิบและอุปกรณ์การเกษตร ยานพาหนะบางประเภท และประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายากที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมพลังงานสะอาด ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 ก.พ. 68 การตอบโต้ต่อสินค้านำเข้าสหรัฐฯ ข้างต้นคิดเป็นมูลค่า 1.4 หมื่นล้านเหรียญฯหรือคิดเป็นสัดส่วน 8.5%ของมูลค่านำเข้าสหรัฐฯทั้งหมด ซึ่งถือว่าต่ำกว่าเมื่อเทียบกับสหรัฐฯที่ขึ้นภาษีจีนอย่างมาก ผลกระทบยังคงจำกัด ตลาดบางส่วนมองการตอบโต้ของจีนเป็นไปในเชิงสัญลักษณ์มากกว่า จึงเชื่อว่าแรงกดดันต่อ SET Index จะเริ่มลดลง
ตลท. เสนอให้มีการจำกัดน้ำหนักหุ้นรายตัวในดัชนี โดยมีแนวทางใช้วิธีคำนวณ Cap Weight สำหรับหุ้นรายตัวไม่เกิน 10% ในดัชนี SET50/SET100 และควรใช้ใน SET50FF SET100FF ซึ่งจะมีการ Rebalance ในทุกไตรมาส โดยจะเปิดรับฟังความคิดเห็นระหว่างวันที่ 4-17 ก.พ.68 ในมุมมองของเราเชื่อว่าวิธีการ Cap Weight จะเป็นหนึ่งในแนวทางที่สามารถช่วยลดความผันผวนของดัชนี จากหุ้น Market Cap ขนาดใหญ่ตัวใดตัวหนึ่งได้ หากพิจารณา SET50 Index เราคาดว่าจะกระทบต่อ DELTA เพราะ Market Cap ปัจจุบันมีสัดส่วนต่อดัชนีเท่ากับ 13% หากใช้วิธี Cap Weight ที่ 10% สัดส่วน DELTA จะถูกจำกัดเพียง 10% เท่านั้น หากบังคับใช้เราเชื่อว่าทำให้ Passive Fund ลดน้ำหนัก DELTA ลงมาเท่ากับระดับ Cap Weight ซึ่งคาดเม็ดเงินไหลออกที่ 1.48 พันล้านบาท ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์ก็จะเป็นหุ้นทุกบริษัทในดัชนี SET50 Index จากการถูกกระจายน้ำหนักเพิ่มขึ้น โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือหุ้นที่มี Market Cap ขนาดใหญ่ที่สัดส่วนต่อ SET50 ต่ำกว่า 10% โดย 5 อันดับแรกคือ PTT ADVANC AOT GULF PTTEP คาดเม็ดเงินไหลเข้าช่วง 64-114 ล้านบาท
Market Summary
SET Index เปิดบวกช่วงแรกไป 12 จุด ก่อนที่จะค่อยๆ ซึมลงมาพลิกติดลบ 3.37 จุดหรือ 0.26% จากจีนตอบโต้การขึ้นภาษีสหรัฐฯ กลุ่ม Outperform กลุ่่มธนาคาร KBANK +2.5% จากประกาศเป้าหมายทางการเงินปี 68 KTB +1.75% กลุ่มไฟแนนซ์ SAWAD +3.4% TIDLOR +2.4% เก็งงบ 4Q67 กลุ่ม ICT INTUCH +1.8% จากปันผลสูง กลุ่มที่ Underperform คือ Global Play จากความเสี่ยงสงครามการค้า กลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ -2% กลุ่มบรรจุภัณฑ์ -1.5% กลุ่มปิโตรฯ -1.2% เป็นต้น
DAILY
Stock Pick
การเติบโตของกำไรหลักปีงบ 68 น่าจะได้รับแรงหนุนจากโครงการธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) โครงการย้ายข้อมูลไปยังระบบคลาวด์ และการนำ AI มาใช้มากขึ้น BBIK คาดว่าโครงการที่เกี่ยวข้องกับ AI จะมีสัดส่วนรายได้มากกว่า 50% ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จากประมาณ 20% ใน 3Q67
กำไรหลักใน 4Q67 มีแนวโน้มขยายตัวเกณฑ์ดีจากความต้องการบริการด้านเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งจากภาคธนาคาร ประกันภัย และค้าปลีก ทั้งนี้ BBIK ปิดไตรมาส 3Q67 ด้วยยอด Backlog ที่ 871 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ 355 ล้านบาท มีกำหนดรับรู้เป็นรายได้ใน 4Q67 ซึ่งหมายความว่า รายได้ 4Q67 ที่เราคาดไว้ที่ 410 ล้านบาท (+10% YoY, +5% QoQ) ถูกรองรับโดย backlog แล้ว 87%
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 50.10 บาท
KEY FACTOR
สถานการณ์สงครามการค้าที่ล่าสุด จีนส่งสัญญาณตอบโต้การปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ โดยจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ 10% (บริษัทที่สำคัญเป็นเป้าหมาย อาจขยับเป็น 10-15%) สอบสวนการผูกขาดของ Google ควบคุมการส่งออกแร่ธาตุตั้งเป้าไปที่บริษัทใหญ่ในหลายอุตสาหกรรม
ตลาดหุ้นจีนที่จะกลับมาเปิดทำการหลังหยุดยาวช่วงตรุษจีน ระยะสั้นอาจจะสร้างความผันผวนต่อตลาดหุ้นเอเชีย แต่อย่างไรก็ตาม หากประเมินตลาดหุ้นฮ่องกงที่เปิดมาก่อนหน้า 2 วันทำการ ดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้น +2.79% สะท้อนว่าการตอบรับของตลาดที่อาจโดนผลกระทบโดยตรงถือว่ามีไม่มากนัก และให้น้ำหนักไปที่บทสรุปน่าจะนำไปสู่การเจรจา
ทิศทางกระแสเงินทุนต่างชาติ กลับมาซื้อ +684 ล้านบาท สอดคล้องกับภูมิภาค ASEAN ที่แรงขายกดดันหนักๆ ในช่วงตั้งแต่ต้นปีเริ่มเบาลง
EYES ON
[ในสัปดาห์] การรายงานงบฯ 4Q67
5 ก.พ. Caixin PMI ภาคบริการของจีน, การจ้างงานเอกชน ADP
6 ก.พ. เงินเฟ้อของไทย
7 ก.พ. การจ้างงานนอกภาคเกษตร, อัตราการว่างงาน
นักกลยุทธ์ : ธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์, ชาญชัย พันทาธนากิจ