Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

301

 

ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook

แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ
อัปเดต Sentiment การลงทุนในภูมิภาคจาก Fund Flow
Key Takeaways:

กระแสเงินทุนต่างชาติกลับมาไหลออกอีกครั้ง โดยมียอดขายสุทธิมูลค่า 874 ล้านเหรียญ โดยมีแรงขายหลักในเกาหลีใต้

เซคเตอร์เด่นของภูมิภาคในสัปดาห์ที่แล้วจากการจับสัญญาณด้วย Volume Index ได้แก่ Chemicals ในเกาหลีใต้ และ Bank ในไทย

แรงซื้อในหุ้นกลุ่มธนาคารมีแนวโน้มชะลอตัวลงในอนาคตอันใกล้ เนื่องจาก Volume Index เริ่มเข้าใกล้ระดับ overbought

รายละเอียด:
การติดตามกระแสการลงทุน (fund flows) ใน 5 ประเทศในสัปดาห์ที่ผ่านมา มียอดขายสุทธิ 874 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการพลิกกลับจากยอดซื้อสุทธิที่ระดับ 276 ล้านเหรียญ โดยมี net outflow ใน 3 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ ซึ่งมีเม็ดเงินไหลออกมากที่สุดที่ 785 ล้านเหรียญ ตามด้วย ไทย 85 ล้านเหรียญ และ อินโดนีเซีย 6 ล้านเหรียญ ขณะที่ ฟิลิปปินส์ มีแรงซื้อเล็กน้อย 1 ล้านเหรียญ ส่วน ไต้หวัน ปิดทำการเนื่องในวันตรุษจีน
สำหรับเซคเตอร์เด่นของภูมิภาคจากการจับสัญญาณด้วย Volume Index ได้แก่ Chemicals ในเกาหลีใต้ และ Bank ในไทย อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าแรงซื้อในหุ้นกลุ่มธนาคารในไทยจะเริ่มแผ่วลงในอนาคตอันใกล้ เนื่องจาก Volume Index ได้ปรับตัวเข้าใกล้ระดับ overbought แล้ว
อัปเดต Market-timing Indicator (เฉพาะตลาดหุ้นไทย):

ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับแรงขาย จนทำดัชนี SET หลุดแนวรับสำคัญทางจิตวิทยาที่ 1330 จุด เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสรีบาวด์ ในระยะสั้นจากภาวะ oversold แต่อาจไม่ยั่งยืน เนื่องจาก market-timing indicators กำลังส่งสัญญาณดังนี้:


ดัชนี Composite Short-term ซึ่งเป็นตัวชี้วัดแนวโน้มระยะสั้น แม้จะปรับตัวลงเข้าใกล้ภาวะ oversold แล้ว แต่แรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นของ Overnight Volatility ของ SET ซึ่งอยู่เหนือค่าเฉลี่ยระยะยาว อาจจำกัดช่วงเวลาในการฟื้นตัว (mean reversion) ให้เกิดขึ้นเพียงระยะสั้น ก่อนที่ดัชนีจะกลับมาอ่อนตัวลงอีกครั้งหลังสิ้นสุดการฟื้นตัวทางเทคนิค (technical rebound) ในรอบนี้ ซึ่งเราประเมินแนวต้านไว้ที่ 1340 จุด


นอกจากนี้ ดัชนี Composite Medium-term ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญในระยะกลาง เช่น Medium-term Momentum Index, Medium-term Bull-to-Bear และ Volume Flow Index ต่างปรับตัวลดลง สะท้อนถึงแนวโน้มที่อ่อนแอในภาพรวม ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยอาจกลับมาเผชิญกับแรงกดดันอีกครั้งในสัปดาห์ถัดๆ ไป เราประเมินดาวน์ไซด์ของ SET ในไตรมาส 1/2025 ไว้ที่
Base Case 1280 จุด
Worst Case 1160 จุด

 


สรุปภาพตลาดวานนี้
Black Monday ภาคต่อวานนี้เปิดมาดิ่งเหว แล้วค่อยเด้งกลับมาครึ่งทาง โดยหุ้นใหญ่เผชิญแรงขายยกแผงในช่วงเช้า (ลงมาเส้นรับ/ตัดขาดทุน อทบทั้งนั้น) จากความกังวลตามตลาดโลกกรณีสงครามการค้า ก่อนจะค่อยๆ ขยับกลับขึ้นมาเหมือนทุกๆ ครั้งที่มี Panic Sell เกินไป สุดท้ายก็มีหุ้นบางกลุ่มดันมาเขียวได้ในช่วงท้าย เช่น VGI ROCTEC BCP CENTEL MINT เป็นต้น

แนวโน้มตลาดวันนี้
หุ้นไทย(ค)รองบ๊วย (x) Returns (/) US tariff impacts
ระหว่างเราและ SET รองบการเงิน บจ. แต่ ปธน.ทรัมป์ คงไม่อยากรอเลยประกาศ แนวทางกำแพงภาษีทันที กับ เม็กซิโก, แคนาดา และจีน โดยอาจลามไปถึง ยุโรป ในเร็ววันนี้ ส่งผลให้ตลาดกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยและเร่งขายหุ้นทั่วโลก
แต่ผลกระทบกับเศรษฐกิจไทย อิงตามรายงาน MS ดูจะไม่รุนแรง และเมื่อเทียบกับ ไต้หวัน จีน เกาหลีใต้ เราน่าจะออกไปแนวบวกเล็กน้อยด้วยซ้ำ ส่วนตลาดหุ้นไทย ต่อให้เศรษฐกิจกระทบน้อย แต่ราคาหุ้นกลับให้ผลตอบแทน อยู่ในโซนหนีตกชั้นอยู่ก่อนแล้ว...(เลยอาจไม่ได้เป็นตลาดหุ้นที่จะครองบ๊วย ไปตลอด)

ดังนั้นเมื่อเราอิงตามมุมมอง MS ที่เห็นว่า มาตรการภาษี ทรัมป์ ผลกระทบน่าจะแบ่งเป็น 3 แนวทาง
(1) กำแพงภาษี อาจใช้เป็นเพียงเครื่องมือต่อรอง (ต่อรอง ตกลงกันได้ก็น่าจะบรรเทาความตึงเครียดลง)-สามารถซื้อเวลาหรือเลื่อนได้ หรืออาจเลือกใช้เพียงบางมาตรการกับบางสินค้า อันแรกนี้คือกรณีดีสุดต่อเศรษฐกิจ
(2) ใช้กำแพงภาษีแบบมีเงื่อนไข/จำกัดเวลา คาดผลกระทบต่อหุ้นและเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามสมมุติฐานเดิม (กรณีที่ MS คิดว่าน่าจะเป็นไปได้)
(3) อเมริกาใช้กำแพงภาษีแบบเต็มที่ และเกิดการตอบโต้กลับด้วยกำแพงภาษี จากชาติอื่น กรณีนี้คือแย่สุด
สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อนโยบายการเงิน คือ เฟดคงดอกเบี้ยนานขึ้น เพราะผลกระทบจากเงินเฟ้อ ส่วนไทยและ อาเชียน คงต้องใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเข้าช่วยลดผลกระทบ ซึ่งเราคิดว่าอาจไม่ได้ดีกับ Fund flows แต่อาจดีกับหุ้นบางกลุ่ม แต่สุดท้าย MS ยังคงมองว่ามีไพ่ตายจาก การตีความผ่านสภา ทรัมป์อาจจะไม่ง่ายที่ดำเนินตาม International Emergency Economic Powers Act (IEEPA),1977 เหมือนเหตุการณ์เมื่อปี 2018 กว่าจะเห็นมมาตรการภาษีกับจีน ต้องรอ นานถึง 11 เดือน (ผลกระทบต่อเศรษฐกิจตาม กรณีที่ 3 อาจดีเลย์ ออกไป)
กลับมาที่หุ้นไทย เรายังคงใช้กลยุทธ์เดิมในการเลือกหุ้นลงทุน และติดตามรอดูการตอบสนองของราคาหุ้นกับ ทิศทางผลการดำเนินงาน หลังจากนี้

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์คงคำแนะนำ เลือกสะสมหุ้นรายตัว รายกลุ่ม ในจังหวะที่ราคาหุ้นตก หรือพักฐาน ด้วยเรามองว่าหุ้นที่เราเลือกแนะนำ ได้พิจารณาแล้วว่าควรจะขึ้นแข็งกว่าตลาด เพราะ
1) ราคาหุ้นทรงตัวได้ดี Outperform ในเชิงเทคนิคคอล ไม่ Overbought
2) ความถูกของราคาหุ้นเมื่อเทียบมูลค่าทางบัญชี (PBV) และเทียบกับ Bands
3) แนวโน้มผลการดำเนินงานระยะสั้น ดูแล้วไม่น่าจะสร้างความผิดหวัง
4) โอกาสที่กำไรระยะสั้นจะดีกว่าที่คิด เพราะมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว เช่น มาตรการช้อปช่วยชาติ แจกเงินหมื่น ในช่วงไตรมาสแรก หนุนกำไรโตต่อเนื่อง 4Q24-1Q25
5) มีปันผลระหว่างกาล

วิเคราะห์ทางเทคนิค
ภาพรวมหุ้นโดนเทกระจาด จำนวนหุ้นปรับลงสูงถึง 410 บวกเพียงแค่ 114 บริษัท ขณะที่ SET ปรับตัวลงไปทำจุดต่ำสุด 1,270 จุด -30 จุด แล้วรีบาวด์กลับมาปิดสูง จากลบเยอะๆ มาปิดเหลือลบน้อยลง...จับตาฐาน Consolidate zone และ จุด lowest point ปี 2024… ซึ่งเป็นป้อมปราการด่านสุดท้าย ดัชนีต้องสู้ต้องยืน ให้ได้
สรุป: แนวโน้มตลาดมีลุ้นสร้างฐาน ยืนออกข้าง หรือมีโอกาสผ่านจุดแย่ๆ ไปแล้ว ขณะที่โมเมนตัมลงสู่กรอบล่าง มีลุ้นฟื้นตัว จับตาหุ้นลงแรง อาจมีโอกาสรีบาวด์ได้ไม่ยาก
Note: หุ้นแนะนำวันนี้เลือก KBANK IVL และ WHA ติดตามแผนลุยในหน้าถัดไปครับ

 

What to watch
ทรัมป์เปิดเกมนโยบายขึ้นภาษีอย่างเป็นทางการ และให้เวลากลุ่มเป้าหมายแรกตัดสินใจถึงกลางสัปดาห์ แนะติดตามการตอบโต้ต่างๆ นอกจากนี้ ยังต้องติดตามถ้อยแถลงจาก ปธน.ทรัมป์ ในวาระต่างๆ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อบรรยากาศลงทุนได้ทั้งบวกและลบ
นโยบายรัฐบาลไทย ในการประชุม ครม. เช่น ความชัดเจนแจกเงินหมื่นเฟส 3, กองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อทำรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย, FETCO อาจเสนอคลังนำ LTF กลับมาเป็นต้น
การประชุม ธนาคารกลางอังกฤษ มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย 0.25% ในวันที่ 6 ก.พ.
Earnings Previews และ Earnings result ของกลุ่ม Non-Bank
ประชุมโอเปก 3 ก.พ. มีแนวโน้มเพิ่มกำลังการผลิตรอบใหม่ เม.ย.นี้ ด้าน รมต.เศรษฐกิจซาอุฯ เผยการเพิ่มกำลังการผลิตเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับความเห็นของ ปธน.ทรัมป์ ที่อยากเห็นราคาพลังงานปรับลดลง

หุ้นแนะนำวันนี้
BCP ไม่โดนหางเลขกระทบจากมาตรการภาษีต่างประเทศ ทั้งโรงกลั่น รวมถึงธุรกิจ ไบโอเทค (S 35 R 37 SL 32)

 


รายงานพื้นฐานวันนี้

Quantitative Strategy
สัญญาณ Market-timing อ่อนแอลง ชี้ว่าตลาดจะยังผันผวนต่อไป
ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับแรงขาย จนทำดัชนี SET หลุดแนวรับสำคัญทางจิตวิทยาที่ 1330 จุด เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสรีบาวด์ในระยะสั้นจากภาวะ oversold แต่อาจไม่ยั่งยืน เนื่องจาก market-timing indicators กำลังส่งสัญญาณดังนี้ 1) ดัชนี Composite Short-term ซึ่งเป็นตัวชี้วัดแนวโน้มระยะสั้น แม้จะปรับตัวลงเข้าใกล้ภาวะ oversold แล้ว แต่แรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นของ Overnight Volatility ของ SET ซึ่งอยู่เหนือค่าเฉลี่ยระยะยาว อาจจำกัดช่วงเวลาในการ ฟื้นตัว (mean reversion) ให้เกิดขึ้นเพียงระยะสั้น ก่อนที่ดัชนีจะกลับมาอ่อนตัวลงอีกครั้งหลังสิ้นสุดการฟื้นตัวทางเทคนิค (technical rebound) ในรอบนี้ ซึ่งเราประเมินแนวต้านไว้ที่ 1340 จุด 2) ดัชนี Composite Medium-term ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญในระยะกลาง เช่น Medium-term Momentum Index, Medium-term Bull-to-Bear และ Volume Flow Index ต่างปรับตัวลดลง สะท้อนถึงแนวโน้มที่อ่อนแอในภาพรวม ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยอาจกลับมาเผชิญกับแรงกดดันอีกครั้งในสัปดาห์ถัดๆ ไป

Weekly Commodities
ค่าการกลั่นฟื้นตัวแกร่งสุด
ภาพรวม: ค่าการกลั่น (GRM) ปรับตัวขึ้นมากสุด WoW ตามมาด้วยสเปรดเคมี ขณะที่ค่าระวางเรือยังคงอ่อนตัว ราคาน้ำมันดิบลดลงต่อเนื่องจากความกังวลเศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า
น้ำมันดิบ: ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยลดลง $1.65 WoW อยู่ที่ $80.91/bbl จากความกังวลด้านเศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
ค่าการกลั่น: GRM อิงตลาดสิงคโปร์ เฉลี่ยเพิ่มขึ้น $0.83 WoW เป็น $1.47/bbl หนุนโดยสเปรดเบนซิน (+$2.61 WoW เป็น $6.28/bbl) และน้ำมันเตา (+$0.65 WoW เป็น -$4.09/bbl) ขณะที่น้ำมันเครื่องบิน (-$0.61 WoW) และดีเซล (-$2.14 WoW) อ่อนตัวลงจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นของอินเดีย
ส่วนต่างเคมีภัณฑ์: ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้น WoW ตามต้นทุนแนฟทาที่ลดลง โดยสเปรด Ethylene (+$5 WoW เป็น $161/t), Propylene (+$5 WoW เป็น $181/t), HDPE (+$5 WoW เป็น $296/t) และ PP (+$5 WoW เป็น $316/t)
ถ่านหิน: Newcastle Export Index (NEX) เพิ่มขึ้น $1.19 WoW เป็น $116.12/tonne ตามคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นในเอเชีย
ค่าระวางเรือ: Baltic Dry Index (BDI) ลดลง 139 จุด (-16% WoW) มาอยู่ที่ 737 จุด ขณะที่ World Container Index ลดลง 81 จุด (-2% WoW) มาอยู่ที่ 3,364 จุด

Fundamental view: คงคำแนะนำ “ขาย” กลุ่มโรงกลั่น จากแนวโน้มเข้าสู่ Low season แนะนำ “ถือ” PTTEP จากความเสี่ยงด้านอุปทานน้ำมัน และยังคงเลือก IVL เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มเคมีภัณฑ์

 


GLOBAL
สยามโกลบอลเฮ้าส์
รอการฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลัง
เราคาดกำไรหลัก 4Q24 ที่ 518 ล้านบาท ลดลง 8% YoY แต่เพิ่มขึ้น 42% QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล โดยปรับลดประมาณการจากเดิม 560 ล้านบาท จากมุมมองที่ระมัดระวังขึ้นต่อ GM สินค้าเหล็ก (เหลือ 8-10% จากปกติ 11-12%) ขณะที่ SSS คาดลดลง 2% YoY และ GM อยู่ที่ 25.9% (4Q23: 26.1%) นอกจากนี้ ต้นทุนเปิดสาขาใหม่และอุปสงค์ที่อ่อนแอยังคงกดดันกำไร โดย GLOBAL มี 92 สาขา ณ สิ้นปี 2024 เพิ่มขึ้นจาก 84 สาขาในปีก่อน และ 89 สาขา ณ สิ้น ก.ย. 2024 คาด SG&A/sales ratio ใน ไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นเป็น 20.4% (4Q23: 18.9%) เราปรับประมาณการกำไรหลักปี 2024 ลงเป็น 2,371 ล้านบาท (-11% YoY)
ส่วนแนวโน้ม 1Q25 ยังถูกกดดัน โดยจากการสำรวจเบื้องต้น พบว่า SSS ช่วงสามสัปดาห์แรกของ ม.ค. ลดลง 7-9% YoY จากยอดขายโครงการที่ชะลอตัวในจังหวัดที่พึ่งพาการท่องเที่ยวต่ำ โดยเฉพาะจากผู้รับเหมาและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายเล็ก ส่งผลให้คาดว่ากำไร 1Q25 จะลดลงทั้ง YoY และ QoQ อย่างไรก็ตาม เราคาดว่ากำไรจะกลับมาเติบโต YoY ใน 2H25 ได้แรงหนุนจากยอดขายสาขาใหม่ SSSG ที่เริ่มกลับมา และการฟื้นตัวของ GM สินค้าเหล็ก

Fundamental view: คงคำแนะนำ “ถือ” และปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 10 บาท จาก 11 บาท สะท้อนมูลค่าพื้นฐานที่ถูก (PER ปี 2025 ที่ 18.5x) แต่ขาดปัจจัยหนุนราคาหุ้นใน 1H25


สรุปประเด็นจาก Quick take

KBANK
ธนาคารกสิกรไทย
ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์
เป้าหมายทางการเงินโดยรวมค่อนข้างสอดคล้องกับประมาณการของเรา โดย key highlight คือ เป้าหมาย credit cost ปี 2025 ที่ 1.4-1.6% จากแนวโน้ม NPL เกิดใหม่ลดลง ซึ่งเราประเมินว่าเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย และดีกว่าที่เราคาดไว้ที่ 1.75%
View from fundamental: เราประเมินแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ของ KBANK จะฟื้นตัวในปีนี้ แนะนำซื้อ

วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้