"Rebound Play"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "เริ่มกลับตัว (Reversal)" ต้าน 1323/1334 จุด รับ 1295/1288 จุด ดัชนี S&P500 ดิ่งลึก ก่อนฟื้นตัวปิด -0.76% หลังสถานการณ์ Trade War คลายแรงกดดัน จากคุณ Trump ประกาศเลื่อนเก็บภาษีเม็กซิโก(ช่วงตลาดซื้อขาย) และแคนาดา (ประกาศหลังตลาดปิด) ออกไป 1 เดือน และน่าจะเจรจากับจีนภายในวันนี้ สะท้อน Trump ใช้กำแพงภาษีเป็นเครื่องมือในการต่อรอง หนุนบรรยากาศการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงโลกวันนี้ ขณะที่ SET วานนี้หลังฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด +2.6% โดยสถิติหลังปี 2020 พบว่า 6 จาก 11 ครั้งหลังสุดที่ SET ดีดตัวจากจุดต่ำสุด > 2.6% SET มักทำรูปแบบเป็นภาพ Reversal โดยเฉพาะการฟื้นตัว ณ ระดับ Equity Risk Premium เป็น Value Zone ที่ 4.4% เกือบแตะ +1.5SD ยกเว้นเพียง 1 ครั้งที่เป็น Technical Rebound แล้วลงต่อจากปัญหา Covid-19 ที่ยังไม่สิ้นสุด ทำให้ภาพรวมรอบนี้ให้น้ำหนักมีโอกาสเห็นภาพ SET เข้าจุดค่อยๆกลับตัวจากนโยบาย Tarriff นำมาซึ่งการเจรจา ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวเชิงพื้นฐาน คาดวันนี้ กลุ่มส่งออกชิ้นส่วนฯ-เกษตร ดีดตัว แต่ให้เน้นซื้อลงทุน Domestic (ธนาคาร สื่อสาร ท่องเที่ยว) และหุ้น SET100 ที่ปรับฐานลึกมีโอกาส Rebound แรง วันนี้แนะนำ AAV, JMT, GPSC เด่น
Daily outlook: "เริ่มกลับตัว (Reversal)" ต้าน 1323/1333 จุด รับ 1295/1288 จุด
What happened around the world?
(+) Trade war: มีสัญญาณบวก สหรัฐเลื่อนขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนนาดาในอัตรา 25% ออกไปอีก 1 เดือน หลังมีการพูดคุยระหว่าง โดนัล ทรัมป์ กับ รมว.คลังเม็กซิโก รวมถึงประธานาธิบดี ทรูโด้ ของแคนนาดา โดยเม็กซิโกและแคนนาดาตกลงจะเพิ่มกองกำลังทหารตามแนวชายแดนจำนวน 10,000 นาย เพื่อป้องกันการขนยาเสพติดและกีดกันผู้อพยพเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายและแคนนาดาจะต้องขึ้นบัญชีรายชื่อผู้ค้ายาเฟนทานิลเป็นผู้ก่อการร้าย
เรามองเป็นบวกเนื่องจากข่าวนี้จะช่วยลดความตึงเครียดให้กับตลาดและเป็นไปตามคาดการณ์ของเรา คือ ทรัมป์ จะใช้มาตรการภาษีสำหรับกดดันและต่อรองกับประเทศคู่ค้าหากผลเจรจาเป็นไปตามที่สหรัฐต้องการมาตรการทั้งหมดพร้อมจะยุติดังนั้นผลกระทบของ Trade war รอบนี้จะไม่รุนแรงแต่จะสร้างความผันผวนในช่วงสั้นๆ เมื่อมีข่าวขู่ขึ้นภาษี หากเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นไทยข่าวนี้จะเป็นจิตวิทยาบวกต่อการลงทุนของหุ้นในกลุ่มส่งออก อาทิ อิเล็กฯ (KCE, HANA, DELTA), อาหาร (CPF, TU) ตรงกันข้ามเป็นจิตวิทยาลบกับกลุ่ม นิคมฯ (AMATA, WHA) กระแสย้ายฐานผลิตเบาลง ส่วน IVL มีธุรกิจปิโตรฯ ในสหรัฐดีมานด์สินค้าอาจไม่ได้เร่งขึ้นเหมือนที่คาดไว้
(*/+) EU Econ: รายงานเงินเฟ้อ (เบื้องต้น) เดือน ม.ค.ปรับขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาด โดย Headline CPI เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.5% จาก 2.4% ในเดือน ธ.ค. และมากกว่า Consensus คาดไว้ที่ 2.4% ส่วน Core CPI อยู่ที่ 2.7% เท่ากับเดือน ธ.ค. แต่ Consensus คาดว่าจะลดลงเป็น 2.6%** เรามีมุมมองเป็นกลางแม้ตัวเลขเงินเฟ้อจะลดลงช้าแต่สภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอของยูโรโซน โดยเฉพาะ GDP 4Q24 ขยายตัวต่ำเพียง 0.9% บ่งชี้ถึงความจำเป็นที่ธนาคารกลางจะต้องดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป (ECB Next meeting 6 มี.ค. 25 คาดลดดอกเบี้ย 0.25% จาก 2.75% เป็น 2.5%)
(*/-) China Econ: Caixin รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือน ม.ค. (สะท้อนกิจกรรมขนาดเล็ก) ปรับลงสู่ระดับ 50.1 Vs Prev. 50.5, 50.5 Cons. อย่างไรก็ตามตัวเลขยังสูงกว่าระดับ 50 บ่งชี้ภาคการผลิตของจีนยังขยายตัว **เรามองการชะลอตัวเป็นผลของฤดูกาลซึ่งผู้ประกอบการเร่งผลิตเพื่อส่งมอบสินค้าในช่วงปีใหม่และตรุษจีนไปก่อนแล้ว (ตรุษจีนมาเร็วและมีวันหยุดเยอะ) อย่างไรก็ดีแนวโน้มเดือน ก.พ. อาจเห็นการลดลงของตัวเลขมากขึ้นเนื่องจากผลจากการเรียกเก็บภาษี 10% ของสหรัฐจะส่งผลเป็นรูปธรรมตั้งแต่เดือน ก.พ. เป็นต้นไป (เว้นเสียแต่จะมีการเจรจาและยกเลิกในระหว่างทาง)
(*/-) OPEC+ Meeting: คณะกรรมการร่วมการตรวจสอบระดับรัฐมนตรี (JMMC) ของกลุ่ม OPEC+ มีมติคงนโยบายการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มตามเดิม คือ สมาชิก OPEC ลดระดับการผลิตที่ระดับ 2 ล้านบาร์เรล/วัน และ OPEC+ 8 ชาติสมาชิก ลดการผลิตโดยสมัครใจ 1.65 ล้านบาร์เรลต่อวันไปจนถึงปี 2026 และ ลดการผลิตโดยสมัครใจอีก 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันถึงเดือน เม.ย. ปีนี้ **ข่าวนี้อาจจะเป็นบวกต่อราคาน้ำมันดิบเนื่องจาก Supply น้ำมันในตลาดจะตึงตัว แต่มติดังกล่าวสวนทางกับข้อเรียกร้องของ โดนัล ทรัมป์ ที่ต้องการให้ OPEC+ เพิ่มการผลิตเพื่อกดราคาพลังงาน ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงที่ ทรัมป์ จะให้ข่าวและข่มขู่ OPEC+ มากขึ้นในอนาคตสร้างความผันผวนให้กับราคาน้ำมันดิบในระยะถัดไป
(*) To monitors: ฝั่งสหรัฐ วันนี้ US Tax Tariff เลื่อนขึ้นภาษี 25% กับเม็กซิโกและแคนนาดาออกไป 1 เดือน ขึ้น 10% กับจีนเริ่มมีผลบังคับตั้งแต่ 12.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) , 5 ก.พ. PMI ภาคบริการ (ISM) คาด 54.3 Vs prev. 54.1, ตัวเลขจ้างงาน (ADP) ม.ค. คาด 1.53 แสนราย Vs prev. 1.22 แสนราย, 7 ก.พ. ตัวเลขรจ้างงานนอกภาคเกษตร ม.ค. คาด 1.5 แสนราย Vs prev. 2.56 แสนราย และอัตราการว่างงาน คาด 4.1% เท่ากับเดือน ธ.ค., ฝั่งยุโรป: 6 ก.พ. BoE Meeting คาดลดดอกเบี้ย 0.25% จาก 4.75 เป็น 4.5%
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ แกว่งตัวออกข้าง อายุ 2 ปีปรับขึ้น +4 bps อยู่ที่ 4.22% และอายุ 10 ปี +5 bps ปิดที่ 4.56% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ส่วน Dollar Index แกว่งตัวแข็งค่า 108.3 จุด
(*/-)Oil : ราคาน้ำมันดิบในแนวโน้มขาลง น้ำมันดิบ Brent +0.38%d-d ปิดที่ USD 75.96/barrel น้ำมันดิบ West Texas +0.87%d-d ปิดที่ USD 73.16/barrel
What happened in Thailand?
(-) SET Index : SET Index วันทำการล่าสุด ผันผวน เปิดลบ -40 จุด ระหว่างวันทำจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปี ก่อนรีบาวน์ฟื้นตัวแรงมาปิด -10.1 จุด หรือ -0.77% ปิดที่ 1304.39 จุด กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มพลังงาน (PTT, PTTEP) แม้สหรัฐฯเดินหน้าปรับเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าพลังงาน 10% กับแคนาดา เม็กซิโก เป็นแรงหนุนราคาน้ำมัน แต่การปรับเพิ่มภาษีสินค้าอื่น 25% รวมถึงการปรับเพิ่มฝั่งจีน 10% รวมถึงการส่งสัญญาณตอบโต้ทันทีของประเทศคู่กรณี ทำให้ตลาดมองภาพความเสี่ยงเศรษฐกิจ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE) ที่สลับขายลดความเสี่ยงในฐานะหุ้น Outperform มากในปี 2024 แต่เราประเมินเป็นจุดน่าทยอยะสะสม รอรับประเด็นบวกการประมูลคลื่นที่จะช่วยลดต้นทุนที่รออยู่ กลุ่มหนุน คือ กลุ่มท่องเที่ยว (MINT, CENTEL, ERW) ตอบรับนักท่องเที่ยว ม.ค. 25 กลับสู่ระดับ Pre-COVID กลุ่มสื่อ (VGI)
(-) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุด เงินไหลออก ขายหุ้น -10.7 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -135.9 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long 43,029 สัญญา เงินบาทแข็งค่าสู่บริเวณ 33.8+/- บาท
(*/+) Malaysia Visit: จากกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการและผู้ใกล้ชิดพรรคเพื่อไทย แกนนำรัฐบาล เดินทางไปประเทศมาเลเซียเพื่อพบนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เดินทางกลับมายังประเทศไทยแล้ว พบว่ามีประเด็นหารือน่าสนใจ ในส่วนการเข้าไปสนับสนุนเมียนมาให้เมียนมาเกิดความสงบสุข ประเมินสร้างจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่มีโอกาสรับประโยชน์จากสถานการณ์เมียนมากลับมาปกติ อาทิ CBG MEGA กลุ่ม ร.พ. ที่รับคนไข้เข้ามารักษา BDMS BCH ซึ่งมีรายได้จากกลุ่มลูกค้าดังกล่าว 2-3% ของรายได้ ขณะที่ BH PR9 จะมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มดังกล่าวมากกว่ากลุ่มข้างต้นเล็กน้อย
(+) SET Reversal or Technical Rebound ? : หลังจากวานนี้ SET เผชิญความผันผวนจากแรงขายรุนแรงช่วงเปิดตลาด ก่อนรีบาวน์มีนัยฯ +2.6% มาปิดที่ 1304.39 จุด ทำให้ทีมกลยุทธ์ทำการศึกษารูปแบบการเคลื่อนไหวของ SET ที่มีภาพการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดระหว่างวันสูงเกิน 2.6% พบว่า รูปแบบดังกล่าวเคยเกิดขึ้น 11 ครั้ง แบ่งเป็น รูปแบบตลาดกลับตัว (Reversal) 6 ครั้ง (วันที่ 13 มี.ค. 20, 20 มี.ค. 20, 7 เม.ย. 20, 19 มี.ค. 20, 12 พ.ค. 21 และ 24 ธ.ค. 20) แกว่งตัวขึ้น (Sideways Up) 3 ครั้ง (4 ม.ค. 21, 2 เม.ย. 20, 5 ม.ค. 21) และเป็นภาพ Technical Rebound 1 ครั้ง (27 ก.พ. 20) ซึ่งมีสาเหตุมาจากการระบาดเชื้อ COVID ที่ยังสร้างแรงกดดันทางลบต่อตลาดเพิ่มเติม จนนำมาสู่แนวทาง Lockdown ประเทศต่างๆในภายหลัง
ในรอบนี้ ทีมกลยุทธ์ให้น้ำหนักจะเกิดภาพ Reversal (80%) ส่วน Technical Rebound (20%) ประเมินความเสี่ยงที่กดดันตลาดปรับตัวลดลงต่อจะอยู่ที่การใช้นโยบายสงครามการค้าของคุณ Trump ที่เข้มงวดขึ้น อย่างไรก็ตาม หากอิงภาพสภาวะปัญหาเงินเฟ้อ จนทำให้ Fed ยังต้องใช้ดอกเบี้ยนโยบายระดับสูง, นโยบายหลักๆที่ Trump 2.0 ที่ขับเคลื่อนได้เร็ว ล้วนสร้างความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อและเศรษฐกิจ เชื่อว่า Trump มีแนวโน้มเลือกใช้กลยุทธ์ใช้นโยบายที่สร้างความเสี่ยงค่อยเป็นค่อยไป จนกว่าระดับเงินเฟ้อและดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงมีความชัดเจนในส่วนนโยบายที่จะหนุนเศรษฐกิจ อาทิ การลดภาษีบุคคลและนิติบุคคลที่คาดมีความชัดเจนช่วงปลายปี 2025F ซึ่งจะถือเป็นบรรยากาศที่เอื้อต่อการเร่งนโยบายที่สร้างความเสี่ยงมากขึ้น
กลยุทธ์ โซนปัจจุบันแนะนำทยอยสะสมหุ้น ระยะสั้นเน้นกลุ่มที่มีโอกาส Rebound แรง (อ่าน SET100 Rebound Plays) ระยะกลาง-ยาว เน้นหุ้น Domestic ที่มีปัจจัยขับเคลื่อนหุ้นที่ชัดเจน ADVANC, AMATA, BA, BTS, ERW, KBANK, TTB
(*/+) SET100 Rebound Plays: อิงภาพ SET ตั้งแต่ต้นปีที่เหวี่ยงผันผวนจนผลตอบแทน YTD ลดลงกว่า -7.8% ขณะที่หุ้นใหญ่หลายบริษัทปรับตัวลงแรงกว่าตลาด จน Valuation อยู่ในโซนลงทุน อิงเกณฑ์ 1.) หุ้นปัจจุบันมีปัจจัยขับเคลื่อนที่ชัดเจน 2.) Deep Discount ในเชิง Valuation ทั้งในแง่ของ PE Band, PBV Band และ EV/EBITDA Band และ 3.) ปรับตัวลงลึกกว่าตลาด เรามองชุดหุ้นที่มีโอกาสฟื้นตัว Rebound ได้เร็ว ดังนี้
• ชุดที่ 1 คือ กลุ่มท่องเที่ยว ซึ่งยังมีแนวโน้มเติบโตสูง AAV (ปรับตัวลดลง -23.9%ytd, Z-score PE Band Avg -2.1s.d.) และ BA (-16.5%, Z-score PE Band Avg -0.82s.d.) CENTEL (-14.5%ytd, Z-score PE Band Avg -2.04s.d.)
• ชุดที่ 2 คือ กลุ่มที่มีโอกาสได้ประโยชน์จาก Trade War นำโดยกลุ่มนิคม ได้แก่ WHA (-12.3%, Z-score PE Band Avg -1.49s.d.) และ AMATA (-12.2%, Z-score PE Band Avg +0.22s.d.)
• ชุดที่ 3 คือ หุ้นที่ธุรกิจ/อุตสาหกรรมอยู่ในจุดต่ำสุด แต่การฟื้นตัวยังต้องใช้เวลา อยู่ในโซนลงทุนระยะกลาง-ยาว ได้แก่ GLOBAL (-32.7%, Z-score PE Band Avg -4.44s.d.), GPSC (-20.3%, Z-score PE Band Avg -2.15s.d.), SPRC (-19.1%, Z-score PBV Band Avg -3.52s.d.) JMT (-20.26%, Z-Score PBV Band Avg-0.92 s.d.)
(*) To monitor: สัปดาห์นี้ปัจจัยภายในติดตาม
1.) 4 ก.พ. ติดตามการประชุม ครม. และรายงานนักท่องเที่ยวต่างชาติรายสัปดาห์
2.) 5 ก.พ. เงินเฟ้อ CPI ม.ค. 25 เงินเฟ้อทั่วไป ไม่มีคาด vs prev. +1.2%y-y, +0.18%m-m เงินเฟ้อพื้นฐาน ไม่มีคาด vs prev. +0.79%y-y
3.) 7-13 ก.พ. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.ค. 25 ไม่มีคาด vs prev. 57.9 จุด
4.) เข้าสู่ช่วงรายงานกำไรกลุ่ม Real Sector งวด 4Q24 ทั้งนี้ หุ้นหลักๆ ที่จะรายงานกำไร ได้แก่ ADVANC, THCOM, OKJ
Daily Strategy : AAV, JMT, GPSC
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "เริ่มกลับตัว" สัญญาณการใช้นโยบายสงครามการค้าคุณ Trump ออกมาในรูปแบบใช้เพื่อเจรจาต่อรองอย่างสร้างสรรค์ หนุนตลาดน่าจะผ่อนคลายต่อความกังวลในประเด็นดังกล่าว หนุนประเมินหุ้นเด่นวันนี้ กลุ่มชิ้นส่วน เกษตรฯน่าจะดีดตัวหลังถูกกดดันลงมาจากประเด็นดังกล่าว แต่หุ้นที่แนะนำซื้อลงทุน คือ หุ้นชุดที่ปรับตัวลงลึกกว่าตลาดซึ่งมีโอกาส Rebound แรงและเป็นโอกาสระยะกลาง-ยาว ผสาน กลุ่มอิงภายในที่ Outlook เป็นบวก (ธนาคาร ท่องเที่ยว ค้าปลีก)
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
กลุ่มที่คาดรายงานกำไร 4Q24F ออกมาดี ขยายตัว y-y q-q (ADVANC, AMATA, BTS, ERW, CRC, HMPRO , TRUE, OKJ)
กลุ่มที่คาดมีโอกาสซื้อหุ้นคืน (PTT , SCB , KBANK , KTB , BBL , PTTGC , TOP BCP)
• FEB25 Best Picks: ADVANC, AMATA, BA, BTS, ERW, KBANK, TTB
• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
Strategy Update : โอกาสลงทุนจากกระแสหุ้นทุนซื้อคืน (Treasury Stocks)
· กระแสการซื้อหุ้นคืนรายบริษัท (Treasury Stocks) ของตลาดหุ้นไทย นับจากนี้มีแนวโน้มคึกคักขึ้น โดยเฉพาะฝั่งหุ้น Big-Mid Cap หลัง TTB นำร่องประกาศซื้อคืน 3 ปีปีละ 7.0 พันล้านบาท กรอบวงเงินรวม 2.1 หมื่นล้านบาท ผสาน SET Index ระดับดัชนีปัจจุบันอยู่ในโซนลงทุนดึงดูดเม็ดเงินลงทุนระยะกลาง-ยาว
· ทีมกลยุทธ์ ประเมินจากข้อเสนอแนะอดีตนายกฯ ในงานสัมมนาล่าสุด 1 ในแนวทางที่ช่วยเรียกคืนความเชื่อมั่นตลาดคือการซื้อหุ้นคืน(Treasury Stock) KSS ทำการคัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสเห็นการประกาศซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) ในระยะถัดไป โดยใช้เกณฑ์
1.)เป็นหุ้น Undervalue ที่ซื้อขายต่ำมูลค่าทางบัญชี หรือมี PBV ต่ำกว่า 1.0 เท่า คือ
2.) มีสภาพคล่องมากพอซื้อคืน > 5.0% ของมูลค่าตลาดหุ้น (Market Cap) และมีสภาพคล่องเข้าเกณฑ์ของตลาดฯ 3.) มีสภาพคล่องเพียงพอชำระหนี้ครบกำหนดในอีก 1 ปี (vs ตลาดกำหนด6 เดือน)
4.)มีกำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรรในงบเดี่ยวเพียงพอรองรับการซื้อคืน
· กลยุทธ์การลงทุน : แนะนำลงทุนในหุ้น Theme "Treasury Stock Plays" โดยเลือกหุ้นที่มีศักยภาพ และผ่านเข้าเกณฑ์ดังกล่าวข่าวต้น และมีปัจจัยหนุนอุตสาหกรรม พบว่ามีหุ้น Big Cap หลักๆ ในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร ปิโตรเคมีที่มีโอกาสเห็นการซื้อคืนระยะถัดไป อาทิ PTT, SCB, KBANK, KTB , BBL, PTTGC, TOP, BCP
Strategist Comment: Deepseek
กระแสข่าว AI Application จากประเทศจีน "Deepseek" ที่ทำงานได้ใกล้เคียงผู้นำตลาด โดยไม่จำเป็นต้องใช้ชิปประมวลผลสูง ทำให้ต้นทุนพัฒนาต่ำกว่า
โดยรวมประเมินนำมาสู่โอกาสเห็นภาพ AI Adoption ทั่วโลกเร่งขึ้น แต่สร้างความเสี่ยงหุ้น Semiconductor โลกที่จำหน่ายชิปประมวลผลระดับสูงที่อาจมีผลกระทบต่อยอดขาย จึงน่าจะเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นใน 1.) กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไทย ให้เกิดภาพชะลอลงทุนระยะสั้น อย่างไรก็ตาม KSS ประเมินผลกระทบจำกัด เพราะบริษัทชิ้นส่วนไทยไม่ได้มีสินค้าหรือรายได้ชิปประมวลผลสูง อาทิ กรณี DELTA เน้นจำหน่าย Power Supply ส่วนอีกกลุ่มที่อาจจะเห็นการชะลอลงทุน คือ 2.) กลุ่มโรงไฟฟ้า อาจจะมีความกังวลการใช้ไฟฟ้าต่ำลงตามรูปแบบชิปประมวลผลสูงลดลง อย่างไรก็ตาม ภาพบวกที่ AI Adoption จะเพิ่มขึ้นหนุนความต้องการโรงไฟฟ้ารวมถึงอุปกรณ์ Power Supply ในท้ายที่สุดอยู่ดี กลยุทธ์รอตั้งรับเมื่อหุ้นอ่อนตัวรับความกังวล
ขณะที่กลุ่มคาดได้ประโยชน์จากกรณีดังกล่าว คือ กลุ่มที่ผู้ใช้งาน AI ที่มีทางเลือกมากขึ้น ต้นทุนลดลง คาดนำมาสู่ปริมาณการใช้ข้อมูลในโครงข่ายโทรคมนาคมเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด ในส่วนกลุ่มสื่อสาร เน้น ADVANC และกลุ่ม Digital Tech Consult ที่ปริมาณงานที่ปรึกษาดิจิตอลจะเพิ่มขึ้นตาม AI Adoption เน้น BE8, BBIK
Strategy Update: MSCI Rebalance
MSCI Rebalance รอบเดือนก.พ. จะประกาศรายชื่อวันที่ 11 ก.พ.มีผลราคาปิดวันที่ 28 ก.พ. เราคาดหุ้นเข้า/ออก ดัชนี MSCI ACWI ดังนี้
หุ้นเข้า: ไม่มี
หุ้นออก: TOP (medium conviction)
Strategy Update : Dividend Plays 2H24
ช่วงปลายเดือน ก.พ. - พ.ค. 2025 จะเข้าสู่เทศกาลจ่ายปันผลประจำปี 2024 ของบริษัทจดทะเบียน ทีมกลยุทธ์ KSS จึงได้รวบรวมหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง) จากคาดการณ์ของ KSS และ Consensus เพื่อนำมาคัดสรรหุ้นปันผลสูง (High Dividend) คือ Dividend Yield มากกว่า 3.5% สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะ 1 - 2 เดือนแรกของปี ใน "Theme Dividend Play"
Key Ideas : KSS มีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นปันผลในช่วงต้นปีเนื่องจาก
o KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นปันผล(SETHD) ย้อนหลัง 10 ปี พบว่า SETHD ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. ของทุกปี ผลตอบแทนมักเป็นบวก เดือน ม.ค. ผลตอบแทนบวก 6 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.7%, เดือน ก.พ. บวก 7 ใน 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +0.67%
o SETHD ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของทุกปี (งวด 1Q) ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.85%)
กลยุทธ์ : ในเชิงกลยุทธ์ KSS แนะนำซื้อหุ้นปันผลสูงก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD 2 สัปดาห์แล้วขายวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD (dividend capture) มักจะให้ผลตอบแทนที่ดี ทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการคัดกรองหุ้นปันผลเด่น ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ คือ
1.) เป็นหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผล ช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง)
2.) เป็นหุ้นพื้นฐานที่มีแนวโน้มการเติบโต/กระแสเงินสดมั่นคง /อยู่ใน Theme การลงทุนหลักของ KSS ปี 2025 อาทิ Theme เศรษฐกิจไทยปี 2025F เติบโต อาทิ กลุ่มธนาคาร หรือ อยู่ในอุตสาหกรรม Up Cycle อาทิ Sector ICT หรือ หุ้นที่อยู่ในกลุ่มได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มอสังหา กลุ่มการเงิน ฯลฯ โดยเรียงตามอัตราตอบแทนเงินปันผลจากสูงไปต่ำ
พบว่ามีหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลเด่น 9 บริษัท คือ
หุ้น Big Cap ได้แก่ SCB (TP Max Con 135.0, Yield 2H24F 8.6%), TTB (TP25-2.2,Yield 2H24F 7.2%) HMPRO (TP25-13.5,Yield 2H24F 4.3%) INTUCH (TP25-108,Yield 2H24F 4.2%), ADVANC (TP25-305, Yield 2H24F 3.7%),
หุ้น Mid Cap ได้แก่ AP (TP25-11.8., Yield 2H24F 7.65%), TISCO (TP25-97.0, Yield 2H24F 5.84%), SC (TP25-3.2, Yield 2H24F 5.52%), JMT (TP25-22.8, Yield 2H24F 2.3%),
หุ้นปันผลสูงครึ่งหลังปี 2024 ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, HMPRO,JMT AP, SC, TISCO
โดยทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการศึกษาสถิติหุ้นปันผลเด่น 9 บริษัทดังกล่าวข้างต้น ย้อนหลัง 8 ปี พบว่าหากลงทุนซื้อหุ้นก่อน 2 สัปดาห์และขายวันที่ขึ้น XD พบว่า ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ Return มากที่สุด คือ JMT +5.36%, TTB +4.16%, ADVANC +3.05%, ส่วน SCB, HMPRO, INTUCH, AP, SC, TISCO ผลตอบแทน (Capital Gain) เฉลี่ยอยู่ราว 1% เท่ากับว่า การลงทุนหุ้นกลุ่ม High Dividend ในช่วงเวลาดังกล่าว หลาย ๆ ครั้งนักลงทุนจะมักจะได้รับเงินปันผลฟรี
• BEM (Buy, TP25F-10.4): We retain our Buy rating and Bt10.4 TP. We see big correction in the share price over the past 4 months owning to many concerns including concession repurchase, the postponement of the signing double-deck project and the further deceleration in the earnings growth in 2025 from 2024. Since overhang hasn't gone away anytime soon, this would cap the strong run in the share price in the near term. 4Q24 earnings are expected to come in line with our estimate at Bt903m, up 5% yoy but down 15% qoq. We keep our EPS growth of 11% yoy in 2024 and 7.7% yoy in 2025.
• KBANK (Buy, TP25F-178): เรายังคงคำแนะนำ BUY และคง TP25F ที่ 178 บ. และคงเป็น Top Pick ของกลุ่มธนาคารคู่กับ KTB (BUY, TP 24 บ.) เพราะ i) เราคาดว่ามีโอกาสเห็นค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) กลับสู่ระดับปกติในปี 2025F ที่ 140-160 bps. ii) กำไรสุทธิ 2025F คาดเติบโต +9% y-y มากกว่ากลุ่มที่ +4% y-y iii) มีโอกาสเห็นการปรับเพิ่ม dividend payout ratio และ ROE ได้ในอนาคต สำหรับการประกาศเป้าหมายทางการเงินปี 2025F เรามองว่าไม่มีผลกระทบต่อประมาณการของเราอย่างมีนัยสำคัญ เแม้สินเชื่อรวมทาง KBANK ตั้งเป้าทรงตัว y-y ต่ำกว่าเราคาดที่ +2% y-y แต่ KBANK ตั้งเป้ารายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิที่ mid to high single digit มากกว่าเราคาดที่ +3%y-y
• BKGI (Buy, TP25F-2.8): เราปรับคำแนะนำเป็น Buy (เดิม Trading Buy) สำหรับ BKGI เนื่องจากคาดบริษัทมีโอกาสเติบโตจากการขยายขอบข่ายให้บริการ และตลาดลูกค้าใหม่ๆ จากความสามารถให้บริการตรวจคัดกรองฯ ครอบคลุมทุกช่วงอายุ โดยระยะ สั้น 4Q24F คาดกำไรสุทธิ (+115%y-y -1%q-q) เติบโตสูง y-y สอดคล้องกับที่คาดไว้ ส่วนปี 25F คาดกำไรสุทธิ (+29%y-y) เติบโตต่อเนื่อง
• Energy & Petrochemical (Neutral): ฝั่งต้นน้ำ (น้ำมันดิบ) -3-4% w-w กังวลนโยบายเร่งการผลิตน้ำมันดิบของ U.S. และ demand จีนชะลอในช่วงตรุษจีน คาดราคาน้ำมันดิบ ก.พ. 25 ทรงตัว m-m คาด demand น้ำมัน EU ฟื้นตัวหลังผ่าน peak ฤดูหนาว และ demand จีนฟื้นต่อเนื่อง ระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจาก supply ที่อาจตึงตัวขึ้นหลัง U.S. ขึ้นภาษีพลังงาน Canada และ Mexico
ฝั่งโรงกลั่น ค่าการกลั่นสิงคโปร์ (SG GRM) +126% w-w ฟื้นสูงจากฐานต่ำ ได้ gasoline spread +71% w-w เพราะ supply ในภูมิภาคตึงตัวขึ้นจากมีปิดซ่อม, supply disruption ในรัสเซีย และ demand ใน U.S. +3% w-w คาดค่าการกลั่น ก.พ. 25 ฟื้น m-m supply ตึงตัวขึ้นหลังโรงกลั่นบางส่วนเริ่มลด run และมีปัจจัยบวกจาก supply ใน U.S. ที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีฯ
ฝั่งปิโตรเคมี ส่วนใหญ่ฟื้น w-w จากราคา feedstock ลดลง ส่วนขา demand ในภูมิภาคยังชะลอจากอยู่ในช่วงวันหยุดตรุษจีน i) สายโอเลฟินส์ HDPE/ PP spread +1/2% w-w ii) สายอะโรเมติกส์ BZ +3 w-w แต่ PX -6% w-w demand downstream เป็น low season ส่วน iii) สายโพลีเอสเตอร์ (PET) integrated spread +4% w-w หนุนจากส่วนของ PTA spread ที่ราคา feedstock ลดลง คาด ก.พ. 25 มีปัจจัยบวกจากการกลับมา re-stock ของจีน นำโดยสายโอเลฟินส์ และ BZ ส่วน PET คาดช่วงปลายเดือนจะมีแรงหนุนจากการเตรียม re-stock รับ demand ช่วง high season
ภาพสัปดาห์ โรงกลั่นมีปัจจัยบวกจาก SG GRM ที่ฟื้นตัว และระยะสั้นมีโอกาสเห็น supply ตึงตัวจากการขึ้นภาษีนำเข้าของ U.S. หนุนค่าการกลั่นฟื้น คงมุมมอง spread gasoline ที่ต่ำจะอยู่เพียงระยะสั้น ส่งให้ภาพรวมค่าการกลั่น 1Q25F อยู่ระดับเหนือ cash cost และยังมีแรงหนุนจาก stock gain คง top pick เป็น SPRC (TP9.5)
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI