เปิดตำรา หาของดี ราคาถูก ในตลาดหุ้นไทย
หลายวันที่ผ่านมา เราได้นำเสนอหลายแง่มุมให้เห็นว่าตลาดหุ้นบ้านเรา มี ของดีราคาถูก ซ่อนอยู่มากมาย แต่การที่ราคาหุ้นไม่สามาถปรับขึ้นได้ เป็นเพราะ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่สะทัอนผ่าน TURNOVER ยังไม่ กลับมา วันนี้นำแนวคิดในการหาหุ้นถูกของนักลงทุนในตำนานอย่าง BENJAMIN GRAHAM มาฝาก โดยใช้การคำนวนหา NCAVPS (NET CURRENT ASSET VALUE PER SHARE) ซึ่งเป็นการคล้ายการ คำนวน BOOK VALUE แต่จะนำส่วนของ สินทรัพย์เฉพาะในส่วนของ สินทรัพย์หมุนเวียนมาหักออกด้วยหนี้สินรวม แล้วเทียบกับราคาหุ้น ปัจจุบัน นอกจากนี้เราได้เพิ่มเงื่อนไข EPS ต่อเนื่อง 10 ปีที่ผ่านมาด้วย ใน บรรดานี้เราพบว่ามี 3 บริษัทที่ NACVPS สูงกว่า หรือใกล้เคียงราคาหุ้น ในตลาด และมีกำไรต่อเนื่อง 10 ปีที่ผ่านมาได้แก่ AP, SPALI และ HANA

ประเด็นพื้นฐานวันนี้เป็นตัวเลขเศรษฐกิจ โดยภาพที่ออกมาแสดงโอกาส ที่จะเปิด DOWNSIDE มากกว่า UPSIDE คาด SET INDEX ผันผวน กรอบ 1332-1346 จุด TOP PICK เลือก ADVANC, AP และ CPALL

เศรษฐกิจมีแนวโน้มเปิด DOWNSIDE > UPSIDE
ภาพรวมเศรษฐกิจเมื่อเทียบ QOQ ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมีแนวโน้มขยายตัว น้อยลง ซึ่งค่อนข้างสวนทางกับแถบประเทศเอเชีย (อาทิ จีน ฟิลิปปินส์) โดยล่าสุดวาน นี้ สหรัฐฯ - ยุโรป เผย GDP GROWTH ใน 4Q67 ต่ำกว่าคาดการณ์

• เศรษฐกิจสหรัฐฯ ใน 4Q67 เติบโต +2.3%QOQ ซึ่งขยายตัวต่ำกว่าตลาด คาด +2.7%QOQ และชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนที่ +3.1%QOQ หลักๆ เป็นเพราะการลงทุนในสินค้าคงคลังลดลง
• เศรษฐกิจยุโรป ใน 4Q67 เติบโต +0.0%QOQ ซึ่งขยายตัวต่ำกว่าตลาดคาด +0.1%QOQ และชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนที่ +0.4%QOQ รวมถึงเมื่อ เทียบกับช่วงเดียนกันกับปีก่อน GDP GRWOTH เติบโต +0.9%YOY ซึ่ง ขยายตัวต่ำกว่าตลาดคาดเช่นกัน

ในอีกแง่มุมหนึ่ง สัญญาณเศรษฐกิจที่ดูอ่อนแอลง อาจกดดันให้เงินเฟ้อทยอยลดลง เข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุนเพิ่มเติมต่อทิศทางดอกเบี้ยขาลงใน ปีนี้ขณะที่ ECB ยังคงเดินหน้าปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง จากจุดพีค 4.0% ในปี 2567 ลดลงมาเรื่อยๆ จนมาอยู่ที่ 2.75% ทำให้เห็นเม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น สะท้อนจาก ผลตอบแทนในตลากหุ้นยุโรป ปรับตัวเพิ่มขึ้น YTD ราว 5.8% -9.1%

อย่างไรก็ตาม ในระยะถัดไป เศรษฐกิจทั่วโลกอาจตกอยู่บนความเสี่ยงมากขึ้นจาก ทั้ง TRADE WAR และ TECH WAR ซึ่งอาจกดดันให้เศรษฐกิจมี DOWNSIDE มากกว่า UPSIDE ได้ จึงยังต้องจับตาการเดินหน้านโยบาย MAGA ของ TRUMP อย่างใกล้ชิด

เศรษฐกิจไทยปี 68 ยังเติบโตจากหลายปัจจัย
คลังคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 67 จะขยายตัวอยู่ที่ระดับ 2.5% ลดลงจากเดิมที่คาดโต 2.7% เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4Q67 แตกต่างจาก คาดการณ์ไว้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากตัวเลขภาคอุตสาหกรรม (คิดเป็น 26% ของ GDP) ที่ลดลงมากกว่าประมาณการ โดยเฉพาะการชะลอตัวลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ สันดาป รวมถึงนักลงทุนชะลอการลงทุน ดังนั้น GDP 4Q67 จะต้องโต 3.2%YOY

ขณะที่ในปี 68 สำนักเศรษฐกิจต่างๆคาดการณ์ GDP ไว้ที่ ที่ +2.9%ซึ่งสาเหตุหลักที่ กดดัน คงหนีไม่พ้น ภาคการส่งออกจากความกังวลนโยบาย TRUMP ส่วนอีก ประเด็น คือ ความเสี่ยงทางการเมืองที่มีโอกาสเห็นความร้อนแรงมากขึ้นนอกสภา รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูง

ขณะที่คลังคาดเศรษฐกิจไทยปี 68 จะขยายตัวเร่งขึ้นสู่ 3% และมีโอกาสเติบโตได้ถึง 3.5% หากภาวะทั้งในและนอกประเทศเอื้ออำนวย รวมถึงมีการเร่งรัดและติดตามผล การดำเนินของนโยบายต่าง ๆ ของภาครัฐอย่างเต็มที่ โดยมี 4 ปัจจัยบวกหลัก ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชน การส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนทั้งภาครัฐ-เอกชน เป็นต้น

สรุป เศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามแต่ละส่วนประกอบ ของ GDP ซึ่งดันมาจากความคาดหวังการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของ รัฐบาลไทยในระยะถัดไป แต่มีปัจจัยกดดัน คือ TRADE WAR 2.0 ที่มีส่วนกดดันภาค การส่งออกของไทยได้

Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์