"Domestic Play"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "สร้างฐาน" ต้าน 1350/1355 จุด รับ 1330/1323 จุด ดัชนี S&P500 +0.53% ตลาดสลับกลุ่มลงทุนจาก Tech ไปหุ้น Value อาทิ สาธารณูปโภค, อสังหา, การแพทย์ หลัง GDP งวด 4Q24 สหรัฐฯ (ครั้งแรก) ต่ำกว่าคาด +2.3%q-q vs prev. +3.1%q-q และคุณ Trump จะปรับเพิ่มภาษีนำเข้า 25% กับเม็กซิโกและแคนาดา หากรวมแนวทางปรับเพิ่มจีนด้วย 10% Krungsri Research คาดกระทบ GDP สหรัฐฯและจีน -0.34% และ -0.08% แต่ประเมินจะผลบวกต่อ GDP ไทย +1.8% (หากไม่ปรับเพิ่มภาษีไทย) ภาพดังกล่าวบวกต่อ SET ขณะที่เงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่า 33.65 +/- บาท แม้ ECB ปรับลดดอกเบี้ยอีก -25 bps ผสาน การปรับลง SET วานนี้ -7.5 จุดเกิดจาก DELTA -6.0 จุด สะท้อนหุ้นอื่นมีโมเมนตัมดีขึ้น ภายใน ท่องเที่ยวสัญญาณดี ม.ค. 24 น่าจะสูง > Pre-Covid ม.ค. 19 ที่ 3.7 ล้านคน รัฐฯเตรียมใช้พันธบัตรรัฐบาลเป็นหลักประกันออก Stable Coin สกุลบาท นำร่องเม็ดเงิน 1 หมื่นล้านบาทหนุนเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ประเด็นหักล้าง CP group ถูกทาบทามให้ซื้อร่วมลงทุน Seven&I Holdings (7-11 ญี่ปุ่น) อาจเป็นความเสี่ยง ประเมิน SET ยังสร้างฐาน กลยุทธ์เลือกหุ้น Domestic ที่มีแรงหนุน อาทิ ท่องเที่ยว สื่อสาร โรงไฟฟ้า รถไฟฟ้า (เน้น BTS) วันนี้แนะนำ ADVANC, BTS , ERW เด่น
Daily outlook: "สร้างฐาน" ต้าน 1350/1355 จุด รับ 1330/1323 จุด
What happened around the world?
(*/+) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐพลิกขึ้น อิง ดัชนี Dow jones 0.38%d-d ดัชนี Nasdaq +0.25%d-d S&P500 +0.53% โดยดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นทุก Sector ยกเว้น IT ส่วนกลุ่มที่ปรับขึ้นหลักๆ คือ Utilities, Real estate, Health care ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวเด่นคือ Tesla +2.3% ฟื้นตัวจากวันก่อนที่ปรับลงรับงบ 4Q24 ออกมา กำไรและรายได้ออกมาต่ำกว่าตลาดคาด CEO อีลอน มัสก์ เผยจะเปิดตัวรถยนต์รุ่นราคาประหยัด 1H25 และจะเริ่มทดสอบบริการเรียกรถแบบไร้คนขับในเดือน มิ.ย. IBM +12.96% รับบริษัทเผยงบสูงกว่าคาด Microsoft -6% ต่อเนื่องจากวันก่อน ฯลฯ
(*) US Econ : 1.)US GDP Growth 4Q24(P) +2.3%q-q ต่ำตลาดคาด 2.7% prev. +3.1%. 2.) ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ +2.07 แสนราย ดีกว่าคาดที่ 2.24 แสนราย ดีกว่าค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ที่ 2.12 แสนราย ตัวเลขแรงงานที่ออกมา สะท้อนภาพภาคแรงงานสหรัฐฯประคองในลักษณะ Soft Landing ได้ (ความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง)
(*)US Tradewar : ปธน. Trump ยืนยันว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% ตั้งแต่ 1 ก.พ.2025 KSS ประเมินเป็นประเด็นเดิมที่เคยให้สัมภาษณ์ตั้งแต่ช่วงเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี โดยให้น้ำหนักไปที่ท่าทีจะขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศจีนมากกว่า (ก่อนหน้า Trump เคยให้สัมภาษณ์จะเก็บภาษีกับจีนเช่นเดียวกัน) โดยรวมยังบวกต่อกระแสย้ายฐานการผลิตมายังประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบ ละเป็นกลางทางการเมือง อาทิ ไทย มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม AMATA, WHA
(*) ECB Meeting : ผลประชุมนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ สู่ระดับ 2.75% และเปิดโอกาสสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในปี 2025 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ KSS ประเมินหนุนมุมมองอัตราดอกเบี้ยโลกเป็นขาลง เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นยุโรป มองบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจอิงยุโรป อาทิ MINT, XO, SHR และบวกต่อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มการเงิน JMT กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF
(*) Japan CPI : อัตราเงินเฟ้อเดือน ม.ค. +3.4%y-y (สูงสุดตั้งแต่ เม.ย.2023) เร่งขึ้นจากเดือน ธ.ค.ที่ 3.0% ทำให้ประเมินทิศทางนโยบายการเงินของญี่ปุ่นยังเป็นภาพตึงตัวต่อ อิง Bloomberg คาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 1.0% หรือคาดะเห็นการปรับขึ้นอีก 2 ครั้งๆละ 25 bps โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาลบต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดยให้น้ำหนักการลงทุนเป็น Neutral
(*) To monitors : ฝั่งจีนเช้านี้ติดตาม Caixin PMI ภาคการผลิต เดือน ม.ค. Prev. 50.5 จุด ฝั่งสหรัฐ ติดตาม PCE ตลาดคาด 2.6%y-y Prev. 2.4% ส่วน Core PCE ในเดือนเดียวกันคาด 2.8% y-y +0.2%m-m และติดตามการให้ความเห็นของคณะกรรมการ Fed อาทิ Bowman ฯลณ
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ อายุ 2 ปีทรงตัวอยู่ที่ 4.21% และอายุ 10 ปี ปรับลง 1 bps อยู่ที่ 4.51% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ส่วน Dollar Index แกว่งตัว 107.9 จุด
(*/+)Oil : ราคาน้ำมันดิบ rebound ในแนวโน้มขาลง น้ำมันดิบ Brent +0.48%d-d ปิดที่ USD 76.95/barrel น้ำมันดิบ West Texas +0.15%d-d ปิดที่ USD 72.73/barrel
(*/+)Natural Gas : ก๊าซธรรมชาติ NYMEX -3.88%d-d ปิดที่ USD3.047/MMBtu แรงกดดันจากสภาพอากาศที่ตลาดคาดหนาวลดลง โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เน้น GULF
(-) World Container Index (WCI) : WCI ปรับลงติดต่อกัน 3 สัปดาห์ ล่าสุด -2%w-w อยู่ที่ 3364 เหรียญต่อ 40 ft และปรับลงทุกเส้นทางเรือ ประเมินจิตวิทยาลบต่อหุ้นเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO (90% ของรายได้), SONIC (62% ของรายได้) LEO (75% ของรายได้) และ WICE (34% ของรายได้)
What happened in Thailand?
(*/-) SET Index : SET Index วันทำการล่าสุด ปรับตัวลดลง -7.55 จุด หรือปิด -0.56% มาอยู่ที่ 1335.6 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (SCC) ตลาดคาดหวังภาพธุรกิจผ่านจุดต่ำสุด หลังรายงานผลขาดทุนช่วง 4Q24F กลุ่มแพ็คเกจจิ้ง (SCGP) ตลาดคาดหวังภาพธุรกิจผ่านจุดต่ำสุด เช่นเดียวกับ บ.แม่ กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA, CCET) จิตวิทยาลบ Trump เข้มงวดการจำกัดการส่งออก Chip ไปจีน กลุ่มค้าปลีก (CPAXT)
(*/+) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุด เงินไหลออก ซื้อหุ้น +3.8 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -156.4 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long 975 สัญญา เงินบาทแข็งค่าสู่บริเวณ 33.7+/- บาท
(+) TH Tourism: อิงข้อมูลสำนักตรวจคนเมืองสิ้นสุด 29 ม.ค. 2025 นักท่องเที่ยวต่างชาติ ประจำวันอยู่ที่ 1.46 แสนคน ทำให้ 1-29 ม.ค. 2025 ยอดรวม 3.42 ล้านคน คาดทั้งเดือนมีโอกาสใกล้เคียง 3.7 ล้านคน ซึ่งเป็นระดับเดียว ม.ค. 2019 และสนับสนุนมุมมอง Krungsri Research คาดนักท่องเที่ยวปี 2025F จะใกล้เคียง Pre-COVID ที่ 40 ล้านคน ขณะที่มีโอกาสหนุน Consensus บางส่วนที่มองนักท่องเที่ยวกรอบ 38-39 ล้านคนมีมุมมองทางบวกขึ้น เป็นบวกต่อหุ้นท่องเที่ยว ที่ราคา Under Value เน้น MINT, ERW, CPALL, AOT
(+) Government Policies Implementation: รมว. คลังให้ข้อมูลแนวนโยบายที่รัฐฯจะเร่งผลักดันระยะถัดไป เราประเมินนโยบายส่วนใหญ่ส่งผลเชิงบวกต่อตลาด
ออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) ที่อิงพันธบัตรรัฐบาล โดยเบื้องต้นเราคาดจะเป็นกลไกที่กระจายให้ผู้ถือหน่วยเป็นนักลงทุนทั่วไปมากขึ้น และหากต้องการนำเงินไปใช้ก่อนครบกำหนด สามารถนำพันธบิตรที่ถืออยู่มาเป็นหลักประกันของเหรียญฯ Stable Coin และนำ Stable Coin ไปใช้ในระบบ เบื้องต้นคาดวงเงิน 1.0 หมื่นล้านบาท ชัดเจนในปี 2025 เราประเมินเป็นบวกต่อเศรษฐกิจภายใน จากเม็ดเงินหมุนเวียนมากขึ้น และบวกต่อหุ้น Domestic อาทิ ธนาคาร เน้น KBANK, KTB, SCB ค้าปลีก เน้น CPALL, CPAXT ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวอีกด้านหนึ่งยังต้องติดตามท่าทีของ BOT ประกอบ
ภายใน ก.พ. 25 จะเสนอครม.เพิ่มอำนาจ ก.ล.ต.บังคับใช้กฎหมายพ.ร.ก.เพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คาดทำให้การบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำความผิดใช้เวลา 6-7 เดือน เร็วขึ้นกว่าปัจจุบัน จึงประเมินน่าจะมีส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นตลาดทุนไทยเพิ่มได้
เตรียมออกกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน 3 แสนล้านบาท ภายในปี 25 ดันรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ประเมินบวกต่อ BTS มากสุด
ผลักดัน บจ. เข้ามามีบทบาทใน Digital asset โดยที่ไม่ต้องไปตั้งบริษัทใหม่ เราประเมินเป็นบวก แต่ให้น้ำหนักระยะกลาง-ยาว อาจก่อให้เกิดธุรกิจ S Curve ใหม่ๆ ในตลาดหนุนตลาดทุนภาพรวม
(*/+) TH GDP Forecast: สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 24 จะขยายตัวอยู่ที่ระดับ 2.5% จากเดิมที่คาดโต 2.7% เป็นผลจากตัวเลขภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงมากกว่าประมาณการ โดยเฉพาะการชะลอตัวลงของอุตสาหกรรมยานยนต์สันดาป ส่วนปี 2025 ประเมินมีโอกาสเห็นเศรษฐกิจขยายตัวถึงระดับ 3.5%+/- จากปัจจุบันที่ประเมิน 3.0% หากนโยบายคุณ Trump ที่สร้างความเสี่ยงเศรษฐกิจผลักดันค่อยเป็นค่อยไป ประเมินน่าจะมีแรงหนุนทางบวกเพิ่มเติมจากแรงขับเคลื่อนภายในจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐฯ อาทิ การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้สูงกว่าระดับปกติ, นโยบาย Digital Wallet, เม็ดเงินลงทุนโครงการบ้านเพื่อคนไทย และการกระตุ้นภาคท่องเที่ยว และเร่งรัดการลงทุนภาคเอกชนที่ยื่นขอรับ BOI โดยเฉพาะ Data Center อิงภาพดังกล่าว
เชิงกลยุทธ์ เราให้น้ำหนักหุ้น Domestic ที่มีโอกาสเห็น Upside จากแนวนโยบายในปีนี้ นำโดยธนาคาร เน้น KBANK, KTB, SCB เช่าซื้อ เน้น MTC ค้าปลีก เน้น CPALL, CPAXT ท่องเที่ยว เน้น MINT, ERW Infra Tech เน้น ADVANC, GULF, INSET
(*/+) Digital Transformation: กระทรวงสาธารณสุข ตั้งระบบ MOPH Imaging HUB ระบบฐานคลังข้อมูลภาพทางการแพทย์ สามารถอัปโหลดและเชื่อมโยงข้อมูลอัตโนมัติระหว่างหน่วยงานทางการแพทย์แล้วกว่า 300,000 ภาพ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการส่งต่อผู้ป่วย เราประเมินเป็นสัญญาณที่ดีถึงแนวโน้ม Digital Transformation ที่ขยายตัวสู่อุตสาหกรรมการแพทย์ จากเดิม กระจุกตัวในกลุ่มอุตสาหกรรมการเงิน โดยทิศทางดังกล่าวมีโอกาสนำมาสู่การพัฒนาคล้ายต่างประเทศลักษณะการใช้ภาพอาการป่วยโรคต่างๆและพัฒนาการโรคให้ AI วิเคราะห์และช่วยวินิจฉัยโรคในอนาคต จิตวิทยาบวกต่อโอกาสทางธุรกิจหุ้น Digital Tech ทั้ง BE8 และ BBIK
(*) To monitor: วันนี้ 31 ม.ค. รายงานดุลบัญชีเดินสะพัด ธ.ค. 24 ไม่มีคาด vs prev. เกินดุล 2.0 พันล้านเหรียญฯ และรายงานเศรษฐกิจประจำเดือนของ BOT ส่วนสัปดาห์หน้าปัจจัยภายในติดตาม
1.) 4 ก.พ. ติดตามการประชุม ครม. และรายงานนักท่องเที่ยวต่างชาติรายสัปดาห์
2.) 5 ก.พ. เงินเฟ้อ CPI ม.ค. 25 เงินเฟ้อทั่วไป ไม่มีคาด vs prev. +1.2%y-y, +0.18%m-m เงินเฟ้อพื้นฐาน ไม่มีคาด vs prev. +0.79%y-y
3.) 7-13 ก.พ. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.ค. 25 ไม่มีคาด vs prev. 57.9 จุด
4.) เข้าสู่ช่วงรายงานกำไรกลุ่ม Real Sector งวด 4Q24 ทั้งนี้ หุ้นหลักๆ ที่จะรายงานกำไร ได้แก่ ADVANC, THCOM, OKJ
Daily Strategy : ADVANC, BTS, ERW
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "สร้างฐาน" แม้ภาพรวมต่างประเทศ ยังเห็นเม็ดเงินสลับไปยังกลุ่ม Value จากกลุ่ม Tech ที่มี Valuation แพง หลังความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น ตั้งแต่มีประเด็น Deepseek ขณะที่คุณ Trump ยืนยันจะเริ่มนโยบายปรับเพิ่มภาษีแคนาดา เม็กซิโก 25% ขณะที่ภายในมีจุดบวก โมเมนตัมนักท่องเที่ยว ม.ค. 24 กำลังเดินหน้าสู่ระดับ Pre-COVID, รัฐฯเดินหน้ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แต่ภายในอาจจะมีความเสี่ยง จากกรณี CP group ถูกทาบทามให้ซื้อร่วมลงทุน Seven&I Holdings (7-11 ญี่ปุ่น) โดยรวมกลยุทธ์เน้น Selective หุ้นที่มีประเด็นบวกเฉพาะเน้นฝั่ง Domestic อาทิ ท่องเที่ยว สื่อสาร รถไฟฟ้า (เน้น BTS) โรงไฟฟ้า
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
กลุ่มที่คาดรายงานกำไร 4Q24F ออกมาดี ขยายตัว y-y q-q (ADVANC, AMATA, BTS, ERW, CENTEL, CPAXT,CPALL, CRC, HMPRO , TRUE, OKJ)
กลุ่มที่คาดมีโอกาสซื้อหุ้นคืน (PTT , SCB , KBANK , KTB , BBL , PTTGC , TOP BCP)
•Jan 2025 Stock Picks : ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, BTS, GULF, MALEE
• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
Strategy Update : โอกาสลงทุนจากกระแสหุ้นทุนซื้อคืน (Treasury Stocks)
· กระแสการซื้อหุ้นคืนรายบริษัท (Treasury Stocks) ของตลาดหุ้นไทย นับจากนี้มีแนวโน้มคึกคักขึ้น โดยเฉพาะฝั่งหุ้น Big-Mid Cap หลัง TTB นำร่องประกาศซื้อคืน 3 ปีปีละ 7.0 พันล้านบาท กรอบวงเงินรวม 2.1 หมื่นล้านบาท ผสาน SET Index ระดับดัชนีปัจจุบันอยู่ในโซนลงทุนดึงดูดเม็ดเงินลงทุนระยะกลาง-ยาว
· ทีมกลยุทธ์ ประเมินจากข้อเสนอแนะอดีตนายกฯ ในงานสัมมนาล่าสุด 1 ในแนวทางที่ช่วยเรียกคืนความเชื่อมั่นตลาดคือการซื้อหุ้นคืน(Treasury Stock) KSS ทำการคัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสเห็นการประกาศซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) ในระยะถัดไป โดยใช้เกณฑ์
1.)เป็นหุ้น Undervalue ที่ซื้อขายต่ำมูลค่าทางบัญชี หรือมี PBV ต่ำกว่า 1.0 เท่า คือ
2.) มีสภาพคล่องมากพอซื้อคืน > 5.0% ของมูลค่าตลาดหุ้น (Market Cap) และมีสภาพคล่องเข้าเกณฑ์ของตลาดฯ 3.) มีสภาพคล่องเพียงพอชำระหนี้ครบกำหนดในอีก 1 ปี (vs ตลาดกำหนด6 เดือน)
4.)มีกำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรรในงบเดี่ยวเพียงพอรองรับการซื้อคืน
· กลยุทธ์การลงทุน : แนะนำลงทุนในหุ้น Theme "Treasury Stock Plays" โดยเลือกหุ้นที่มีศักยภาพ และผ่านเข้าเกณฑ์ดังกล่าวข่าวต้น และมีปัจจัยหนุนอุตสาหกรรม พบว่ามีหุ้น Big Cap หลักๆ ในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร ปิโตรเคมีที่มีโอกาสเห็นการซื้อคืนระยะถัดไป อาทิ PTT, SCB, KBANK, KTB , BBL, PTTGC, TOP, BCP
Strategist Comment: Deepseek
กระแสข่าว AI Application จากประเทศจีน "Deepseek" ที่ทำงานได้ใกล้เคียงผู้นำตลาด โดยไม่จำเป็นต้องใช้ชิปประมวลผลสูง ทำให้ต้นทุนพัฒนาต่ำกว่า
โดยรวมประเมินนำมาสู่โอกาสเห็นภาพ AI Adoption ทั่วโลกเร่งขึ้น แต่สร้างความเสี่ยงหุ้น Semiconductor โลกที่จำหน่ายชิปประมวลผลระดับสูงที่อาจมีผลกระทบต่อยอดขาย จึงน่าจะเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นใน 1.) กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไทย ให้เกิดภาพชะลอลงทุนระยะสั้น อย่างไรก็ตาม KSS ประเมินผลกระทบจำกัด เพราะบริษัทชิ้นส่วนไทยไม่ได้มีสินค้าหรือรายได้ชิปประมวลผลสูง อาทิ กรณี DELTA เน้นจำหน่าย Power Supply ส่วนอีกกลุ่มที่อาจจะเห็นการชะลอลงทุน คือ 2.) กลุ่มโรงไฟฟ้า อาจจะมีความกังวลการใช้ไฟฟ้าต่ำลงตามรูปแบบชิปประมวลผลสูงลดลง อย่างไรก็ตาม ภาพบวกที่ AI Adoption จะเพิ่มขึ้นหนุนความต้องการโรงไฟฟ้ารวมถึงอุปกรณ์ Power Supply ในท้ายที่สุดอยู่ดี กลยุทธ์รอตั้งรับเมื่อหุ้นอ่อนตัวรับความกังวล
ขณะที่กลุ่มคาดได้ประโยชน์จากกรณีดังกล่าว คือ กลุ่มที่ผู้ใช้งาน AI ที่มีทางเลือกมากขึ้น ต้นทุนลดลง คาดนำมาสู่ปริมาณการใช้ข้อมูลในโครงข่ายโทรคมนาคมเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด ในส่วนกลุ่มสื่อสาร เน้น ADVANC และกลุ่ม Digital Tech Consult ที่ปริมาณงานที่ปรึกษาดิจิตอลจะเพิ่มขึ้นตาม AI Adoption เน้น BE8, BBIK
Strategy Update: MSCI Rebalance
MSCI Rebalance รอบเดือนก.พ. จะประกาศรายชื่อวันที่ 11 ก.พ.มีผลราคาปิดวันที่ 28 ก.พ. เราคาดหุ้นเข้า/ออก ดัชนี MSCI ACWI ดังนี้
หุ้นเข้า: ไม่มี
หุ้นออก: TOP (medium conviction)
Strategy Update : Dividend Plays 2H24
ช่วงปลายเดือน ก.พ. - พ.ค. 2025 จะเข้าสู่เทศกาลจ่ายปันผลประจำปี 2024 ของบริษัทจดทะเบียน ทีมกลยุทธ์ KSS จึงได้รวบรวมหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง) จากคาดการณ์ของ KSS และ Consensus เพื่อนำมาคัดสรรหุ้นปันผลสูง (High Dividend) คือ Dividend Yield มากกว่า 3.5% สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะ 1 - 2 เดือนแรกของปี ใน "Theme Dividend Play"
Key Ideas : KSS มีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นปันผลในช่วงต้นปีเนื่องจาก
o KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นปันผล(SETHD) ย้อนหลัง 10 ปี พบว่า SETHD ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. ของทุกปี ผลตอบแทนมักเป็นบวก เดือน ม.ค. ผลตอบแทนบวก 6 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.7%, เดือน ก.พ. บวก 7 ใน 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +0.67%
o SETHD ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของทุกปี (งวด 1Q) ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.85%)
กลยุทธ์ : ในเชิงกลยุทธ์ KSS แนะนำซื้อหุ้นปันผลสูงก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD 2 สัปดาห์แล้วขายวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD (dividend capture) มักจะให้ผลตอบแทนที่ดี ทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการคัดกรองหุ้นปันผลเด่น ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ คือ
1.) เป็นหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผล ช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง)
2.) เป็นหุ้นพื้นฐานที่มีแนวโน้มการเติบโต/กระแสเงินสดมั่นคง /อยู่ใน Theme การลงทุนหลักของ KSS ปี 2025 อาทิ Theme เศรษฐกิจไทยปี 2025F เติบโต อาทิ กลุ่มธนาคาร หรือ อยู่ในอุตสาหกรรม Up Cycle อาทิ Sector ICT หรือ หุ้นที่อยู่ในกลุ่มได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มอสังหา กลุ่มการเงิน ฯลฯ โดยเรียงตามอัตราตอบแทนเงินปันผลจากสูงไปต่ำ
พบว่ามีหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลเด่น 9 บริษัท คือ
หุ้น Big Cap ได้แก่ SCB (TP Max Con 135.0, Yield 2H24F 8.6%), TTB (TP25-2.2,Yield 2H24F 7.2%) HMPRO (TP25-13.5,Yield 2H24F 4.3%) INTUCH (TP25-108,Yield 2H24F 4.2%), ADVANC (TP25-305, Yield 2H24F 3.7%),
หุ้น Mid Cap ได้แก่ AP (TP25-11.8., Yield 2H24F 7.65%), TISCO (TP25-97.0, Yield 2H24F 5.84%), SC (TP25-3.2, Yield 2H24F 5.52%), JMT (TP25-22.8, Yield 2H24F 2.3%),
หุ้นปันผลสูงครึ่งหลังปี 2024 ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, HMPRO,JMT AP, SC, TISCO
โดยทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการศึกษาสถิติหุ้นปันผลเด่น 9 บริษัทดังกล่าวข้างต้น ย้อนหลัง 8 ปี พบว่าหากลงทุนซื้อหุ้นก่อน 2 สัปดาห์และขายวันที่ขึ้น XD พบว่า ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ Return มากที่สุด คือ JMT +5.36%, TTB +4.16%, ADVANC +3.05%, ส่วน SCB, HMPRO, INTUCH, AP, SC, TISCO ผลตอบแทน (Capital Gain) เฉลี่ยอยู่ราว 1% เท่ากับว่า การลงทุนหุ้นกลุ่ม High Dividend ในช่วงเวลาดังกล่าว หลาย ๆ ครั้งนักลงทุนจะมักจะได้รับเงินปันผลฟรี
• Land Transport (Neutral) : We rate the sector Neutral because of regulatory risks. There is near-term relief following confirmation the government would subsize operators to offer Bt20 flat fare in Phase 1. But, it is a matter of time before the government buys back the concession contracts; this will remain an overhang in the sector until there are further details possibly next year, especially the buyback price. BTS - our top pick - looks promising as they would be better off with this policy and would receive payment from the BMA for O&M services.
• SIRI (Buy, TP25F-2.34): คาดกำไรสุทธิ 4Q24F ที่ 1.22 พันลบ. (-6% y-y, -7% q-q) ต่ำกว่าคาดเดิมเล็กน้อยจาก % GPM ที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งเป็นผลจาก price promotion มากกว่าปกติ สำหรับ 2024F Norm. profit คาด 4.85 พันลบ. (-5% y-y) โดยคาดลดลงน้อยกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ สำหรับ outlook 2025F คาดมีโอกาสเติบโตทั้งด้าน presale, transfer รวมถึง Norm. profit ตามแผนเปิดโครงการใหม่ที่ยังเพิ่มขึ้น y-y และมี flagship project ที่คาดว่าขายดีหลายโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่เปิดใน 1H25F เราคงประมาณการ Norm. profit 2025F ที่ 5.25 พันลบ. (+8% y-y) ซึ่งมีโอกาสเป็น new high เราคง TP25F ที่ 2.34 บาท คง Buy และเป็น top pick โดยชอบจุดเด่นเรื่องการเป็น first mover ทั้งด้าน product design, การจับ trend ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไวได้ดี และกลยุทธ์สร้าง value-added ในทำเลที่มีการโตสูง ซึ่งเป็นส่วนผลักดันให้ 2025F Norm. profit ทำ record high ได้
• AWC (Buy, TP25F-2.34): We maintain a Buy rating for AWC with a target price of Bt4.40, premised on the following: (i) we expect strong yoy and qoq earnings growth in 4Q24F-1Q25F fueled by peak tourist season. (ii) The recent 12% YTD share price decline appears overly pessimistic, implying AWC won't be able to increase room rates beyond 2025F. AWC has already achieved a 6% yoy increase in room rates during 4Q24F, and we expect a further high-single-digit growth in 1Q25F. Looking ahead, our conservative estimate of 2% room rate growth in FY25F, combined with the company's expanding hotel portfolio, supports our forecast of 22% core profit growth (2-year CAGR FY25-27F). BUY reiterated.
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI