ภาวะตลาด : SET Index วานนี้ปิดอ่อนลง -2.58 จุดที่ 1343.19 มูลค่าซื้อขาย 2.7 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้หลายตลาดปิดทำการเนื่องในวันตรุษจีน หุ้นที่พยุงตลาดเป็นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ นำ โดย TTB ที่ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืน และหุ้นใหญ่อย่าง MINT, PTTEP, BTS, BEM เป็นต้น ส่วนหุ้นที่ถ่วงตลาดลงเป็น ADVANC, OSP, BH, CBG, CCET เป็นต้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ -702 ล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ +144 ล้านบาท
ปัจจัยต่างประเทศ
• คณะกรรมกำรเฟดมีมติเอกฉันท์คงดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ 4.25-4.5% ในกำรประชุม 28-29 ม.ค.นี้ เฟดระบุว่าเศรษฐกิจขยายตัวแกร่ง อัตราว่างงานอยู่ในระดับต่ำ ตลาดแรงงานแข็งแกร่ง ส่วนอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง เฟดส่งสัญญาณไม่รีบลดดอกเบี้ย...จับตาดัชนี PCE ทั่วไปและพื้นฐานเดือนธ.ค. ในวันศุกร์ที่ 31 ม.ค. ตลาดคาดดัชนี PCE ทั่วไปเพิ่มเป็น 2.6% (จาก 2.4% ในเดือนพ.ย.) ส่วนดัชนี Core PCE ทรงตัวที่ 2.8% เท่ากับเดือนพ.ย.
• ติดตามผลประชุม ECB 29 ม.ค.นี้ ตลาดคาดจะลดดบ. 0.25% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
•/- สัญญาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT ร่วงกว่า 1% เป็น 72-76 US$/bbl หลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐสูงเกินคาด ดัชนีราคาถ่านหิน (NC) ขยับขึ้นเป็น 116.05 (สูงสุดรอบนี้ 149) ดัชนี Baltic Dry Index ลดต่อเป็น 726 (สูงสุด 2110)
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวหุ้นเด่น
+ บอร์ด BOI ประเดิมปี 68 อนุมัติส่งเสริมลงทุน 3 โครงการ กว่า 1.7 แสนล้านบาท เป็นโครงการ Data Hosting, AI Cloud Service และกิจการผลิตโพแทสเซียมคลอไรด์...โมเมนตัมการลงทุนยังดีต่อ ซึ่งเป็นบวกกับกลุ่มนิคมฯ รับเหมาก่อสร้าง หุ้นเด่นเป็น AMATA, CK
- SCC : ขาดทุนสุทธิ 4Q24 เท่ากับ -512 ลบ.เป็นไปตามคาด จากธุรกิจ CBM อ่อนแอ สเปรดปิโตรเคมีลดลง อุปสงค์บรรจุภัณฑ์ฟื้นช้าและรับรู้ขาดทุน Fajar เพิ่มขึ้น แนวโน้มยังท้าทายทั้งในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจบรรจุภัณฑ์ของ Fajar คงคำแนะนำ ถือ ให้ราคาพื้นฐาน 177 บาท
กลุยทธ์ : รีบาวด์ไม่ควรหลุด 1340+/2 หลุดทดสอบ 1333-1323 แต่ดีดกลับได้...ระยะสั้นหากจะมีช่วงรีบาวด์ต่อไม่ควรหลุดต่ำกว่า 1340+/-2 อีหากหลุดต่ำกว่ามีโอกาสลงมาทดสอบแนวรับหลักที่ 1333-1323 ซึ่งเป็นระดับที่มีนัยสำคัญในระยะกลางที่มีโอกาสรีบาวด์สูง ส่วนการปรับตัวขึ้นยังมีแนวต้านที่ 1355/1364 ต้องยืนเหนือ 1364 จึงจะกลับมาแกว่งตัวขึ้นและมีแนวต้านหลักถัดไปที่ 1380 หุ้นเด่นเทคนิควันนี้เป็น ADVANC, KBANK
หุ้นพื้นฐานแนะนาลงทุน : TIDLOR – คาดกำไรสุทธิ 4Q24F โต +17% y/y; +6% q/q เป็น 1.05 พันล้านบาท ปัจจัยหนุน คือ รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น(สินเชื่อเติบโตดีขึ้น และ NIM กว้างขึ้น ซึ่งมาจาก Yield ที่ดีขึ้น แม้ว่าต้นทุนการเงินจะสูงขึ้นก็ตาม) รายได้ค่าธรรมเนียมสูงขึ้น (จากยอดขายเบี้ยประกันที่เติบโตขึ้น ) และ credit cost ลดลง คำดกำรณ์ NPL ratio สิ้น 4Q24F ลดเป็น 1.85% (จาก 1.88% ในสิ้น 3Q24) คาด coverage ratio สิ้นปี 24 สูงมากที่ 244% แนะนำ ซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 21 บาท
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์: อาภาภรณ์ แสวงพรรค : arparporns@dbs.com : Tel 02 587 7829