---4Q24 ถูกกดดันจากผลขาดทุน Fajar และอัตราแลกเปลี่ยน---
SCGP รายงานขาดทุนสุทธิใน 4Q24 ที่ -57 ล้านบาท ซึ่งแย่กว่าที่เราและตลาดคาดการณ์ไว้ (เทียบกับที่มีกำไรสุทธิ 1.21 พันล้านบาทใน 4Q23 และกำไรสุทธิ 577 ล้านบาทใน 3Q24) ปัจจัยกดดันมาจาก 1) ความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์ชะลอตัวในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคในจีนและยุโรป, 2) ปริมาณขายลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงโรงเยื่อกระดาษ, 3) สัดส่วนการถือหุ้นใน Fajar เพิ่มเป็น 99% (จากเดิมประมาณ 55%) โดย Fajar ยังขาดทุนจากการดำเนินงาน, 4) ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน -118 ล้านบาท
ด้าน EBITDA รวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ 2.81 พันล้านบาท (-32% y/y, -17% q/q) และ EBITDA margin ลดลงเป็น 9% (เทียบกับ 13.1% ในไตรมาส 4Q23 และ 10.1% ใน 3Q24)
คาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวใน 1Q25F ได้รับแรงหนุนจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น ในช่วงเทศกาล การฟื้นตัวของความต้องการในจีน เอเชีย สหรัฐ และโรงงานเยื่อกระดาษกลับมาดำเนินงานปกติหลังปิดซ่อมบำรุงไปใน 4Q24
แนวทางปรับปรุงการดำเนินงานในปี 2568F โดยหลักประกอบด้วย 1) การประหยัดต้นทุนประมาณ 1.0 พันล้านบาทจากการบริหารจัดการซัพพลายเชน การปรับปรุงต้นทุนวัตถุดิบ และการใช้ AI, 2) การปรับโครงสร้างเงินทุนของFajar
ผู้บริหารคาด Fajar จะมี EBITDA เป็นบวกได้ใน 2Q25F จากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และปรับโครงสร้างทางการเงิน ผู้บริหารยังยืนยันว่าการซื้อ Fajar ที่ Enterprise value ราว 900 ดอลลาร์/ตัน ยังถูกกว่าการสร้างโรงงานใหม่ และหลังเข้าซื้อ บริษัทสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดในอินโดนีเซียได้ 30%
คงคำแนะนำถือ ให้ราคาพื้นฐาน 18 บาท อิงกับวิธี DCF โดยมองว่าอุปสงค์บรรจุภัณฑ์ฟื้นตัวช้ากว่าคาดโดยเฉพาะในจีนและยุโรป, สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนอาจทำให้ราคาบรรจุภัณฑ์ลดลง และการฟื้นตัวของ Fajar อาจใช้เวลานานกว่าที่บริษัทคาดไว้
นักวิเคราะห์ : ดุลเดช บิค : duladethb@th.dbs.com : Tel. 02 857 7833