AT THE OPEN (#ATO)
SET Index ค่อยๆฟื้นตามกรอบ 1340-1360
เลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
Market Strategy
SET Index คาดยืนสร้างฐานสลับฟื้นตัวในกรอบ 1340-1360 จุด การฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯจะช่วยลดแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ของบ้านเรา ขณะที่ปัจจัยในประเทศมี Sentiment บวกให้เห็นจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เร่งตัวขึ้น ส่วนประเด็นที่ติดตามคือผลการประชุม FED ซึ่งคาดว่าจะคงดอกเบี้ยฯ และไม่น่าจะสร้าง Negative Surprise ต่อตลาดการเงิน วันนี้เลือก TTB เป็นหุ้นเด่น
สภาพแวดล้อมต่างประเทศดูผ่อนคลายขึ้นจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่กลับมายืนในแดนบวกได้ทั้งหมดในช่วง 0.3%-2% จากแรงซื้อคืนกลุ่ม AI นำโดย NVIDIA +9% เช่นเดียวกับราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น +0.7% เป็นปัจจัยที่ช่วยลดแรงกดดันต่อกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์และกลุ่มพลังงาน
การประชุม ครม. วานนี้เห็นชอบ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันปและปราบปรามอาชญากรทางเทคโนโลยี กระบวนถัดไปส่งให้กฤษฎาฎีกาตรวจสอบก่อนประกาศลงในพระราชกิจจานุเบกษาคาดเริ่มใช้ในเดือน ก.พ. 68 โดยส่วนที่ให้ความสนใจคือกรณีธนาคารและผู้ให้บริการมือถือไม่ปฏบัติตามข้อกำหนดแล้วเกิดความเสียหายจะต้องร่วมรับผิดชอบ มุมมองของเราเชื่อว่าจะทำให้ธนาคารและผู้ให้บริการมือถือการลงทุนในระบบ IT โดยเฉพาะด้านรักษาความปลอดภัย แต่จะไม่มากจนสร้าง Downside ต่อประมาณการกำไรของเราจึงมองเป็นกลางกับประเด็นนี้ ส่วนหุ้นที่อาจได้ Sentiment บวกคือกลุ่ม Tech Service อย่าง BE8 BBIK
การรายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยระหว่างวันที่ 20-26 ม.ค. จำนวนทั้งสิ้น 8.8 ล้านคนเพิ่มคน 7.3%WoW โดยนักท่องเที่ยวจีนยังเป็นประเทศที่เข้าสูงสุด โดยเพิ่มขึ่น 1.79 แสนคนเพิ่มขึ้น 20.3%WoW ขณะที่การรายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวสัปดาห์ถัดไปที่จะเข้าสู่ช่วงตรุษจีนเชื่อว่าโมเมนตัมยังมีโอกาสขยายตัว WoW ได้ต่อ ซึ่งจะเป็นประเด็นที่ช่วยลดความกังวลด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยวไทยหลังจากการข่าวเลือกการลักพาตัวในช่วงก่อนหน้า ซึ่งมองเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มโรงแรม ERW CENTEL และ AWC
Market Summary
SET Index ปรับขึ้น 0.36% โดยกลุ่มที่ Outperform มาจากกลุ่มที่อิงเศรษฐกิจในประเทศ นำโดยไฟแนนซ์ +1.9% MTC +4.6% TIDLOR +2.4% กลุ่มค้าปลีกจากมาตรการกระตุ้นรัฐฯ CPALL +1.8% COM7 +3.5% กลุ่มท่องเที่ยว AWC +3.9% จากนักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัว MINT +2.6% จากงบ 4Q67 มีแนวโน้มขยายตัว QoQ/YoY ส่วนกลุ่มที่ Underperform กลุ่มเทคฯ DELTA -2.5% CCET -3% กลุ่มบรรจุภีณฑ์จาก SCGP -2.4% ที่รายงานงบพลิกขาดทุน -56.6 ล้านบาท ต่ำกว่าตลาดคาด ต่างชาติซื้อสุทธิ 1.9 พันล้านบาท
DAILY Stock Pick
TTB
TTB ประกาศโปรแกรมซื้อหุ้นคืนสูงสุด 10% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว วงเงิน 21,000 ล้านบาทในช่วงปี 2568-2570 สำหรับปี 2568 ธนาคารจะเริ่มซื้อหุ้นคืนรอบแรกสูงสุด 3.6% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว วงเงิน 7,000 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 3 ก.พ. 2568 ถึง 1 ส.ค. 2568
เรามองราคาหุ้นจะตอบรับเชิงบวกจากโปรแกรมซื้อหุ้นคืนนี้สอดคล้องกับมุมมองของเรา ประเมิน ROE ของ TTB จะแตะ 10% ในปี 2569 (จากเดิมที่คาดไว้ 9.5%) โดยสมมติว่า TTB ใช้เงิน 7,000 ล้านบาทเพื่อซื้อหุ้นคืนประมาณ 3,000 ล้านหุ้นต่อปีในช่วงปี 2568-70 และอัตราการจ่ายปันผลจะอยู่ที่ 7.6-9% ต่อปี บนสมมติฐาน Dividend Payout Ratio ที่ 60% ช่วงปี 2568-70 คาดว่า TTB ปัจจุบันซื้อขายบน P/BV68 0.75 เท่ามีแนวโน้มที่จะซื้อขายในระดับพรีเมียมเมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่ เนื่องจากมีรายได้ที่คาดการณ์ได้ชัดเจนและ ROE ที่เพิ่มขึ้น
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 2.10 บาท
WEEKLY Stock Pick
MTC
คาดกำไรปี 68 จะขยายตัว 17%YoY ดีกว่ากลุ่มที่ขยายตัวเฉลี่ยที่ 10.4%YoY โดยแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการเติบโตของสินเชื่อที่บริษัทตั้งเป้าขยายตัว 15% ต่อปี ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์เชื่อว่าจะอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดยส่วนหนึ่งจะได้ประโยชน์จากมาตรการแจกเงินของรัฐบาล ที่สำนักงานสถิติแห่งชาติเผยผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเปราะบางผู้ได้รับเงินสดเฟส 1 พบว่า 12.8% ใช้สำหรับชำระหนี้สิน ซึ่งวันนี้เป็นวันที่เริ่มจ่ายกลุ่มผู้สูงอายุเฟส 2 วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท จึงเชื่อว่าเป็นบวกต่อคุณภาพสินทรัพย์ของ MTC ใน 1Q68 ได้ต่อไป
ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีติดลบตามกลุ่มไฟแนนซ์แรงกดดันหลักมาจาก U.S. Bond Yield ปรับขึ้น บนความกังวลการลดดอกเบี้ยช้าของ FED แต่อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าแรงกดดันจากนี้จะเริ่มลดลงจากนโยบายของคุณทรัมป์ต้องการ “ลดเงินเฟ้อ ลดดอกเบี้ยฯ” ทำให้ U.S. Bond Yield 10 ปีสหรัฐฯ ล่าสุดปรับลงถึง 28 bps จากจุดสูงสุดและจะคาดว่าจะเข้าสู่โหมดพักตัว ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวมองเป็น Sentiment บวกหนุนต่อราคา MTC ในระยะถัดไป
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 60.00 บาท
KEY FACTOR
หุ้นไทยพลิกกลับมาปิดบวก +0.36% (หากหักผลกระทบเชิงลบจาก DELTA ที่มีผล -3.5 จุด จะบวกประมาณ +0.62%) และอยู่ในกลุ่มตลาดที่ Outperform ตลาดหุ้นโลก สะท้อนผลกระทบจากความกังวลหุ้นกลุ่มเทคฯเริ่มลดลง สอดคล้องกับหุ้น Big Tech ที่กลับมาฟื้นตัว Nasdaq +2.03%
ปัจจัยสำคัญในช่วงถัดไป คือ การประชุม FOMC (รู้ผลการประชุมเช้าวันที่ 30 ม.ค.) ซึ่งในการประชุมครั้งนี้จะมีคณะกรรม Fed ที่มีสิทธิ์ในการลงมติสับเปลี่ยนเข้ามาใหม่ 4 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้น (ประธาน Fed สาขาชิคาโก) เป็นผู้ที่มีมุมมองเชิงผ่อนคลายมากที่สุดจาก Dot Plot ครั้งที่ผ่านมา มุ่งเน้นการฟื้นเศรษฐกิจและตลาดแรงงานสู่ระดับการจ้างงานเต็มที่ (Full Employment) ส่วนผู้มีสิทธิ์ลงมติอีก 3 รายที่มีการสับเปลี่ยนกัน มีมุมมองเป็นกลางค่อนไปทางเข้มงวดเล็กน้อยไม่ต่างจากเดิม ทั้งนี้ การส่งสัญญาณหลังการประชุมน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการกำหนดดอกเบี้ยในระยะยาว ซึ่งมีโอกาสที่โทนโดยรวมน่าจะผ่อนคลายลงจากเดิมจากสาเหตุดังกล่าว ผสานกับภาคการเมืองที่มีแรงกดดันจากทรัมป์ บวกกับการดำเนินนโยบาย (นโยบายการค้าที่ยังไม่รุนแรงมากนัก การลดราคาพลังงาน) ที่อาจทำให้เงินเฟ้อไม่น่ากังวลมากดังเช่นในช่วงก่อนหน้า
EYES ON
[ในสัปดาห์] การรายงานงบฯ 4Q67 กลุ่ม Real Sector
28 ม.ค. จีนหยุดทำการเริ่มเข้าสู่เทศกาลตรุษจีน (28 ม.ค. – 4 ก.พ.)
30 ม.ค. รู้ผลการประชุม FOMC
31 ม.ค. PCE เดือน ธ.ค. ของสหรัฐฯ
นักกลยุทธ์ : ธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์, ชาญชัย พันทาธนากิจ