Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

278

 

ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook

แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ
อัปเดต Sentiment การลงทุนในภูมิภาคจาก Fund Flow
Key Takeaways:

กระแสเงินทุนต่างชาติกลับมาไหลเข้าในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมียอดซื้อสุทธิมูลค่า 276 ล้านเหรียญ พลิกกลับจากยอดขายสุทธิ 2,243 ล้านเหรียญ ในช่วงก่อนหน้า แต่มีแรงซื้อเพียงตลาดเดียว ได้แก่ ไต้หวัน

เซคเตอร์เด่นของภูมิภาคในสัปดาห์ที่แล้วจากการจับสัญญาณด้วย Volume Index ได้แก่ Transport & Storage ในเกาหลีใต้ และ Chemicals ในไต้หวัน

บรรยากาศการลงทุนที่อ่อนแอและปริมาณการซื้อขายที่เบาบางยังคงกดดันตลาดหุ้นไทย โดย Stock Price Breadth ยังคงอยู่ในระดับต่ำ คล้ายกับ bear
market ในช่วง 4Q23-1Q24
รายละเอียด:
การติดตามกระแสการลงทุน (fund flows) ใน 5 ประเทศในสัปดาห์ที่ผ่านมา มียอดซื้อสุทธิ 276 ล้านเหรียญ ซึ่งพลิกกลับจากการไหลออกสุทธิที่ระดับ 2,243 ล้านเหรียญ โดยมี net inflow เพียงประเทศเดียว ได้แก่ ไต้หวัน 895 ล้านเหรียญ ขณะที่อีก 4 ประเทศที่เหลือเป็น net outflow ได้แก่ เกาหลีใต้ 506 ล้านเหรียญ, ไทย 23 ล้านเหรียญ, ฟิลิปปินส์ 34 ล้านเหรียญ และอินโดนีเซีย 57 ล้านเหรียญ
สำหรับเซคเตอร์เด่นของภูมิภาคจากการจับสัญญาณด้วย Volume Index ได้แก่ Transport & Storage ในเกาหลีใต้ และ Chemicals ในไต้หวัน

แนวโน้ม:
เซคเตอร์ไทยที่น่าจับตาในระยะสั้น (เฉพาะที่ cover ในรายงาน Flow Tracker) ได้แก่ กลุ่ม Commerce โดย Volume Index มีแนวโน้มฟื้นตัวจากโซนใกล้เคียงกับระดับต่ำสุดที่ทำไว้ในเดือนสิงหาคม 2024 หนุนจาก Earnings Revision Breadth ที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า รวมถึงหุ้นกลุ่ม Bank ที่เห็นสัญญาณเชิงบวกของ Volume Index ที่ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 18 สัปดาห์ พร้อมกับ Earnings Revision Breadth ที่โดดเด่น
ในทางกลับกัน ดัชนี SET โดยรวมยังคงสะท้อนภาพเชิงลบ เนื่องจาก Earnings Revision Breadth ที่ยังไม่ดีนัก ส่งผลให้ Stock Price Breadth ยังคงอยู่ในระดับต่ำ คล้ายกับ bear market ในช่วง 4Q23-1Q24

สรุปภาพตลาดวานนี้
วานนี้ SET เดี้ยงอีกรอบ เพราะเจอแรงขายจาก DELTA CCET (กังวล DeepSeek) และ BH PR9 (กังวลผู้ป่วยตะวันออกกลาง) ถล่มลงมา ซึ่งเป็นปัจจัยที่เกิดเฉพาะหุ้น นอกนั้นหุ้นกลางเล็กก็มีการขายลดความเสี่ยง เช่น COCOCO เลี่ยงงบฯ 4Q24 และกังวลความผันผวนค่าเงิน เป็นต้น
แต่หากไม่รวมบจ. ที่กดดันตลาด โดนเฉพาะ DELTA แล้ว SET ถือว่าลงไม่มาก โดยหุ้นกลุ่มที่มีแรงซื้อกลับเข้ามาได้แก่ ธนาคาร และโรงกลั่น-ปิโตรเคมี เป็นหลัก

 



แนวโน้มตลาดวันนี้
แดง(อ่อน) รับตรุษจีน
ตามมุมมองกลยุทธ์ประจำสัปดาห์ ที่เราคาดดัชนีหุ้นไทยจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ 1,330-1,370 จุด แม้ตลาดจะยังไม่หลุดลงมาทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ราคาหุ้นรายตัว มีความผันผวนสูงมากขึ้น ที่ลบแดงเข้ม เช่น DELTA ที่กังวล DeepSeek หรือ AI ใหม่จากจีนที่ต้นทุนต่ำ ลดการพึ่งพาชิปจำนวนมากๆ แต่ก็ได้ประสิทธิภาพสูง หรือ BH ที่มีเรื่องตลาดคูเวตอาจสะดุด เข้ามาเป็นประเด็นกดดันเพิ่มเติม ขณะที่หุ้นรีบาวด์ ทรง Dead Cat bound ก็ยังมีให้เห็น เช่น TOP
ด้วยภาวะการลงทุนที่ราคาหุ้นหลายตัวมีความเปราะบาง-วอลุ่มก็บางรับตรุษจีน (ศูนย์กลางทางการเงินภูมิภาคหยุด) ทำให้ราคาหุ้นรายตัวอาจ ถูกลากลงลากขึ้นง่ายกว่าช่วงปกติ เราจึงยังคงใช้กลยุทธ์ในการเลือกหุ้นที่ระมัดระวัง
สำหรับประเด็นที่น่าติดตาม นอกจากงบการเงิน บจ.ที่เราคาดว่าจะส่งผลต่อราคาหุ้น มากกว่า การเล่นเกาะไปกับกระแสการลงทุน เราเห็นว่า การประชุมเฟดรอบนี้ อาจมีแรงขาย Sell on fact ในสินทรัพย์ที่ตอบรับข่าวนี้ไปมาก เช่น ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่พุ่งขึ้น รวมไปถึงค่าเงินดอลล์ที่แข็งค่า ในช่วงก่อนหน้า และคาดว่าจะส่งผลบวกต่อบรรยากาศในการเก็งกำไรตลาดหุ้นเกิดใหม่ในรอบถัดไป

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์คงคำแนะนำ เลือกสะสมหุ้นรายตัว รายกลุ่ม ในจังหวะที่ราคาหุ้นตก หรือพักฐาน ด้วยเรามองว่าหุ้นที่เราเลือกแนะนำ ได้พิจารณาแล้วว่าควรจะขึ้นแข็งกว่าตลาด เพราะ
1) ราคาหุ้นทรงตัวได้ดี Outperform ในเชิงเทคนิคคอล ไม่ Overbought
2) ความถูกของราคาหุ้นเมื่อเทียบมูลค่าทางบัญชี (PBV) และเทียบกับ Bands
3) แนวโน้มผลการดำเนินงานระยะสั้น ดูแล้วไม่น่าจะสร้างความผิดหวัง
4) โอกาสที่กำไรระยะสั้นจะดีกว่าที่คิด เพราะมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว เช่น มาตรการช้อปช่วยชาติ แจกเงินหมื่น ในช่วงไตรมาสแรก หนุนกำไรโตต่อเนื่อง 4Q24-1Q25
5) มีปันผลระหว่างกาล

วิเคราะห์ทางเทคนิค
DELTA ร่วง 7.5 บ. ฉุด SET ร่วง 7.5 จุด หากหักลบกลบหนี้ DELTA ออก ถือว่าตลาดลงแต่ยังแกว่งอยู่ในกรอบสามเหลี่ยม....รอเลือกทาง จับตาดัชนียังคงสู้ที่ฐาน Consolidate zone และ จุด lowest point ปี 2024… ขณะที่ RSI ยังส่งสัญญาณ “Bullish divergence pattern” เตือนปลายทางขาลง สำหรับมุมมองตลาด week นี้ น่าจะเริ่มเห็นการสร้างฐานออกข้างและมีลุ้นรีบาวด์สลับลงเป็นระยะๆ...รอจังหวะเลือกทาง ขอลุ้นทางขึ้นหากทะลุ 1,350 จุดขึ้นไปให้ได้...จะส่งผลให้โครงสร้างกลับทิศได้ซะที ส่วน Fund flow แรงขายต่างชาติน่าจะเบาลง จับตาค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (อาจมีสลับอ่อนค่าบ้างเล็กน้อย)...ไม่น่ากังวลครับ

 


What to watch
ประเด็น DeepSeek คู่แข่งด้าน AI ใหม่จากจีน ที่ทำได้ต้นทุนการเทรนด์ต่ำมาก และประสิทธิภาพดี กลายมาเป็นแรงกดดันหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ รวมทั้งหุ้นบลูชิปที่เกี่ยวของของไทยอย่าง DELTA // ติดตามการโต้กลับของเทคฯ สหรัฐฯ
การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ 28-29 มค.นี้คาดคงดอกเบี้ยที่ 4.25-4.5% ตามผลสำรวจ FedWatch Tool 100% ยังคงมองดอกเบี้ยไม่ลด แม้ ปธน.ทรัมป์ จะออกตัว กดดันดอกเบี้ยนโยบาย แล้วก็ตาม
การประชุม ธนาคารกลางยุโรป ECB มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุม 30 ม.ค.นี้ และธ.กลางอังกฤษ มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย 0.25% ในวันที่ 6 ก.พ.
Earnings Previews และ Earnings result ของกลุ่ม Non-Bank
ติดตามถ้อยแถลงจาก ปธน.ทรัมป์ ในวาระต่างๆ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อบรรยากาศลงทุนได้ทั้งบวกและลบ
ประชุมโอเปก 3 ก.พ. มีแนวโน้มเพิ่มกำลังการผลิตรอบใหม่ เม.ย.นี้ ด้าน รมต.เศรษฐกิจซาอุฯ เผยการเพิ่มกำลังการผลิตเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับความเห็นของ ปธน.ทรัมป์ ที่อยากเห็นราคาพลังงานปรับลดลง

หุ้นแนะนำวันนี้
TTB ผ่านช่วงผลประกอบการ ทางสะดวกเข้าช่วงปันผลให้ Div. Yields ราว 3.7% เป็นตัวค้ำยัน อีกทั้งจากเป้าหมายการเพิ่ม ROE ระยะยาวสู่ 10% และ PBV ต่ำที่ราว 0.8 เท่า พร้อมเงินสดในมือเหลือ ยังสามารถคาดหวังการซื้อหุ้นคืนได้ (เราเปิดธีมเชิงกลยุทธ์ไปวานนี้)(S 1.87 R 2 SL 1.84)

 

 


รายงานพื้นฐานวันนี้

Wealth Insight
FTA ไทย-กลุ่ม EFTA: โอกาสทางการค้าและการลงทุน
ข้อตกลง FTA ระหว่างไทยและกลุ่ม EFTA (สวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ ไอซ์แลนด์ และนอร์เวย์) เป็นการเปิดประตูสำคัญสำหรับโอกาสทางการค้าและการลงทุนในอนาคต แม้ปัจจุบันการค้าระหว่างไทยและกลุ่ม EFTA จะคิดเป็นเพียง 1.9% ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศทั้งหมดของไทย แต่ด้วยกำลังซื้อและศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก EFTA ไทยมีโอกาสเติบโตในตลาดเหล่านี้
สินค้านำเข้า: ผู้นำเข้าในไทยจะได้รับประโยชน์จากการลดภาษีนำเข้า เช่น เพชร พลอย ทองคำ เครื่องจักร และเวชภัณฑ์
สินค้าไทยส่งออก: ผู้ส่งออกไทย เช่น เครื่องประดับ เหล็ก และอาหารกระป๋อง จะได้รับโอกาสในการขยายตลาด
Our view: หุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จาก FTA นี้ ได้แก่ TU และ DELTA เนื่องจากยอดขายไปยังกลุ่ม EFTA คิดเป็นประมาณ 1% ของยอดขายรวมของแต่ละบริษัท และโอกาสในการขยายตลาดยังมีอย่างต่อเนื่อง

Weekly Commodities
สเปรดเคมีเพิ่มขึ้นโดดเด่นในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ภาพรวม: สเปรดเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด WoW ตามด้วยราคาถ่านหิน ในขณะที่ค่าการกลั่น (GRM) และค่าระวางเรือขนส่งสินค้าหดตัวลงแรงสุด
น้ำมันดิบ: ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยลดลง $0.65 WoW อยู่ที่ $82.56/bbl จากความคาดหวังการเพิ่มกำลังการผลิตในสหรัฐฯ และสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ในกาซาที่คลี่คลาย
ค่าการกลั่น: GRM เฉลี่ยสิงคโปร์ลดลง $0.49 WoW เหลือ $0.65/bbl จากความต้องการในเอเชียและสหรัฐฯ ที่อ่อนแอ รวมถึงอุปทานที่ล้นตลาดจากตะวันออกกลาง
เคมีภัณฑ์: สเปรดเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้น โดยสเปรด Ethylene เพิ่ม $11 WoW เป็น $156/t และ Propylene เพิ่ม $11 WoW เป็น $176/t ขณะที่ HDPE และ PP เพิ่มขึ้น $11-$21 WoW ตามลำดับ
ถ่านหิน: ดัชนี NEX เพิ่มขึ้น $2.44 WoW (2% WoW) อยู่ที่ $114.93/tonne จากความต้องการในเอเชียที่เพิ่มขึ้น
ค่าระวางเรือ: BDI ลดลง 132 จุด (-13% WoW) อยู่ที่ 876 โดยดัชนีย่อยทั้งหมดลดลง เช่น Supramax Index (-19% WoW) ส่วน World Container Index ลดลงอีก 410 จุด (-11% WoW) อยู่ที่ 3,445
Fundamental view: เรายังคงแนะนำ "ถือ" PTTEP จากความเสี่ยงอุปทานน้ำมันตึงตัว แต่การขยายการผลิตในสหรัฐฯ อาจกดดันราคาน้ำมัน
ขณะเดียวกัน เราแนะนำ "ขาย" หุ้นกลุ่มโรงกลั่นเนื่องจากเข้าสู่ช่วง Low Season
สำหรับหุ้นในกลุ่มเคมี เรายังคงชอบ IVL ที่มีแนวโน้มกำไรแข็งแกร่งใน 1H25
และในกลุ่มเรือขนส่งสินค้า การเก็งกำไรใน PSL, TTA และ RCL อาจต้องระมัดระวังในช่วงตรุษจีนที่อาจกดดันค่าระวางเรือในระยะสั้น


DELTA
เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย)
ถอยรอดูความชัดเจน
ก่อนหน้าเราคาดราคาหุ้นของ DELTA จะมีความผันผวนในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. จากทั้งประเด็นข่าวดีและร้ายที่สลับเข้ามา เช่น ข่าวดีจาก AI และข่าวร้ายจาก GMT แต่ล่าสุดคาดประเด็น DeepSeek จะเข้ามาส่งผลกระทบต่อ Sentiment ระยะสั้น โดยตลาดอาจจะมองว่า
1) การใช้เทคโลยีที่ทำให้มีต้นทุนที่ต่ำกว่ามากและยังมีประสิทธิภาพที่ดีอาจจะทำให้ Hyperscalers ชะลอการลงทุนระยะสั้น
2) การทำงานบนชิปเสป็คที่รองลงมา อาจจะไม่ต้องใช้ระบบ Power supply หรือแม้แต่ Cooling system ที่มากเหมือนที่คาด
แม้ประเด็นดังกล่าวจะเร็วไปที่จะสรุปแต่คาดราคาหุ้นจะมีความผันผวนไปตามข่าวที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (เช่น หาก Hyperscalers ประกาศเดินหน้าลงทุนต่อ หรือมีความคืบหน้าของ Stargate ราคาหุ้นก็อาจจะพลิกกลับมาได้)
แต่เราแนะนำรอดูสถานการณ์ โดยเฉพาะหลังงบ 4Q24 ที่คาดจะตามมาด้วยการชะลอตัวของงบใน 1Q25

BH vs PR9
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
โรงพยาบาลพระรามเก้า
คู่ปะทะกับประเด็นตะวันออกกลางรอบใหม่—BH vs PR9
เมื่อวานราคาหุ้นของทั้ง BH และ PR9 ปรับตัวลงแรงทั้งคู่ วันนี้เราเลยทำการเปรียบเทียบ โดยจับทั้งสองโรงพยาบาลที่โฟกัสกลุ่มตะวันออกกลาง (middle east) มาเปรียบเทียบกัน
รอบที่ 1—โครงสร้างธุรกิจ หากดูสัดส่วนรายได้ของ BH มีสัดส่วน middle east อยู่ที่ 25% มากว่า 3 ปีแล้ว ในขณะที่ PR9 นั้นปีที่แล้ว สัดส่วน middle east มีไม่ถึง 1% และปี 2024 คาดว่าจะขึ้นไปแตะได้ถึง 8% หากเปรียบเทียบการเติบโตแล้ว เห็นได้ชัดว่า PR9 มีการเติบโตที่แข็งแกร่งกว่าในช่วงที่ผ่านมา
รอบที่ 2—ความสามารถในการเติบโตต่อของชาวต่างชาติ หากดูจากฐานของ PR9 ที่เพิ่งเริ่มทำการตลาด ทำให้รายได้ของชาวต่างชาติเติบโต 36% YoY ในขณะที่ BH ปีนี้ เราคาดจะลดลง 1% YoY เนื่องจากผู้ป่วยคูเวตที่หายไป ทำให้เรามองว่าโอกาสการเติบโตของชาวต่างชาติ PR9 ยังเหลืออีกมาก
รอบที่ 3—Copayment จะเริ่มนำมาใช้ในเดือนมีนาคมนี้ โดยเรามองว่าจะเกิดผลกระทบเชิงลบต่อโรงพยาบาลระดับบน เนื่องจากกลุ่มลูกค้ากลุ่มนึงจะมีการย้ายฐานการรักษา ไปหาที่ที่ราคาถูกกว่าและมีมาตรฐาน โดย PR9 ราคาเฉลี่ยถูกกว่าถึง 20-30% เทียบกับ BH
รอบที่ 4—คาดการณ์กำไร 4Q24 เราคาด PR9 ยังคงสามารถทำ record high ต่อเนื่องได้ โดยเราคาดไว้ที่ 212 ล้านบาท เติบโต 13% YoY และ 2% QoQ ในขณะที่เราคาด BH ที่ 1.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% YoY แต่ลดลง 13% QoQ
Fundamental view: จากทั้ง 4 ข้อนี้ ทำให้เรามองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาแรงของทั้งคู่ เป็นจังหวะในการเข้าสะสม PR9 มากกว่า BH ยังคงคำแนะนำซื้อ PR9 และคงราคาเป้าหมายที่ 30 บาท

 

BJC
เบอร์ลี่ ยุคเกอร์
แนวโน้มกำไรเติบโตแรงขึ้นในปี 2025
เราคาดกำไรหลัก 4Q24 ของ BJC ที่ 1,556 ล้านบาท (-7% YoY, +68% QoQ) ได้แรงหนุนจาก SSSG ของ BigC และการขยายตัวของอัตรากำไร (GM) ในทุกธุรกิจ ยอดขายรวมคาดอยู่ที่ 40,749 ล้านบาท (+2% YoY, +6% QoQ) โดย SSSG ของ BigC คาดที่ 1.8% และ TSSG ที่ 3.0% จากการเพิ่มยอดขายสินค้าสด อีกทั้งต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่ลดลงและการขายสินค้ามาร์จิ้นสูงช่วยหนุน GM รวมใน 4Q24 อยู่ที่ 21.0% (4Q23: 20.2%, 3Q24: 19.7%)
เราปรับลดคาดการณ์กำไรหลักปี 2025 ลง 6% เป็น 5,076 ล้านบาท จากการปรับลดรายได้ค่าเช่าลงเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม กำไรปี 2025 ยังคาดเติบโต 8% YoY โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของ BigC ด้วย SSSG คาดที่ 2% และ GM คาดที่ 18.8% (+30bps YoY) จากสัดส่วนสินค้ากลุ่มอาหารและสินค้าแบรนด์ของตัวเองที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสินค้าอุปโภคบริโภคยังได้รับอานิสงส์จากการใช้จ่ายของรัฐบาลและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
Fundamental view: BJC ซื้อขายที่ PER ปี 2025 เพียง 17.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีถึง 2.75 SD (ค่าเฉลี่ย 33.6 เท่า) และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี อีกทั้งข้อมูล SSSG ของ BigC ในช่วงต้นปี 2025 (1-20 ม.ค.) อยู่ที่ 2-3% ซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวที่รวดเร็วของกำไร เรายังคงแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 28 บาท


วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้