ถ้า MAGA ไม่ดุดัน SET INDEX จะค่อยๆ ดีขึ้น
ที่ SET INDEX ระดับปัจจุบัน ถือเป็นจุดที่ได้ดูดซับข่าวร้าย หรือความกังวลต่อเหตุการณ์ในอนาคตเอาไว้มาก จนทำให้VALUATION ในหลายแง่มุมของตลาดหุ้นบ้านเราถือว่าถูก เริ่มจาก MARKET EARNINGYIELD GAP สูงถึง 4.5 -4.8% เทียบกับค่าเฉลี่ยในปกติที่ 3.8% ระดับPBV ต่ำเพียง 1.34 เท่า -1.2 SD ซึ่งหาก TRACK ตัวเลขย้อนหลังถือเป็นระดับที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติ สำหรับปัจจัยลบที่ SET INDEX ดูดซับไว้มากเป็นเรื่องความกังวลหลังจากที่ปธน.ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง และเดินหน้าตามแนวทาง MAGA (MAKE AMERICA GRATE AGAIN) ทั้งนี้หากการเดินหน้าตามแนวทางดังกล่าวไม่ได้รุนแรงอย่างที่คาดก็เป็นไปได้ที่อาจจะเห็นการกลับตัวของ SET INDEX ได้ ซึ่ง ACTION ที่ออกมาหลังการเข้ารับตำแหน่งวันแรงดูไม่รุนแรง ซึ่งอาจทำให้เห็นการฟื้นตัวของตลาดได้บ้างVALUATION ที่ถูกน่าจะทำให้DOWNSIDE จำกัด ส่วนการฟื้นตัวกลับต้องหวังว่าการเดินแนวทาง MAGA ไม่ร้อนแรงอย่างที่กลัว กรอบวันนี้1335-1350 จุด TOP PICK เลือก BJC, PLANB และ TASCO
ความกังวลดูผ่อนคลายในวันแรกของรัฐบาล TRUMP 2.0
วานนี้ประธานาธิบดีDONALD TRUMP ได้เข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในสมัยที่2 อย่างเป็นทางการแล้ว ขณะที่นโยบายที่เร่งดำเนินการในวันแรก จะเน้นที่ความมั่นคงชายแดนและการเนรเทศอาชญากรต่างชาติกลับประเทศ ซึ่งผลกระทบอาจยังไม่ได้ขยายเป็นวงกว้าง ทำให้ระดับความกังวลดูเบาลงส่วนนโยบายการค้า TRUMP ไม่ได้ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากจีนในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง แต่จะสั่งให้มีการศึกษาการปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าของจีนแทน สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงท่าทีของ TRUMP ในการเจรจากับจีน และความต้องการที่จะทำข้อตกลงใหม่กับประธานาธิบดี XI JINPING
ความกังวลที่ดูผ่อนคลายมากขึ้น หนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง โดยเช้านี้ดัชนีตลาดหุ้น FUTURES ของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นราว 0.5% - 1.5% ส่วน HANGSENG ดีดตัวขึ้นแรงมากกว่า2% ขณะที่ BOND YIELD 10Y สหรัฐฯ ย่อตัวลงมาอยู่ที่ 4.55% (จากจุดสูงสุดในรอบเดือนที่ 4.8%)
อย่างไรก็ตามในระยะถัดไป ภาคการส่งออกไทยมีโอกาสอ่อนไหว จากแนวนโยบายของ TRUMP ที่จะเก็บภาษีอากรจากต่างประเทศ 10% เป็นเพราะบ้านเราได้ดุลการค้าอันดับ 12 ของสหรัฐฯ รวมถึงสหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับไทยมากขึ้นชัดเจนเมื่อเทียบกับปี 2018 ซึ่งกลุ่มสินค้าส่งออกของไทยที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูง อาทิ อุปกรณ์ไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิส์, เครื่องจักรกล, ผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น
หลัง TRUMP รับตำแหน่งตลาดการเงินเป็นอย่างไรบ้าง
หลังจากที่ทรัมป์สาบานตนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ตลาดการเงินจะมีทิศทางเป็นเช่นไร เริ่มจาก DOLLAR INDEX ที่อ่อนค่าเล็กน้อย หลังนโยบาย TAXTARIFFS ยังไม่ได้ถูกพูดถึงเท่าที่ควร โดยหากเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปี 2016-2017 หลังจากที่ TRUMP ได้รับเลือกเป็น ปธน. สหรัฐฯ สมัยที่ 1 ราว 60 วัน ค่าเงินDOLLAR ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะชะลอตัวลง15% ในช่วง 1 ปีถัดมา ซึ่งเป็นภาพที่คล้ายกับปัจจุบัน คาดว่าตลาดจะขานรับข่าว TRUMP 2.0 ไปในระดับหนึ่งแล้ว อีกทั้ง จึงน่าจะเห็น DOLLAR มีแนวโน้มอ่อนค่าลงในระยะถัดไป
ส่วนผลตอบแทบดัชนี MSCI EMERGING MARKET ยุค TRUMP 1.0 เทียบกับปัจจุบัน มีแนวโน้มได้รับแรงกดดันหลังจากหลังจากที่ TRUMP ได้รับเลือกเป็น ปธน.สหรัฐฯ ราว 60 วัน -2.4% ถึง -5% ก่อนที่จะเร่งตัวสูงขึ้นในระยะถัดไป ดังกลไก
DOLLAR INDEX ทยอยอ่อนค่า ดังนั้นตลาดหุ้นในโซนเอเชียมีโอกาสกลับมาOUTPERFORM ได้ในช่วงสั้น รวมถึงไทยที่มี VALUATION ที่น่าสนใจ(รายละเอียดในหัวข้อถัดไป) น่าจะเห็น FUND FLOW มีโอกาสไหลเข้าเพิ่มเติมได้
สรุป หลัง TRUMP รับตำแหน่งตลาดการเงินเริ่มผ่อนคลายลง เริ่มจาก DOLLARINDEX อ่อนค่า และหนุนตลาดหุ้นฝั่งเอเชียสดใสรวมถึงไทย ดังสถิติในอดีตยุคTRUMP 1.0 ดังนั้นวันนี้คาด SET INDEX มีโอกาสแกว่งขึ้นได้เล็กน้อย โดยวงกรอบการเคลื่อนไหว 1335-1348/1350 จุด
SET ดูดซับเรื่องร้ายๆ จนมี VALUATION ถูก หวังฟื้นบ้าง
ตลอดช่วงทรัมป์ ชนะเลือกตั้ง 5 พ.ย. 67 ถึงสาบานตน 20 ม.ค. 68 พบว่า ตลาดหุ้นไทยดูดซับประเด็นลบการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค TRUMP 2.0 มาในระดับหนึ่งแล้วสะท้อนได้จาก SET INDEX -8.37% ขณะเดียวกันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นมาเร็ว 5.4% กดดันให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุนหุ้นไทยเพราะมีโอกาสขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม โดยขายสุทธิไปทั้งสิ้น 2.9 หมื่นล้านบาท
จนปัจจุบัน SET INDEX อยู่ที่ 1340 จุด มี VALUATION ที่ถูกมากเทียบเท่ากับช่วงวิกฤติต่างๆ สะท้อนได้จากข่อมูล PBV ปัจจุบันอยู่ที่ 1.34 เท่า ต่ำกว่าระดับ -1SDตลอดช่วง 25 ปีที่ผ่านมา ที่ 1.42 เท่า และจะสังเกตได้ว่า ช่วงที่ PBV < -1SD หรือ1.42 เท่า เป็นช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นไทยเกิดวิกกฤตทั้งหมด คือ วิกฤตดอทคอม, วิกฤตซับไพร์ม และวิกฤตโควิด เป็นต้น
สรุปตลาดหุ้นไทยซึมซับประเด็นลบต่างๆ โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านสูยุค TRUMP2.0 มามากแล้ว จนมี VALUATION เทียบเท่าช่วงวิกฤต กลยุทธ์การลงทุนภายใต้การเมืองสหรัฐไม่มีการเร่งรีบดำเนินนโยบายตามที่หาเสียงไว้ FUND FLOW น่าจะสลับมาเข้าตลาดหุ้นเอเชียรวมถึงไทยบ้าง แนะนำเก็งกำไรหุ้น ที่ลงมาลึก อย่าง รับประเด็นกำแพงภาษีผ่อนคลายช่วงสั้น AOT, CENTEL, ERW, ITC, TU, SCC,PTTGC รับค่าเงินบาทสลับมาแข็งช่วงสั้น BGRIM, GPSC และหุ้นรับกระแส BONDYIELD สหรัฐย่อตัวช่วงสั้น MTC, SAWAD
ส่วนระยะยาวเน้นสะสมหุ้นใหญ่ P/BV < 1 อย่าง PTT, SCB, KBANK, KTB, BBL,SCC, CPF, IVL, PTTGC, BJC, GPSC, SCGP, TOP, TU
Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์