"Peaking Yield Play"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "ฟื้นตัว" ต้าน 1355/1360 จุด รับ 1335/1330 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดทำการวัน Martin Luther King ขณะที่ Futures ปรับขึ้นเฉลี่ย +0.4-0.5% ถ้อยแถลงนโนบายคุณ Trump หลังเข้ารับตำแหน่งคงนโยบายหลัก American First ขณะที่ส่วนที่เป็นบวกต่อ EM Asia และ SET คือ การส่งสัญญาณถึงแผนบริหารจัดการปัญหาเงินเฟ้อ ผสาน ท่าทีสงครามการค้าที่ยังไม่เร่งรีบ โดยขอเวลาศึกษาเพิ่ม vs ภาพตลาดที่ปรับสถานะสินทรัพย์ต่างๆกังวล Upside เงินเฟ้อล่วงหน้าไปก่อนตั้งแต่คุณ Trump ชนะเลือกตั้ง ทำให้หลังแถลง US Bond Yield 10 ปี ซึมลงอีก -3 bps สู่ 4.57 % , Dollar Index อ่อนค่าสู่ 108 +/- จุด เงินบาทแข็งค่าสู่ 34.2 +/- บาท คาดหลังจากนี้ตลาดน่าจะปรับมุมมองวงจรดอกเบี้ยสหรัฐใหม่เพิ่มความเชื่อมั่นต่อภาพที่ยังเป็นขาลงในปี 2025F บวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะตลาดหุ้นที่ยัง Laggard โดย SET เด่นที่ Valuation อยู่ในโซนลงทุน (ERP ปัจจุบันสูง 4.0% อยู่ในระดับ AVG+1 S.D. จุดกลับตัวกรณีไม่ใช่วิกฤติเศรษฐกิจ) วันนี้คาด SET จะเริ่มฟื้นตัว หุ้นนำ คือ หุ้นในธีม Peaking Yield (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield หนี้สูง) โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นที่ YTD Underperform ตลาด วันนี้แนะนำ GULF, GPSC, JMT เด่น
Daily outlook: "ฟื้นตัว" ต้าน 1355/1360 จุด รับ 1335/1330 จุด
What happened around the world?
(*/+) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐปิดทำการเนื่องจากวัน Martin Luther king ส่วนดดัชนีหุ้นสหรัฐล่วงหน้า(Futures) ปรับขึ้นเฉลี่ย 0.5% ฯลฯ
(*) Donald Trump : เมื่อคืน Trump ได้เข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ฯ อย่างเป็นทางการ โดยเรื่องหลักคือนโยบายหลังรับตำแหน่งซึ่งมีผลต่อตลาดหุ้น คือ 1.) การกีดกันการค้า(tariff) โทนผ่อนคลายกว่าที่ตลาดคาด Key หลักๆ คือ สหรัฐชะลอการขึ้นภาษีนำเข้า Tariff กับจีน, แคนาดาโดยขอเวลาศึกษาผลกระทบก่อน VS.(Trump หาเสียงว่าจะปรับเพิ่มภาษีนำเข้าทุกประเทศที่ 10-20% และจีน 60%) KSS มองเป็นปัจจัยบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน หุ้น Global play และ China play อาทิ กลุ่มพลังงาน (PTTEP) กลุ่มส่งออก (ชิ้นส่วน DELTA, HANA) 2.)จะถอนสหรัฐออกจาก "ข้อตกลงปารีส"(Paris Agreement) เป็นประเด็นที่ตลาดเคยคาดไว้แล้ว ก่อนหน้าทรัมป์วางแผนจะไม่เข้า COP28 และเป็นประเด็นเดิมในสมัยทรัมป์ 1.0 มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานสะอาด แต่ในทางตรงข้ามบวกกับพลังงานฟิสซิล ถ่านหิน ก๊าซ อาทิ PTTEP, BANPU 3.) ยกเลิกการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า EV มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ไทย อาทิ KCE ฯลฯ
(*) PBOC : ธนาคารกลางจีน(PBOC) คงอัตราดอกเบี้ย Loan prime rate ที่ 3.1% ตามที่ตลาดคาดและเท่ากับรอบก่อน เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ย Loan prime rate อายุ 5 ปีที่ 3.6% ตามที่ตลาด KSS คาดในช่วง 1H25 รัฐบาลจีนมีโอกาสจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะฝั่งภาคบริโภค ตามที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงให้สัมภาษณ์ช่วงปลายปี และ ภาคอสังหาที่ยังหดตัว มองเน้นตั้งรับหุ้น China play อาทิ IVL, SCC
(*)US Debt Ceiling : Janet Yellen รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เผย รัฐบาลสหรัฐจะถึงกำหนดเพดานหนี้ทะลุ โดยเตรียมงัดมาตรการพิเศษ-เลี่ยงวิกฤต 21 ม.ค. นี้ KSS ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐ โดยความเสี่ยงที่จะเกิดการ Shutdown คาดยังต่ำเนื่องจากรัฐบาลของ Donald Trump ครองเสียงทั้ง 2 สภา และเหตุการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นในอดีตหลายครั้ง และในท้ายที่สุดรัฐบาลสหรัฐคลี่คลายปัญหา
(*) To monitors : ฝั่งสหรัฐ 24 ม.ค. ติดตามดัชนีความเชื่อมั่น ม. มิชิแกน คาด 73.2 จุด เท่าเดือนก่อน, ติดตามรายงาน S&P Flash PMI ม.ค. ภาคผลิต คาด 49.4 จุด ภาคบริการ คาด 56.8 จุด 24 ม.ค. ติดตามยอดขายบ้านมือสอง ธ.ค. คาด 4.2 ล้านหลัง vs prev. 4.15 ล้านหลัง ฝั่งยุโรป 23 ม.ค. ติดตามดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.ค. คาด -14.3 จุด vs prev. -14.5 จุด, 24 ม.ค. ติดตามรายงานดัชนี HCOB Flash PMI ม.ค. คาด ภาคผลิต 46.0 จุด ฝั่งจีน 20 ม.ค. ติดตามการประกาศดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดีอายุ 1 ปี และ 5 ปี คาดยังทรงตัวที่ระดับ 3.1% และ 3.6% ตามลำดับ
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ ปรับลงแรงรับสหรัฐไม่เร่งขึ้นภาษีนำเข้ากับจีน อิง อายุ 2 ปีปรับลง -4 bps อยู่ที่ 4.24% และอายุ 10 ปีเช้านี้ปรับลง -3 bps มาอยู่ที่ 4.57% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน โรงไฟฟ้า ส่วน Dollar Index อ่อนค่าแรงลงมาบริเวณ 107.9 จุด คาดหนุนค่าเงินสกุลเอเซีย และค่าเงินบาทวันนี้แนวโน้มแข็งค่าเป็นจิตวิทยาบวกต่อ Fund flow ไหลเข้า
(*/-) Oil : ราคาน้ำมันดิบ Brent -1.24%d-d ปิดที่ USD 79.79/barrel น้ำมันดิบ West Texas -1.27%d-d ปิดที่ USD 76.89/barrel
What happened in Thailand?
(-) SET Index : SET Index วันทำการล่าสุดแกว่งตัวในกรอบแคบก่อนทรงๆ -0.13 จุด ปิดที่ 1340.5 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA, CCET) ฟื้นตัวตามหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯที่กลับมานำตลาด กลุ่มค้าปลีก (CPALL) เก็งภาพกระแสบริโภคช่วงต้นปีคึกคักจากหลากหลายมาตรการรัฐฯที่ออกมากระตุ้น กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มพลังงาน (PTTEP) ราคาน้ำมันแกว่งตัวลง หลังอิสราเอลและกลุ่มฮามาสสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิง กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE, INTUCH) มองพักตัวหลัง Outperform ต่อเนื่อง
(*/+) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุด เงินไหลออก ซื้อหุ้น +13.0 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +4.0 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long 3,551 สัญญา เงินบาทแข็งค่าสู่บริเวณ 34.2 +/- บาท
(*/+) TH Tourism: อิงรายงานสำนักตรวจคนเข้าเมือง 19 ม.ค. นักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 1.15 แสนคน หนุน YTD (19 ม.ค. 25) อยู่ที่ 2.139 ล้านคน หรือเฉลี่ยวันละ 1.12 แสนคน เพิ่มขึ้น 15%y-y จากยอดเฉลี่ย ม.ค. 24 ผสาน กระแสท่องเที่ยวตรุษจีนใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้ายังเป็นบวก โดยรวมประเมินนักท่องเที่ยวปี 2025F เดินหน้าสู่ระดับ 40 ล้านคน (+12.9%y-y) ผสาน ภาพระยะกลาง-ยาวรัฐฯเดินหน้าโครงการ Entertainment Complex ต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยหนุน S Curve ภาคบริการท่องเที่ยวก้าวข้ามระดับ Pre-COVID เชิงกลยุทธ์ แนะนำทยอยสะสมหุ้นภาคบริการท่องเที่ยว AOT CPALL CPAXT BTS
(*/+) Digital Wallet Ph III: คุณทักษิณ อดีตนายกฯ ในฐานะผู้ใกล้ชิดพรรคเพื่อไทย แกนนำรัฐบาล เปิดเผยขณะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหาเสียง เลือกตั้งนายก อบจ. มหาสารคาม การแจกเงินนโยบาย Digital Wallet เฟส 3 ให้กลุ่มผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 60ปี -16ปี หลังจากเทคโนโลยีเรียบร้อย น่าจะได้รับเงินช่วง มี.ค. - เม.ย. 25 ประเมินเป็นบวกและโอกาสสร้าง Upside ให้กับหุ้นอิงกำลังซื้อในประเทศ อาทิ ค้าปลีก ธนาคาร เช่าซื้อ ระยะสั้น เน้น CPALL CPAXT KBANK KTB SCB MTC
(*/+) SET100 Rebound Plays: ผลตอบแทน SET ตั้งแต่ต้นปี (YTD) ปรับตัว -4.3% จากการรวบรวมข้อมูลหุ้น SET100 เราพบว่า มีหุ้นจำนวนหนึ่งที่ปรับตัวลงมากกว่าตลาด ขณะที่พื้นฐานระยะกลาง-ยาวแข็งแกร่ง กอปรกับ บรรยากาศลงทุนวันนี้เป็นบวกมากขึ้น หลังจากคุณ Trump ประกาศแผนขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ค่อยเป็นค่อยไปกว่าตลาดปรับสถานะลดความเสี่ยงไปล่วงหน้า เราพบว่ามีหุ้นน่าจะมีโอกาส Rebound ได้แรงกว่าตลาด ดังนี้ JMT(-21.4%), GPSC (-20.3%), CENTEL (-18.1%), ERW (-17.8%), SISB (-15%), PTTGC (-13.5%), COM7 (-12.4%), SAWAD (-11.98%) MTC (-10.9%), AEONTS (-10.6%)
(*) To monitor: ปัจจัยภายในสัปดาห์นี้ติดตาม
1.) รายงานกำไร 4Q24F กลุ่มธนาคาร 21 ม.ค. คาดรายงานครบทุกธนาคาร ทั้งนี้ สำหรับกลุ่มธนาคารที่เราศึกษา ประเมิน กำไรสุทธิ 4Q24F ที่ 4.90 หมื่นลบ. กำไรเพิ่มขึ้น +15% y-y เพราะ i) การเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ ii) การลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ขณะที่กำไรลดลง -11% q-q เพราะ i) การลดลงของ yield on loan ii) การลดลงของเงินลงทุน(FVTPL) iii) การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายตามฤดูกาล โดยทางพื้นฐานเราชื่นชอบ KBANK และ KTB มากสุด
2.) 21 ม.ค. ประชุม ครม. และรายงานนักท่องเที่ยวต่างชาติรายสัปดาห์ แนะนำติดตามโมเมนตัมนักท่องเที่ยวจีน หลังปรากฎกระแสทางลบต่อความปลอดภัยท่องเที่ยว
Daily Strategy : GULF, GPSC, JMT
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "ฟื้นตัว" คาด SET จะตอบรับแผนขับเคลื่อนนโยบาย Trump 2.0 วานนี้ ที่ท่าทีสงครามการค้าอยู่ระหว่างศึกษาเพิ่มเติม ขณะที่มีแผนบริหารจัดการปัญหาเงินเฟ้อ ทำให้จากนี้คาดหลังจากนี้น่าจะปรับมุมมองวงจรดอกเบี้ยสหรัฐใหม่มั่นใจต่อภาพที่ยังเป็นขาลงในปี 2025F บวกต่อตลาดหุ้นที่ยัง Laggard โดย SET เด่นที่ Valuation อยู่ในโซนลงทุน (ERP ปัจจุบันสูง 4.0% อยู่ในระดับ AVG+1 S.D.) วันนี้คาด SET จะเริ่มฟื้นตัว หุ้นนำ คือ หุ้นในธีม Peaking Yield (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield หนี้สูง) โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นที่ YTD Underpeform ตลาด
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
•Jan 2025 Stock Picks : ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, BTS, GULF, MALEE
• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
Strategy Update: ซินเจีย ยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ 2025 ปีมะเส็ง
ใกล้เข้าสู่เทศกาลตรุษจีนปี 2025 (วันขึ้นปีใหม่ของจีน) ปีนี้ตรงกับวันที่ 29 ม.ค.2025 โดยเป็นเทศกาลที่จะเกิด 1.)ความคึกคักการจับจ่ายเนื้อสัตว์, อาหารและผลไม้เพื่อไหว้บรรพบุรุษ 2.) วันหยุดยาวของผู้ที่มีเชื้อสายจีน (จีน, ไต้หวัน, ฮ่องกง) ออกไปท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ และการรับประทานอาหารร่วมกันในครอบครัว ฯลฯ คาดจะเป็นปัจจัยหนุนการใช้บริการในไทยทั้งทางด่วน, ปั๊มน้ำมัน, ห้างสรรพสินค้า, สายการบิน, โรงแรม รวมถึงการซื้อสินค้า อาทิ เสื้อผ้า ฯลฯ 3.)เทศกาลการแจกเงินและ ทอง ในธรรมเนียมคนจีน ถือว่าเป็นการเสริมสิริมงคลสำหรับผู้ให้และผู้รับ ฯลฯ โดยรวมหากอิง ม. หอการค้าไทย ประเมินการจับจ่ายในช่วง "ตรุษจีน"ปีนี้ เม็ดเงินสะพัด 3.2%y-y อยู่ที่ 109,313 ล้านบาท (ยังไม่ได้รวมกันใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เข้ามาราว 8 แสน - 1 ล้านคน)
KSS ประเมินกระแสการเก็งกำไรหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเทศกาลตรุษจีน ปี 2025 ที่มีความน่าสนใจ โดย KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นไทยในช่วงตรุษจีนย้อนหลัง 6 ปี (ปี 2019-2024) พบว่า ก่อนเทศกาลตรุษจีน 2 และ 1 สัปดาห์ SET Index +0.81% และ +0.23% ตามลำดับ Sector ที่ได้ประโยชน์กับเทศกาลตรุษจีนปรับขึ้นในทางเดียวกัน และกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นสุดหากซื้อก่อน 2 สัปดาห์ และความเป็นไปได้ที่จะให้ผลตอบแทนบวกเกิน 50% คือ กลุ่มการเงิน +2.73% กลุ่มขนส่ง +1.59% กลุ่มเกษตร +1.4% กลุ่มสื่อสาร +1.33% กลุ่มอาหาร +1.21% กลุ่มค้าปลีก +1.03%
กลยุทธ์การลงทุน KSS แนะนำเก็งหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเทศกาลตรุษจีน เน้น กลุ่มการเงิน AEONTS (TP-140), KTC (TP-55) กลุ่มขนส่ง AOT (TP-64.5) กลุ่มเกษตร CPF(TP-30) GFPT (TP-14.5) กลุ่มสื่อสาร ADVANC (TP-305) และกลุ่มค้าปลีก CPALL (TP-70)
Strategy Update: คาด Global Minimum Tax กระทบจำกัดกว่าตลาดกังวล โอกาสลงทุนหุ้น Infra Tech
จากกรณี ครม. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.ก. ภาษีขั้นต่ำ หรือ Global Minimum Tax 15% สำหรับ บ. ข้ามชาติที่มีรายได้มากกว่า 750 ล้านยูโรต่อปี และ ร่าง พ.ร.ก. กองทุนส่งเสริมการแข่งขัน เป็นกองทุนสนับสนุนเงินที่ บ.ข้ามชาติที่ต้องเสียภาษีเพิ่ม เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 ม.ค. 2025 ที่ผ่านมา ฝ่ายวิจัย KSS จึงได้ประเมินผลกระทบเบื้องต้นจากมาตรการดังกล่าวที่มีต่อบริษัทที่อาจจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติม โดยเราใช้เกณฑ์ 1) รายได้ปี 2023 สูงกว่าระดับ 2.6 หมื่นล้านบาท และ 2) อัตราภาษี Effective Tax Rate ประเมินโดย Bloomberg ต่ำกว่าระดับ 15.0% หากใช้สมมติฐานกรณีเลวร้าย คือ ให้ทุกบริษัทเสียภาษีเพิ่มเป็น 15% โดยไม่ได้รับผลชดเชยด้านอื่น พบว่า กำไรปี 2025F ของบริษัทที่จะถูกกระทบจากมาตรการดังกล่าวอย่างมีนัยยะ ได้แก่ EA (คาดกำไรปี 2025F จะลดลง -11.96%) GULF (-11.82%) HANA (-10.37%) AH (-10.09%) DELTA (-9.5%) TU (-3.28%) ขณะที่หากรวมเป็นผลกระทบต่อคาดการณ์กำไรตลาดจะอยู่ราว -8.6 พันล้านบาท หรือ -0.7% ของกำไรตลาดปี 2025F ที่เราประเมิน 96 บาท
ในเชิงกลยุทธ์ เราประเมินหุ้นที่มีความเสี่ยงกระทบส่วนใหญ่ทยอยปรับตัวลงสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว EA (YTD2025 Return +0.5%) GULF (-6.3%) HANA (+0.4%) AH (-3.07%) CK (-4.69%) DELTA (-4.92%) TU (-3.08%) แต่หากอิงโอกาสที่รัฐฯน่าจะต้องหาช่องทางสนับสนุนเงินคืนเพื่อลดผลกระทบ รวมถึงการบริหารภาษีภายในบริษัทต่างๆ คาดผลกระทบจะจำกัดกว่าที่ประเมินข้างต้น เชิงกลยุทธ์แนะนำตั้งรับหุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่เป็น New S Curve ของไทยระยะถัดไป หากราคาปรับลงมา ได้แก่ โรงไฟฟ้า ที่อยู่ในธีม Infra Tech เน้น GULF GPSC
Strategy Update : Dividend Plays 2H24
ช่วงปลายเดือน ก.พ. - พ.ค. 2025 จะเข้าสู่เทศกาลจ่ายปันผลประจำปี 2024 ของบริษัทจดทะเบียน ทีมกลยุทธ์ KSS จึงได้รวบรวมหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง) จากคาดการณ์ของ KSS และ Consensus เพื่อนำมาคัดสรรหุ้นปันผลสูง (High Dividend) คือ Dividend Yield มากกว่า 3.5% สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะ 1 - 2 เดือนแรกของปี ใน "Theme Dividend Play"
Key Ideas : KSS มีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นปันผลในช่วงต้นปีเนื่องจาก
o KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นปันผล(SETHD) ย้อนหลัง 10 ปี พบว่า SETHD ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. ของทุกปี ผลตอบแทนมักเป็นบวก เดือน ม.ค. ผลตอบแทนบวก 6 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.7%, เดือน ก.พ. บวก 7 ใน 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +0.67%
o SETHD ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของทุกปี (งวด 1Q) ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.85%)
กลยุทธ์ : ในเชิงกลยุทธ์ KSS แนะนำซื้อหุ้นปันผลสูงก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD 2 สัปดาห์แล้วขายวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD (dividend capture) มักจะให้ผลตอบแทนที่ดี ทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการคัดกรองหุ้นปันผลเด่น ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ คือ
1.) เป็นหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผล ช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง)
2.) เป็นหุ้นพื้นฐานที่มีแนวโน้มการเติบโต/กระแสเงินสดมั่นคง /อยู่ใน Theme การลงทุนหลักของ KSS ปี 2025 อาทิ Theme เศรษฐกิจไทยปี 2025F เติบโต อาทิ กลุ่มธนาคาร หรือ อยู่ในอุตสาหกรรม Up Cycle อาทิ Sector ICT หรือ หุ้นที่อยู่ในกลุ่มได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มอสังหา กลุ่มการเงิน ฯลฯ โดยเรียงตามอัตราตอบแทนเงินปันผลจากสูงไปต่ำ
พบว่ามีหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลเด่น 9 บริษัท คือ
หุ้น Big Cap ได้แก่ SCB (TP Max Con 135.0, Yield 2H24F 8.6%), TTB (TP25-2.2,Yield 2H24F 7.2%) HMPRO (TP25-13.5,Yield 2H24F 4.3%) INTUCH (TP25-108,Yield 2H24F 4.2%), ADVANC (TP25-305, Yield 2H24F 3.7%),
หุ้น Mid Cap ได้แก่ AP (TP25-11.8., Yield 2H24F 7.65%), TISCO (TP25-97.0, Yield 2H24F 5.84%), SC (TP25-3.2, Yield 2H24F 5.52%), JMT (TP25-22.8, Yield 2H24F 2.3%),
หุ้นปันผลสูงครึ่งหลังปี 2024 ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, HMPRO,JMT AP, SC, TISCO
โดยทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการศึกษาสถิติหุ้นปันผลเด่น 9 บริษัทดังกล่าวข้างต้น ย้อนหลัง 8 ปี พบว่าหากลงทุนซื้อหุ้นก่อน 2 สัปดาห์และขายวันที่ขึ้น XD พบว่า ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ Return มากที่สุด คือ JMT +5.36%, TTB +4.16%, ADVANC +3.05%, ส่วน SCB, HMPRO, INTUCH, AP, SC, TISCO ผลตอบแทน (Capital Gain) เฉลี่ยอยู่ราว 1% เท่ากับว่า การลงทุนหุ้นกลุ่ม High Dividend ในช่วงเวลาดังกล่าว หลาย ๆ ครั้งนักลงทุนจะมักจะได้รับเงินปันผลฟรี
• KKP (Neutral, TP25F-55): เราคงคำแนะนำ NEUTRAL ที่ TP25F 55 บ. เพราะเงินปันผลทั้งปีคาดที่ 3.00 บ./หุ้น คิดเป็น dividend yield ที่ 5.8% โดย 2H24 คาดจ่ายที่ 1.75 บ./หุ้น (yield ที่ 3.4%) นอกจากนั้นกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 1.41 พันลบ. ดีกว่าเราและตลาดคาด เพราะเงินลงทุน (FVTPL) สูงกว่าคาด โดยกำไรเพิ่มขึ้น +110% y-y และ +8% q-q ไตรมาสนี้ขาดทุนรถยึดลดลงเหลือ -1.11 พันลบ. จาก -1.40 พันลบ. ใน 4Q23 และ -1.19 พันลบ. ใน 3Q24 ภาพรวมสินเชื่อหดตัว -1.5% q-q คิดเป็น -7.8% YTD หลักๆมาจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ด้านคุณภาพสินทรัพย์ NPL Ratio อยู่ที่ 4.22% เพิ่มจาก 3Q24 ที่ 4.10% ทั้งนี้ KKP จะมีการจัดการประชุมนักวิเคราะห์ในวันที่ 22/01/2025 หากมีข้อมูลเปลี่ยนไปจากคาดเดิม เราจะทบทวนประมาณการอีกครั้ง
• CENTEL (Buy, TP25F-40): We expect CENTEL to report a 10% yoy decline in net profit to Bt194m in 4Q24F due to higher expenses from new hotel openings. However, we expect FY25F earnings growth of 18% to Bt1.66bn, driven by Thailand and Japan operations offsetting Maldives losses. CENTEL currently trades at a 23x PER 2025F significantly below its historical average, presenting an attractive entry point. We upgrade to "BUY" with a Bt40 target price, considering its strong growth potential and undervalued valuation.
• NEO (Buy, TP25F-39): We upgrade our rating to "Buy" with a new target price of THB 42. We expect 4Q24F earnings to grow both yoy and qoq, with revenue reaching a new quarterly record driven by new product launches and promotions, which will result in a 22% yoy profit growth for FY24F, reaching Bt1bn (ii) We are maintaining our FY25F earnings forecast, with expected flat yoy profit, reflecting market trends and higher expenses from the new factory. Additionally, NEO's stock has declined by more than 30% over the past three months and is currently trading at 9.7x FY2025F P/E, which is -2 SD below its historical average. We believe this has already priced in concerns about a potential slowdown in earnings growth.
• BDMS (Buy, TP25F-37.5): เรายังชอบ BDMS มากสุดในกลุ่ม รพ.ที่ศึกษา เนื่องจากมองบวกต่อการเติบโตระยะยาวจากความพร้อมทั้ง Capacity และศักยภาพการรักษาครบวงจร นอก จากนี้การศึกษาผลกระทบประกันแบบ Co-payment ต่อ BDMS เราคาดว่าจะมีผลกระทบจำกัดและราคาหุ้น BDMS (-4%YTD) ตอบรับความเสี่ยงประเด็นนี้ไปบ้างแล้ว แนวโน้ม 4Q24F คาดกำไรสุทธิ (+2%y-y -5%q-q) เติบโต y-y ตามการเติบโตรายได้และมีผลบวกสิทธิประโยชน์ภาษี BOI สอดคล้องกับที่คาดไว้
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI