ขาดความเชื่อมั่น = ขาด FUND FLOW
ประเด็นที่สร้างแรงกดดันให้กับตลาดหุ้นยังมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเป็นเรื่องของการจำนำหุ้นนอกตลาด และ MARGIN ถือเป็นปัจจัยที่ลดความเชื่อมั่นของนักลงทุนซึ่งถูกสะท้อนผ่านออกมาทางมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง ส่วนในอีกทางหนึ่ง FUND FLOW จากต่างประเทศก็ยังไม่เห็นสัญญาณการกลับตัว เฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ สหรัฐฯ กำลังจะมีปธน. คนใหม่เข้ามารับตำแหน่ง ซึ่งจากหลายนโยบายที่มีโอกาสกระตุ้นเงินเฟ้อสูงขึ้น ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายต้องคงตัวในระดับสูง ทำให้เงินUSD แข็งค่า อีกทั้งการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคคลก็เป็นปัจจัยที่เสริมเสน่ห์ให้กับตลาดหุ้นสหรัฐ ทำให้เม็ดเงินลงทุนยังคงอยู่ในตลาดสหรัฐเป็นหลัก ส่วนบ้านเราที่ต้องติดตามก็คือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายของ ปธน.สหรัฐท่านใหม่ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นลบมากกว่าบวกคาดว่า SET INDEX น่าจะผันผวนในทิศทางลง จากภาวะที่ยังไม่เห็นFUND FLOW รวมถึงปัจจัยขับเคลื่อนใหม่ๆ เข้ามา คาดกรอบ 1335-1355 จุด หุ้น TOP PICK เลือก COM7, CPALLและ CPF
ก้าวเข้าสู่ยุค TRUMP 2.0
วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025 ช่วงเที่ยงวัน ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ จะมีพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีDONALD TRUMP (สมัยที่ 2) ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในการประกาศนโยบายเร่งด่วน (EXCLUSIVE ORDER) โดย TRUMPเผยกับ NBC ว่าอาจมีมากกว่า 100 ฉบับ นอกจากนี้ TRUMP ยังเคยกล่าวเมื่อหลายเดือนก่อนถึงมาตรการที่ตั้งใจทำตั้งแต่วันแรก อาทิ ปิดพรหมแดนสหรัฐฯ-แมกซิโภ,เนรเทศผู้อพยพปิดกฎหมายออกนอกสหรัฐฯ, ยุติสมครามรัสเซีย-ยูเครน, อภัยโทษนักโทษคดี 6 ม.ค., เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภทจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% เป็นต้นหากย้อนดูผลงานปีแรก ยุค TRUMP 1.0 (2017) สินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลกปรับตัวขึ้นได้ดี แต่จะเห็นเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยค่อยๆ ขยับขึ้น ดังตารางด้านล่างนี้
ขณะที่ยุค TRUMP 2.0 ตามนโยบายหาเสียงหลักๆ เป็นการผลักดันให้เกิด
AMERICAN FIRST อาทิการปรับ COPERATE TAX ในสหรัฐฯ ลงจาก 21% เหลือ15%, การเพิ่มภาษีนำเข้าจากต่างประเทศ 10% และจากจีน 60% (TRADE WAR), ตั้งกำแพงภาษีกลุ่ม BRICS 100%, ชูโครงการเนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่สุดในประวิติศาสตร์สหรัฐฯ เป็นต้น ซึ่งหลายนโยบายช่วยดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้นได้ปัจจุบัน สินทรัพย์ TRUMP TRADE ตอบรับเชิงบวกมามาในระดับหนึ่งแล้ว รวมถึงดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้ออยู่ระดับสูง จึงทำให้ FED อาจต้องระมัดระวังในการ TAKEACTION ต่างๆ มากขึ้น อีกทั้งดัชนีตลาดหุ้น และ VALUATION ต่างๆ รวมถึง GOLDSPOT และ BITCOIN ก็อยู่ระดับสูงกว่า ยุค TRUMP 1.0 มากเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังเห็นการพุ่งขึ้นของ BOND YIELD 10Y สหรัฐฯ ราว 100 BPS.รวมถึงการพุ่งขึ้นของ DOLLAR แข็งค่ามากกว่า 8% จากมุมมองภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯจะยังคงแข็งแกร่ง เงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น และ FED อาจปรับลดดอกบี้ยน้อยลง
ทั้งนี้ ในมุมมองแผนภาษีนิติบุคคลของ TRUMP หากมีการปรัลลดลงจาก 21% เหลือ15% (ยุค TRUMP 1.0 ลดภาษีนิติบุคคลจาก 28% เหลือ 21%) GOLDMANSACHS ประเมิน EPS GROWTH สหรัฐมีโอกาสเพิ่มขึ้น 4% ในปี 2568 ซึ่งอาจเป็นแรงหนุนให้ FUND FLOW ยังอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แทนที่จะไหลออกไปยังประเทศอื่นๆ รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่มีโอกาสห็นเม็ดงเนชะลอการไหลเข้าได้WORLD BANK และ IMF ปรับคาดการณ์ GDP ปีนี้อย่างไรบ้างWORLD BANK ปรับคาดการณ์ GDP แต่ละประเทศ 2568F ขึ้น โดยคาดการณ์GDP 2568Fของโลกไว้ที่ 2.7%(คงเดิม) ส่วนสหรัฐฯ ปรับขึ้นจาก 1.8% สู่ 2.5%, จีนปรับขึ้นจาก 4.1% สู่ 4.5% และไทยปรับขึ้นจาก 2.8% สู่ 2.9% อย่างไรก็ตามWORLD BANK ได้ระบุว่าการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภทของสหรัฐในอัตรา10% อาจส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอีก 0.3% หากพันธมิตรทางการค้าของสหรัฐตอบโต้ด้วยการจัดเก็บภาษีนำเข้า ซึ่งต้องติดตามคืนนี้หลังTRUMP เข้าพิธีสาบานตน ว่าจะมีนโยบายอะไรบ้างที่ถูกกล่าวถึง
ขณะที่ฝั่ง IMF ก็ปรับคาดการณ์ GDP แต่ละประเทศ 2568F ขึ้นเช่นกัน โดยให้เหตุผลว่าแรงหนุนจากกำลังซื้อที่เติบโตในสหรัฐฯ –จีน(ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาก่อนหน้านี้)และการลดดอกเบี้ยของ FED ในอนาคต จึงปรับคาดการณ์ GDP 2568Fของโลกไว้ที่3.3%(เพิ่มขึ้นจาก 3.2%) ส่วนสหรัฐฯ ปรับขึ้นจาก 2.2% สู่ 2.7%, จีนปรับขึ้นจาก4.5% สู่ 4.6% แต่ไทยถูกปรับขึ้นจาก 2.8% สู่ 2.9% ส่วนไทยถูกปรับลงเล็กน้อยจาก3.0% สู่ 2.9%
ขณะที่สำนักเศรษฐกิจต่างๆคาดการณ์ GDP 2568F ของไทยใก้ลเคียงกับ IMF และWORLD BANK โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ +2.9% ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้จริงจากการเพิ่มขึ้นของแรงสนับสนุนจากรายจ่ายภาครัฐ(G), การขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชน(I),การท่องเที่ยว-บริโภคจ่อฟื้นตัวต่อเนื่อง และ การส่งออกสินค้าที่ขยายตัวแม้อาจโดยความเสี่ยงจากการตั้งกำแพงภาษีของ TRUMP 2.0
สรุป WORLD BANK และ IMF ปรับคาดการณ์ GDP ปีนี้ในทิศทางที่ดีขึ้น ตามเศรษฐกิจประเทศสหรัฐฯ-จีน ที่ยังเติบโตดี บวกกับความกังวล TRADE-WAR 2.0 ที่น้อยลง ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตเช่นกัน โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่+2.9% หนุนมาจากความคาดหวังการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยในระยะถัดไป
เปิดปี 2025 ตลาดหุ้นไทยต่ำสุดอันดับ 3 ของโลก (YTD) ยังขาดความเชื่อมั่น ถูกกดดันยุค TRUMP 2.0
เริ่มปี 2025 นี้(1 –17 ม.ค.67) ตลาดหุ้นเอเซียและไทยลงแรงติดอันดับต้นๆ ของโลกจากความกังวลเริ่มต้นเข้าสู่ยุค TRUMP 2.0 อาทิ ตลาดหุ้นมาเลเซียลงแรงอันดับ 1ของโลก -5.3%YTD รองลงมาอันดับ 2 ตลาดหุ้นบาร์เรน -4.3%และตลาดหุ้นไทย ลงมาอันดับ 3 ของโลก -4.26% ตามมาด้วยตลาดหุ้นจีน -2.74%, และตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ -2.71%
ถ้าโฟกัสแต่ตลาดหุ้นไทย พบว่า ย่อตัวลงมาหนักๆ ตั้งแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง 5พ.ย. –17 ม.ค. 67 โดย SET INDEX -8.4% ส่วน SECTOR ที่ลงแรง คือ PAPER -28%, PKG -27%, PROF -26.7%, CONS -20.3%, CONMAT -19.5% สังเกตได้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจอิงกับการส่งออก ส่วน SECTOR ที่ OUTPERFORM คือBANK +4.2%, ETRON -1%, ICT -2.1%, PF&REIT -3.7%, MEDIA -3.9% เป็นต้น สังเกตได้ว่าหุ้นกลุ่มที่ OUTPERFORM จะเป็นหุ้น DOMESTIC (ธุรกิจอิงในประเทศเป็นหลัก) หรือ หุ้นปันผลสูงเป็นหลัก
สรุป ภายใต้มูลค่าซื้อขายเบาบาง หุ้นกลัว TRUMP2.0 ก็มีเม็ดเงินขายออกมา กดดันให้ราคาหุ้นลงมาหนักมากแล้ว คำแนะนำ นักลงทุนติดตามประเด็นการเมืองสหรัฐอย่างใกล้ชิด ถ้าเห็นความผ่อนคลายลง อาจเห็นหุ้นกลุ่มดังกล่าวมีการรีบาวน์กลับขึ้นมาได้บ้าง อาทิ HANA, SCGP, ITC, SJWD, SCC, ERW, TU เป็นต้นแต่ถ้ากระแส TRUMP รุนแรงก็น่าจะเห็นเม็ดเงินวนเวียนอยู่ในหุ้น DOMESTIC กับหุ้นปันผลสูงเป็นหลัก อาทิ BBL, KBANK, ADVANC, INTUCH, DIF, 3BBIF, VGI,PLANB, MAJOR
Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์