"Domestic Play"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "แกว่ง สร้างฐาน" ต้าน 1350/1356 จุด รับ 1335/1330 จุด ดัชนี S&P500 ปรับขึ้น +1.0% จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีภาพ "Goldilocks" ผลผลิตอุตสาหกรรม ธ.ค. 24 รายงานฝั่งภาคอสังหาฯ ที่ขยายตัวดีกว่าคาด ผสาน ความคาดหวังเชิงบวกต่อ ยุคของ Trump 2.0 ส่วนภายในเผชิญความผันผวนตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะความกังวลความเสี่ยง Trump 2.0 ที่กดดัน ประเด็นลบทยอยเข้ามาถ่วงความเชื่อมั่นการลงทุนลดต่ำ และวันนี้กลุ่มโรงกลั่นและสถานีบริการน้ำมันเสี่ยงผันผวน จากแนวทางคุณทักษิณเสนอแนะลดราคาน้ำมัน อย่างไรก็ดี กรณีนี้จะเป็นบวก ต่อ กลุ่มขนส่ง ค้าปลีก ภาคผลิต และก่อสร้าง ผสาน การปรับสถานะล่วงหน้า SET ปรับลงต่อเนื่องจนมี Valuation โซนที่ไม่แพง Equity Risk Premium 4.03% อยู่ในระดับ AVG + 1 S.D. ที่ 4.05% ซึ่งเป็นจุดกลับตัวตลาด 4 ใน 5 ครั้งหลังนับจากปี 2010 ประเมิน SET อยู่ในช่วงปลายทางความผันผวน น่าจะเริ่มสร้างฐาน กลุ่มเด่น คือ กลุ่มได้ประโยชน์หากคุมราคาน้ำมัน หุ้น Dividend Plays (ธนาคาร สื่อสาร) กลุ่ม Yield สหรัฐฯ ค่อยๆคลายลงหลังคุณ Trump รับตำแหน่ง วันนี้แนะนำ GULF, INTUCH, CPALL เด่น
Daily outlook: "แกว่งตัวสร้างฐาน" ต้าน 1350/1356 จุด รับ 1335/1330 จุด
What happened around the world?
(+) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐ ปรับขึ้นต่อ โดย Dow jones +0.78%d-d S&P500 +1.0%, และดัชนี Nasdaq +1.5%d-d ทำจุดสูงสุดตั้งแต่ ธ.ค.24 (โดยดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นเกือบทุก Sectors ยกเว้นกลุ่ม Health care, Real estate ที่ปรับลง แต่กลุ่มที่ปรับขึ้นหลักๆคือ กลุ่ม Consumer Discretionary,IT, ICT, Consumer staples ฯลฯ โดยหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น คือ Nvidia +3.1% Broadcom +3.5% รับข่าวโบรกต่างชาติปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย Intel 9.25% รับคาดการณ์เกี่ยวกับการเทกโอเวอร์ หุ้น Qorvo 14.43% Meta +0.24 % แม้ หลังจากที่ศาลฎีกาตัดสินให้ (TikTok) แพ้คดีในการท้าทายกฎหมายที่จะบังคับให้ขายกิจการหรือแบนแอปพลิเคชันของติ๊กต๊อกในสหรัฐฯ แต่หุ้น Snap -3.21% ฯลฯ
(*/+) US Econ : 1.)ยอดเริ่มต้นสร้างบ้าน เดือนธ.ค. + 15.8%m-m muj 1.499 ล้านยูนิตสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ.2567 และสูงกว่าตลาดคาดที่ 1.32 ล้านยูนิต prev. 1.29 ล้านยูนิต 2.) Building Permit การอนุญาตก่อสร้างบ้านในเดือนธ.ค. -0.7% สู่ 1.483 ล้านยูนิต แต่สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ 1.460 ล้านยูนิต
(*) IMF World GDP : กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) ออกรายงานเศรษฐกิจ เดือน ม.ค. คาดการณ์ World GDP Growth ปี 2025 ดีขึ้น + 0.1% ที่ 3.3%y-y และปรับปี 2026 คงที่ 3.3%y-y โดยรายประเทศสำคัญ คือ ปรับเพิ่ม 1.)สหรัฐ ปรับเพิ่ม GDP ปี 2025 และ 2026 ขึ้น 0.5%,0.1% อยู่ที่ 2.7% , 2.1% ตามลำดับ เป็นจิตวิทยาบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐ และหนุน Dollar แข็งค่า แต่ KSS ยังคงน้ำหนักการลงทุนเพียง Neutral ส่วนจีน ปรับเพิ่มปี 2025 ขึ้น 0.1% ที่ 4.6%y-y และปี 2026 ขึ้น 0.4% ที่ 4.5% KSS ให้น้ำหนักลงทุนเป็น Sligthly Over weight ส่วนประเทศที่ปรับลด GDP ลง คือ ยุโรป อาทิ เยอรมนี ปรับลดปี 2025-2026 ลด -0.5% และ -0.3% เหลือ 0.3% และ 1.1% ส่วนไทย ปรับลดปี 2025 ลง 0.1% เหลือ 2.9% ถือว่าใกล้เคียงกับ ธปท. และ Krungsri research ที่คาดทำให้มองเป็นกลาง ส่วนปี 2026 คาดที่เดิม 2.6% ตามลำดับ
(*/+) China Econ : จีนรายงานตัวเลขเศรษฐกิจแกร่งกว่าคาด 1.)GDP Growth 4Q24 ที่ 5.4%y-y ดีกว่าคาด ส่งผลให้ GDP จีนปี 2024 เติบโตระดับ 5.0% ตามเป้าหมายของรัฐบาลจีน 2.) ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม +6.2%y-yเทียบกับคาด +5.4% โดยเร่งขึ้นจากเดือนก่อนระดับ +5.4%y-y 3.)ดัชนีค้าปลีก +3.7%y-y สูงกว่าคาดระดับ +3.6%y-y และเร่งขึ้นจากเดือนก่อนระดับ +3.0%y-y 4.)การลงทุนภาคอสังหา -10.6%ytd y-y ต่ำกว่าคาดระดับ -10.4%ytd y-y และชะลอกว่าเดือนก่อน -10.4%ytd y-y การลงทุนในสินทรัพย์คงทนอยู่ที่ระดับ +3.2%ytd y-y ชะลอลงจากเดือนก่อน +3.3%ytd y-y และต่ำกว่าคาดระดับ +3.3%ytd y-y โดยรวมดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจจีน ธ.ค. ออกมาดีกว่าคาดเล็กน้อยในส่วนของดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมและดัชนีค้าปลีก เชิงกลยุทธ์การลงทุนเรามองน่าสะสมหุ้น China Play อาทิ IVL, SCC, PTTGC
(*) Trump President : วันนี้ 20 ม.ค. ติดตามพิธีการแต่งตั้งคุณ Trump เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ อย่างเป็นทางการ โดยทรัมป์เตรียมออกคำสั่งฝ่ายบริหาร 100 ฉบับ ส่วนใหญ่น่าจะเน้นไปที่การกีดกันผู้อพยพ แนะนำติดตามภาพที่จะเกิดขึ้นจริง vs 3-4 นโยบายหลักที่มีผลต่อตลาดหุ้น 1.) นโยบายสงครามการค้า Base Case ตามที่ Trump หาเสียงว่าจะปรับเพิ่มภาษีนำเข้าทุกประเทศที่ 20% และจีน 60% แต่ท่าทีดูผ่อนคลายขึ้น คาดจะไม่รุนแรงคือมีโอกาสเร็ยกเก็บแบบค่อยเป็นค่อยไป 2.)นโยบายกีดกันผู้อพยพ ปัจจุบันตลาดวางความคาดหวังการกีดกันผู้อพยพในระดับกลางๆ คือ ควบคุมพรมแดนเข้มงวดขึ้นในระยะสั้น โดย 21 ม.ค. วางแผนการตรวจคนเข้าเมืองครั้งใหญ่ในชิคาโก 3.)นโยบายงบประมาณและภาษี ปัจจุบันตลาดวางความคาดหวัง การขยายอายุกฎหมายภาษี TCJA พร้อมปรับเพิ่มสิทธิ์ประโยชน์ ลดภาษี และการทำงบประมาณขาดดุลการคลังเพื่อรองรับ ส่งผลกระทบขาดดุลทางการคลังเพิ่มขึ้นปีละ 2.0-2.5 ล้านล้านเหรียญฯ มีผลตั้งแต่ปี 2026 4.)นโยบายยุติสงครามรัสเซียภายใน 6 เดือน มองเป็นแรงกดดันค่าระวางเรือ และราคาพลังงาน โดยรวม KSS ประเมินตลาดหุ้นไทยและหุ้นโลกได้ตอบรับการมาของคุณ Trump แล้ว รวมถึง US Bond Yield ที่ปรับขึ้นมาราว 80-100 bps จากโซนฐานช่วงคะแนนเสียงคุณ Trump เริ่มตีตื้นคุณ Harris ปัจจุบันเริ่มคลายตัวลง โดยประเมินประเด็นนี้น่าจะสะท้อนในความคาดหวังตลาดล่วงหน้าพอสมควรแล้ว
(*) To monitors : ฝั่งสหรัฐ 24 ม.ค. ติดตามดัชนีความเชื่อมั่น ม. มิชิแกน คาด 73.2 จุด เท่าเดือนก่อน, ติดตามรายงาน S&P Flash PMI ม.ค. ภาคผลิต คาด 49.4 จุด ภาคบริการ คาด 56.8 จุด 24 ม.ค. ติดตามยอดขายบ้านมือสอง ธ.ค. คาด 4.2 ล้านหลัง vs prev. 4.15 ล้านหลัง ฝั่งยุโรป 23 ม.ค. ติดตามดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.ค. คาด -14.3 จุด vs prev. -14.5 จุด, 24 ม.ค. ติดตามรายงานดัชนี HCOB Flash PMI ม.ค. คาด ภาคผลิต 46.0 จุด ฝั่งจีน 20 ม.ค. ติดตามการประกาศดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดีอายุ 1 ปี และ 5 ปี คาดยังทรงตัวที่ระดับ 3.1% และ 3.6% ตามลำดับ
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ อิง อายุ 2 ปีฟื้นตัวในแนวโน้มขาลง +2 bps อยู่ที่ 4.28% และอายุ 10 ปีปรับลง -3 bps มาอยู่ที่ 4.61% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน โรงไฟฟ้า ส่วน Dollar Index แกว่งตัวแข็งค่ามาบริเวณ 109.2 จุด
(*/-)Oil : น้ำมันดิบ Brent -2.1%d-d ปิดที่ USD 80.7 /barrel. น้ำมันดิบ West Texas -3.28ฃ%d-d ปิดที่ USD 77.4/barrel แรงกดดันมาจากหลังอิสราเอลและกลุ่มฮามาสสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
What happened in Thailand?
(-) SET Index : SET Index วันทำการล่าสุดปรับตัวลดลง -11.93 จุด (-0.88%) ปิดที่ระดับ 1,340. จุด มูลค่าการซื้อขาย 3.7 หมื่นล้านบาท รอทิศทางนโยบายคุณ Donald Trump เตรียมเข้ารับตำแหน่งวันจันทร์ ทั้งนี้ ดัชนีปรับลงสวนทิศทางตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ปรับขึ้น จากความเชื่อมั่นภายในที่ลดต่ำลง ทั้งนี้ กลุ่มที่หนุนดัชนีคือ กลุ่มค้าปลีก (CPAXT) ตามกระแสมาตรการกระตุ้นบริโภคช่วงนี้ที่คึกคักขึ้น กลุ่มขนส่ง (AOT) เริ่มฟื้นตัวหลังตอบรับประเด็นลบความปลอดภัยนักท่องเที่ยวจีนที่ผลกระทบจริงมีแนวโน้มจำกัดกว่าที่กังวลไปล่วงหน้า ส่วน Sector ที่ปรับลงกดดัชนี คือ กลุ่ม ICT (ADVANC, INTUCH) ประเมินแรงขายกลุ่มที่เด่นกว่าตลาดต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงก่อนคุณ Trump รับตำแหน่ง กลุ่ม Energy(GULF) จิตวิทยาลบ กกพ. เดินหน้าแนวทางค่าไฟฟ้า ผสาน แรงขายกลุ่มที่เด่นกว่าตลาดต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงก่อนคุณ Trump รับตำแหน่ง
(*/-) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุด เงินไหลออก ขายหุ้น -36.6 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +7.4 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Short -2,740 สัญญา เงินบาททรงๆ บริเวณ 34.5 +/- บาท
(*/+) TH Tourism: อิงรายงานสำนักตรวจคนเข้าเมือง 17 ม.ค. นักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 1.23 แสนคน หนุน YTD (17 ม.ค. 25) อยู่ที่ 1.897 ล้านคน หรือเฉลี่ยวันละ 1.11 แสนคน เพิ่มขึ้น 14%y-y จากยอดเฉลี่ย ม.ค. 23 ผสาน กระแสท่องเที่ยวตรุษจีนใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้ายังเป็นบวก จาก Agoda แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า กรุงเทพฯเป็นอันดับหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยรวมประเมินนักท่องเที่ยวปี 2025F เดินหน้าสู่ระดับ 40 ล้านคน (+12.9%y-y) ผสาน ภาพระยะกลาง-ยาวรัฐฯเดินหน้าโครงการ Entertainment Complex ต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยหนุน S Curve ภาคบริการท่องเที่ยวก้าวข้ามระดับ Pre-COVID เชิงกลยุทธ์ แนะนำทยอยสะสมหุ้นภาคบริการท่องเที่ยว AOT CPALL CPAXT BTS
(-) Policy Risk: การปราศรัยคุณทักษิณ ในฐานะที่มีความเกี่ยวโยงกับพรรคเพื่อไทยช่วงสุดสัปดาห์ ที่ผ่านมา และมีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลอาจหยิบบางข้อเสนอแนะมา ได้แก่
เรื่องใหม่เป็นลบ คือ แนวคิดการปรับราคาน้ำมันลง ประเมินระยะสั้นสร้างความกังวลการใช้กลไกควบคุมที่อาจจะกระทบกำไรกลุ่มโรงกลั่นและสถานีบริการน้ำมัน เชิงกลยุทธ์ระยะสั้นหลีกเลี่ยงกลุ่มดังกล่าวก่อน แต่ถือเป็นจิตวิทยาบวกกับกลุ่มที่มีต้นทุนพลังงานสูง อาทิ ค้าปลีก ภาคผลิต (ค่าขนส่งสินค้า)
ส่วนเรื่องอื่นๆ ส่วนใหญ่ยังเป็นไปในทิศทางเดิมที่เคยเสนอแนะไว้
1.) การแจกเงิน Digital Wallet เฟส 3 สำหรับกลุ่มผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปีจะเดินหน้าแน่นอน โดยอยู่ระหว่างพัฒนาเทคโนโลยี มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นค้าปลีกที่เน้นฐานราก อาทิ CPALL CPAXT BJC และเช่าซื้อ MTC SAWAD หุ้น Digital Tech Consult อาทิ BE8 BBIK
2.) การเดินหน้าโครงการ "บ้านเพื่อคนไทย" ที่เพิ่งเปิดตัว 17 ม.ค. จะเร่งขยายจากเฟสแรกที่มอง 7,000 ยูนิตให้เป็นแสนยูนิต จิตวิทยาบวกหุ้นกลุ่มรับเหมา
3.) เร่งเดินหน้าโครงการ Entertainment Complex โดยชี้แจงในส่วนข้อกังวลกลุ่มที่ออกมาต่อต้านที่เพิ่มขึ้นหลัง ครม. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ส่วนด้านบวกความสนใจเอกชนทั้งในและต่างประเทศค่อนข้างคึกคัก ต่างชาติ อาทิ 1.แกแล็กซี่ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ (Galaxy Entertainment Group) 2.เอ็มจีเอ็ม ไชน่า (MGM China) 3.แซนด์ส ไชน่า (Sands China) และ 4.วินน์ มาเก๊า (Wynn Macau) ในประเทศ อาทิ 1. บริษัท UTA (BA ถือหุ้น 45% BTS 35% STEC (บ.ย่อย STECON) ถือ 20%) 2.. กลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซี.พี. 3.กลุ่มสิริวัฒนภักดี โดยบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ภายใต้กลุ่มทีซีซี (TCC Group) 4.กลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซึ่งมีการลงทุนศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 และโครงการต่าง ๆ 5.กลุ่มเซ็นทรัล ของตระกูลจิราธิวัฒน์ และ 6.กลุ่มบริษัท พราว เรียลเอสเตท จำกัด
4.) ผลักดัน Soft Power ในส่วนของนางงาม
(*) To monitor: ปัจจัยภายในสัปดาห์นี้ติดตาม
1.) รายงานกำไร 4Q24F กลุ่มธนาคาร 20-21 ม.ค. ทั้งนี้ สำหรับกลุ่มธนาคารที่เราศึกษา ประเมิน กำไรสุทธิ 4Q24F ที่ 4.90 หมื่นลบ. กำไรเพิ่มขึ้น +15% y-y เพราะ i) การเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ ii) การลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ขณะที่กำไรลดลง -11% q-q เพราะ i) การลดลงของ yield on loan ii) การลดลงของเงินลงทุน(FVTPL) iii) การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายตามฤดูกาล โดยทางพื้นฐานเราชื่นชอบ KBANK และ KTB มากสุด
2.) 21 ม.ค. ประชุม ครม. และรายงานนักท่องเที่ยวต่างชาติรายสัปดาห์ แนะนำติดตามโมเมนตัมนักท่องเที่ยวจีน หลังปรากฎกระแสทางลบต่อความปลอดภัยท่องเที่ยว
Daily Strategy : CPALL, GULF, INTUCH
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "แกว่งตัวสร้างฐาน" ประเมินตลาดหุ้นโลกวันนี้น่าจะเป็นการรอติดตามการสาบานเข้ารับตำแหน่งคุณ Trump ในวันที่ 20 ม.ค. ทำให้ตลาดน่าจะเป็นภาพแกว่งตัวสร้างฐาน ส่วนภายในเรื่องใหม่ คือ ข้อเสนอแนะคุณทักษิณที่คุมราคาน้ำมันในประเทศ แม้อาจมีโอกาสทำให้ตลาดกังวลต่อผลกระทบกับกลุ่มโรงกลั่น + สถานีบริการน้ำมัน แต่กลุ่มที่ได้ประโยชน์ทางบวกคาดเคลื่อนไหวเด่น อาทิ กลุ่มขนส่ง ค้าปลีก ภาคผลิต และก่อสร้าง นอกจากนี้ กลุ่มที่ยังน่าจะเคลื่อนไหวได้ดีต่อ คือ ฝั่งหุ้น Dividend อาทิ ธนาคาร ค้าปลีก และกลุ่มที่ตลาดน่าจะดักเก็งกำไรภาพ Yield สหรัฐฯมีโอกาสคลายตัว หลังคุณ Trump รับตำแหน่ง อาทิ โรงไฟฟ้า ซึ่งวันนี้มีภาพราคาก๊าซดิ่งแรง -7.3% เป็นแรงหนุน
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
•Jan 2025 Stock Picks : ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, BTS, GULF, MALEE
• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
Strategy Update: ซินเจีย ยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ 2025 ปีมะเส็ง
ใกล้เข้าสู่เทศกาลตรุษจีนปี 2025 (วันขึ้นปีใหม่ของจีน) ปีนี้ตรงกับวันที่ 29 ม.ค.2025 โดยเป็นเทศกาลที่จะเกิด 1.)ความคึกคักการจับจ่ายเนื้อสัตว์, อาหารและผลไม้เพื่อไหว้บรรพบุรุษ 2.) วันหยุดยาวของผู้ที่มีเชื้อสายจีน (จีน, ไต้หวัน, ฮ่องกง) ออกไปท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ และการรับประทานอาหารร่วมกันในครอบครัว ฯลฯ คาดจะเป็นปัจจัยหนุนการใช้บริการในไทยทั้งทางด่วน, ปั๊มน้ำมัน, ห้างสรรพสินค้า, สายการบิน, โรงแรม รวมถึงการซื้อสินค้า อาทิ เสื้อผ้า ฯลฯ 3.)เทศกาลการแจกเงินและ ทอง ในธรรมเนียมคนจีน ถือว่าเป็นการเสริมสิริมงคลสำหรับผู้ให้และผู้รับ ฯลฯ โดยรวมหากอิง ม. หอการค้าไทย ประเมินการจับจ่ายในช่วง "ตรุษจีน"ปีนี้ เม็ดเงินสะพัด 3.2%y-y อยู่ที่ 109,313 ล้านบาท (ยังไม่ได้รวมกันใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เข้ามาราว 8 แสน - 1 ล้านคน)
KSS ประเมินกระแสการเก็งกำไรหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเทศกาลตรุษจีน ปี 2025 ที่มีความน่าสนใจ โดย KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นไทยในช่วงตรุษจีนย้อนหลัง 6 ปี (ปี 2019-2024) พบว่า ก่อนเทศกาลตรุษจีน 2 และ 1 สัปดาห์ SET Index +0.81% และ +0.23% ตามลำดับ Sector ที่ได้ประโยชน์กับเทศกาลตรุษจีนปรับขึ้นในทางเดียวกัน และกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นสุดหากซื้อก่อน 2 สัปดาห์ และความเป็นไปได้ที่จะให้ผลตอบแทนบวกเกิน 50% คือ กลุ่มการเงิน +2.73% กลุ่มขนส่ง +1.59% กลุ่มเกษตร +1.4% กลุ่มสื่อสาร +1.33% กลุ่มอาหาร +1.21% กลุ่มค้าปลีก +1.03%
กลยุทธ์การลงทุน KSS แนะนำเก็งหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเทศกาลตรุษจีน เน้น กลุ่มการเงิน AEONTS (TP-140), KTC (TP-55) กลุ่มขนส่ง AOT (TP-64.5) กลุ่มเกษตร CPF(TP-30) GFPT (TP-14.5) กลุ่มสื่อสาร ADVANC (TP-305) และกลุ่มค้าปลีก CPALL (TP-70)
Strategy Update: คาด Global Minimum Tax กระทบจำกัดกว่าตลาดกังวล โอกาสลงทุนหุ้น Infra Tech
จากกรณี ครม. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.ก. ภาษีขั้นต่ำ หรือ Global Minimum Tax 15% สำหรับ บ. ข้ามชาติที่มีรายได้มากกว่า 750 ล้านยูโรต่อปี และ ร่าง พ.ร.ก. กองทุนส่งเสริมการแข่งขัน เป็นกองทุนสนับสนุนเงินที่ บ.ข้ามชาติที่ต้องเสียภาษีเพิ่ม เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 ม.ค. 2025 ที่ผ่านมา ฝ่ายวิจัย KSS จึงได้ประเมินผลกระทบเบื้องต้นจากมาตรการดังกล่าวที่มีต่อบริษัทที่อาจจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติม โดยเราใช้เกณฑ์ 1) รายได้ปี 2023 สูงกว่าระดับ 2.6 หมื่นล้านบาท และ 2) อัตราภาษี Effective Tax Rate ประเมินโดย Bloomberg ต่ำกว่าระดับ 15.0% หากใช้สมมติฐานกรณีเลวร้าย คือ ให้ทุกบริษัทเสียภาษีเพิ่มเป็น 15% โดยไม่ได้รับผลชดเชยด้านอื่น พบว่า กำไรปี 2025F ของบริษัทที่จะถูกกระทบจากมาตรการดังกล่าวอย่างมีนัยยะ ได้แก่ EA (คาดกำไรปี 2025F จะลดลง -11.96%) GULF (-11.82%) HANA (-10.37%) AH (-10.09%) DELTA (-9.5%) TU (-3.28%) ขณะที่หากรวมเป็นผลกระทบต่อคาดการณ์กำไรตลาดจะอยู่ราว -8.6 พันล้านบาท หรือ -0.7% ของกำไรตลาดปี 2025F ที่เราประเมิน 96 บาท
ในเชิงกลยุทธ์ เราประเมินหุ้นที่มีความเสี่ยงกระทบส่วนใหญ่ทยอยปรับตัวลงสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว EA (YTD2025 Return +0.5%) GULF (-6.3%) HANA (+0.4%) AH (-3.07%) CK (-4.69%) DELTA (-4.92%) TU (-3.08%) แต่หากอิงโอกาสที่รัฐฯน่าจะต้องหาช่องทางสนับสนุนเงินคืนเพื่อลดผลกระทบ รวมถึงการบริหารภาษีภายในบริษัทต่างๆ คาดผลกระทบจะจำกัดกว่าที่ประเมินข้างต้น เชิงกลยุทธ์แนะนำตั้งรับหุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่เป็น New S Curve ของไทยระยะถัดไป หากราคาปรับลงมา ได้แก่ โรงไฟฟ้า ที่อยู่ในธีม Infra Tech เน้น GULF GPSC
Strategy Update : Dividend Plays 2H24
ช่วงปลายเดือน ก.พ. - พ.ค. 2025 จะเข้าสู่เทศกาลจ่ายปันผลประจำปี 2024 ของบริษัทจดทะเบียน ทีมกลยุทธ์ KSS จึงได้รวบรวมหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง) จากคาดการณ์ของ KSS และ Consensus เพื่อนำมาคัดสรรหุ้นปันผลสูง (High Dividend) คือ Dividend Yield มากกว่า 3.5% สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะ 1 - 2 เดือนแรกของปี ใน "Theme Dividend Play"
Key Ideas : KSS มีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นปันผลในช่วงต้นปีเนื่องจาก
o KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นปันผล(SETHD) ย้อนหลัง 10 ปี พบว่า SETHD ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. ของทุกปี ผลตอบแทนมักเป็นบวก เดือน ม.ค. ผลตอบแทนบวก 6 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.7%, เดือน ก.พ. บวก 7 ใน 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +0.67%
o SETHD ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของทุกปี (งวด 1Q) ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.85%)
กลยุทธ์ : ในเชิงกลยุทธ์ KSS แนะนำซื้อหุ้นปันผลสูงก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD 2 สัปดาห์แล้วขายวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD (dividend capture) มักจะให้ผลตอบแทนที่ดี ทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการคัดกรองหุ้นปันผลเด่น ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ คือ
1.) เป็นหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผล ช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง)
2.) เป็นหุ้นพื้นฐานที่มีแนวโน้มการเติบโต/กระแสเงินสดมั่นคง /อยู่ใน Theme การลงทุนหลักของ KSS ปี 2025 อาทิ Theme เศรษฐกิจไทยปี 2025F เติบโต อาทิ กลุ่มธนาคาร หรือ อยู่ในอุตสาหกรรม Up Cycle อาทิ Sector ICT หรือ หุ้นที่อยู่ในกลุ่มได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มอสังหา กลุ่มการเงิน ฯลฯ โดยเรียงตามอัตราตอบแทนเงินปันผลจากสูงไปต่ำ
พบว่ามีหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลเด่น 9 บริษัท คือ
หุ้น Big Cap ได้แก่ SCB (TP Max Con 135.0, Yield 2H24F 8.6%), TTB (TP25-2.2,Yield 2H24F 7.2%) HMPRO (TP25-13.5,Yield 2H24F 4.3%) INTUCH (TP25-108,Yield 2H24F 4.2%), ADVANC (TP25-305, Yield 2H24F 3.7%),
หุ้น Mid Cap ได้แก่ AP (TP25-11.8., Yield 2H24F 7.65%), TISCO (TP25-97.0, Yield 2H24F 5.84%), SC (TP25-3.2, Yield 2H24F 5.52%), JMT (TP25-22.8, Yield 2H24F 2.3%),
หุ้นปันผลสูงครึ่งหลังปี 2024 ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, HMPRO,JMT AP, SC, TISCO
โดยทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการศึกษาสถิติหุ้นปันผลเด่น 9 บริษัทดังกล่าวข้างต้น ย้อนหลัง 8 ปี พบว่าหากลงทุนซื้อหุ้นก่อน 2 สัปดาห์และขายวันที่ขึ้น XD พบว่า ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ Return มากที่สุด คือ JMT +5.36%, TTB +4.16%, ADVANC +3.05%, ส่วน SCB, HMPRO, INTUCH, AP, SC, TISCO ผลตอบแทน (Capital Gain) เฉลี่ยอยู่ราว 1% เท่ากับว่า การลงทุนหุ้นกลุ่ม High Dividend ในช่วงเวลาดังกล่าว หลาย ๆ ครั้งนักลงทุนจะมักจะได้รับเงินปันผลฟรี
• AMATA (Trading Buy, TP25F-30): AMATA guided to have a record high land sales last year, which we estimate above 2,800 rai, and will continue focus on IE business this year (we estimate 2,500 rai land sales), supporting by trade war and geopolitical tensions, in three countries – Thailand, Vietnam and Laos. Opening Amata Smart and Eco City Namor will provide upside risk to our land sales forecast for 2025. We maintain BUY rating for AMATA.
• HMPRO (Buy, TP25F-13.5): We estimate 4Q24F profit to be THB1.75b, +4% yoy and +21% qoq, underpinned by the store additions (+8 yoy) as Home Pro continued to focus on growing its revenues through expansion. Same-store-sales growth (SSSG) was -0.3%, an improvement from -5.8% in 3Q24, owing to post-flooding reconstruction effort, especially in the north. Home Pro is our top pick in the commerce sector, in anticipation of the recovery of SSSG to 2% in 2025F and EPS growth of 6% while valuation is decent, 17.4x 2025F P/E, or -2SD below its long-term average
• PTTGC (Trading Buy, TP25F-30): แนวโน้ม 4Q24F ขาดทุนหนักกว่าที่เคยประเมินไว้เดิม จากมีปิดซ่อมโรงกลั่นนอกแผน รวมถึง ค่าใช้จ่าย provision ปิด PTTAC และ Vencorex สูงกว่าคาด และ ปัจจัยฤดูกาลฉุดปิโตรเคมีมากกว่าคาด ซึ่งเรามองไม่ได้เกิดต่อเนื่อง หากเป็นไปตามคาด 2024F มี downside -9,881 ลบ. หรือ -2.2 บาท/หุ้น มอง 2H24F เป็นจุดแย่สุด คงมุมมอง PE spread ฟื้นตัวในระยะยาว คงคำแนะนำ Trading Buy ที่ TP25F = 30.0 (เราอยู่ระหว่างปรับประมาณการ) ยังสร้างกระแสเงินสดในสภาวะ spread ต่ำ
• KTC (Buy, TP25F-55.0): เราคงคำแนะนำ BUY ที่ TP25F 55 บ. เราชอบ KTC เพราะ i) คาดมาตรการของ ธปท. และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางภาครัฐ จะช่วยลดปัญหาการตกชั้นของลูกหนี้ ii) ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง iii) มีจุดแข็งเรื่องงบดุล iv) กำไรสุทธิปี 2025F คาดทำจุดสูงสุดใหม่ต่อจากปี 2024 สำหรับกำไรสุทธิ 4Q24 รายงานที่ 1,889 ลบ. เพิ่มขึ้น +7% y-y ลดลง -2% q-q ใกล้เคียงกับเราและตลาดคาด ภาพรวมสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น +4.7% q-q หรือคิดเป็น -1.1% YTD ด้านคุณภาพสินทรัพย์เรามอง KTC ยังบริหารจัดการได้ดี NPL Ratio อยู่ที่ 1.95% ใกล้กับ 3Q24
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI