"Domestic Play"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "Rebound" ต้าน 1350/1365 จุด รับ 1335/1332 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯทรงตัวถึงบวกอ่อนๆ โดยดัชนี Dow Jones +0.52% นำโดยหุ้น Value นำตลาด ขณะที่หุ้น Tech ยังคงถูกขายทำกำไร โดยรายงานเงินเฟ้อผู้ผลิต PPI ธ.ค. 24 ต่ำกว่าคาด แม้ไม่มีผลต่อมุมมองตลาดที่คาดว่าดอกเบี้ยอาจลดเพียง 1ครั้ง แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยคลายแรงกดจาก US Bond Yield ที่สูง และแกว่งรอเงินเฟ้อ US CPI วันนี้ ที่ตลาดคาด 2.9%y-y, 0.4%m-m vs prev. 2.7%y-y, 0.3%m-m เท่ากับนักเศรษฐศาสตร์ Top Rank ประเมิน จึงมีโอกาสป็นไปตามคาด จะเป็นแรงหนุนผสาน กรณีคณะทำงานคุณ Trump กำลังหารือแผนทยอยปรับเพิ่มภาษีนำเข้า หากชัดเจนขึ้น ขณะที่ SET วานนี้ ถูกกดดันหลักจาก DELTA ขาย Big Lot ต่ำกว่ากระดาน ทำให้วันนี้ตลาดน่าจะ Rebound หุ้นเด่น คือ กลุ่มค้าปลีกที่มีกระแส Easy E-Receipt และ Digital Wallet เฟส 2 ใกล้มีผล หุ้นภาคบริการ (นักท่องเที่ยวจีนสัปดาห์ที่ 2 ของปี +36%w-w vs ตลาดกังวลผลกระทบช่วงก่อนหน้า, นักลงทุนสนใจโครงการ Entertainment Complex 6 ราย) และ Dividend Plays (ธนาคาร สื่อสาร) วันนี้แนะนำ GULF, CRC, HMPRO เด่น
Daily outlook: จุด "Rebound" ต้าน 1350/1360 จุด รับ 1335/1332 จุด
What happened around the world?
(*) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐ ปรับขึ้นต่อรับเงินเฟ้อ PPI ออกมาลดลงต่ำคาด ยังมองเป็นภาพการ Rebound ยกเว้นดัชนี Nasdaq โดย Dow jones +0.52%d-d S&P500 +0.11%, แต่ดัชนี Nasdaq ปรับลงต่อ -0.23%d-d (โดยดัชนี S&P 500 Sectors ที่ปรับขึ้นคือ หลักๆคือหุ้น Cyclicals อาทิ กลุ่ม Utilities, Financials, materials , Energy, ฯลฯ ส่วน Sector ปรับลงหลักๆคือ ICT, Consumer discretionary, ITฯลฯ โดยหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น คือ Eli Lily -6.59%, Meta Platform -2.3%, Microstrategy +4.19% หนุนจากราคา Bitcoin ปรับขึ้น 2%และขึ้นมายืนเหนือระดับ 9.6 หมื่นเหรียญได้อีกครั้ง ฯลฯ
(+) US PPI : เงินเฟ้อผู้ผลิต PPI ธ.ค. ออกมาเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง +0.2%m-m ดีกว่าคาด +0.4%m-m และ +3.3%y-y ดีกว่าที่ตลาดคาด +3.5 y-y หลักๆเป็นผลจากสินค้าในหมวดอาหารลดลง 0.1% มาจากหมวดผักลดลงราว 15% แต่ในทางตรงข้ามหมวดพลังงานเพิ่มขึ้น 3.5% ประเมินมีโอกาสที่จะชี้นำบางส่วนนารรายงานเงินเฟ้อสหรัฐคืนนี้มีโอกาสลดลงต่ำคาดในทางเดียวกัน อิงตลาดคาดคาดเงินเฟ้อทั่วไป CPI +2.9%y-y prev. +2.7% หากออกมาต่ำคาดมองจะเป็นปัจจัยบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง
(+) War : นายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ เผยข้อตกลงที่จะยุติสงครามในฉนวนกาซา ระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสพร้อมที่จะมีการบังคับใช้แล้ว หรือหลังจากวันที่ 20 ม.ค. หากกลุ่มฮามาสเห็นพ้องกับข้อตกลงดังกล่าว ประเมินหากเกิดขึ้นจะลดความผันผวนในทางบวกต่อสินทรัพย์โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ ทองคำ และค่าระวางเรือ Container มองเป็นจิตวิทยาลบอ่อนๆต่อหุ้นในกลุ่มดังกล่าว
(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 15 ม.ค. ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อ CPI ธ.ค. คาดเงินเฟ้อทั่วไป +2.9%y-y, +0.3%m-m ฝั่งจีน 17 ม.ค. ติดตามรายงาน GDP ไตรมาส 4 คาด +5.0%y-y vs prev. +4.6%y-y และติดตามดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจจีน ธ.ค. ฝั่งยุโรป 17 ม.ค. ติดตามรายงานเงินเฟ้อ CPI ธ.ค. คาดเงินเฟ้อทั่วไป +2.4%y-y, +0.3%m-m vs prev. +2.2%y-y, -0.3%m-m, เงินเฟ้อพื้นฐาน +2.4%y-y vs prev. +2.2%y-
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐแนวโน้มชะลอการขึ้นรับข่าวทีมงานของทรัมป์จะค่อยๆขึ้นภาษีนำเข้าทำให้ตลาดคลายกังวลเงินเฟ้อผสานกับเมื่อคืนเงินเฟ้อ PPI ออกมาลดลงต่ำคาด อิง อายุ 2 ปีปรับลง -5 bps อยู่ที่ 4.369% และอายุ 10 ปีปรับลง -1 bps มาอยู่ที่ 4.75% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน โรงไฟฟ้า ส่วน Dollar Index แกว่งตัวอ่อนค่ามาบริเวณ 109.0จุด
(*/-)Oil : น้ำมันดิบ Brent -0.85%d-d ปิดที่ USD 80.32/barrel. น้ำมันดิบ West Texas -1.67%d-d ปิดที่ USD 77.5/barrel หลัง EIA เพิ่มคาดการณ์อุปทานน้ำมันสหรัฐฯ
(*) Sugar Price : น้ำตาล -3.07%d-d ปิดที่ 18.32Cent/lb ต่ำสุดตั้งแต่ ส.ค.2024 แรงกดดันคือจากปริมาณน้ําฝนที่สูงกว่าปกติในบราซิล KSS คาดราคาน้ำตาลจะทรงตัวถึงลดลงในเดือน ม.ค. 2025 จากคาดการณ์ผลผลิตน้ำตาลในบราซิลเพิ่มขึ้น ภาวะอุปทานล้นตลาดในอินเดีย และประเทศไทยเข้าสู่ฤดูกาลหีบอ้อย คาดผลผลิตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน KSS คาดราคาน้ำตาลที่ปรับลงและแนวโน้มมีโอกาสลงต่อ ประเมินเป็นบวกต่อ หุ้นที่มีต้นทุนน้ำตาล คือ กลุ่มเครื่องดื่ม โดยสัดส่วนบริษัท อาทิ SAPPE มีต้นทุนเป็นน้ำตาลคิดเป็นสัดส่วนราว 10% ของ Cost of Goods sold, CBG, ICHI ราว 6%, OSP, MALEE ราว 5%
กลยุทธ์ : มองบวกต่อหุ้นกลุ่มเครื่องดื่มทั้งกลุ่ม เน้นลง MALEE แต่ในทางตรงข้ามเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นน้ำตาล อาทิ KSL, KTIS, KBS
What happened in Thailand?
(-) SET Index SET Index วันทำการล่าสุดผันผวนเปิดบวก +9 จุด ก่อนผันผวนทางลงหลุด Low เดิมที่ 1352 จุด มาปิด 1340 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE, INTUCH) เก็ง กสทช. เตรียมเสนอแผนนำคลื่นความถี่ไปใช่ในช่วง 5 ปี ยังคงมุมมองเชิงบวก คาดการประมูลคลื่นความถี่ใหม่ จะเพิ่มกำไรของ ADVANC TRUE ส่วนหุ้น Sector กลาง-ใหญ่อื่นปรับลงทั้งหมด กลุ่มถ่วงหลัก คือ กลุ่มชิ้นส่วนฯ (DELTA) ปรับตัวลดลงแรง ตามราคาขาย Big Lot ราคาต่ำกว่ากระดานที่ 134 บาท กลุ่มพลังงาน (PTT) เผชิญความเสี่ยง regulatory อีกครั้ง จากข้อมูลของงาน Bull Rally Thai Capital Market ที่มีการกล่าวถึงการลดค่าผ่านท่อก๊าซฯของ PTT เพื่อลดค่าไฟฟ้าของประเทศ
(-) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุด เงินไหลออก ขายหุ้น -63 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -39.9 ล้านเหรียญฯ TFEX Net short -9,719 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าทรงตัว 34.7+/- บาท
(+) TH Tourism : นักท่องเที่ยวต่างชาติสัปดาห์ที่ 2 ของปี 2025F (5-12 ม.ค.) อยู่ที่ 8.13 แสนคน เร่งขึ้น +11.5%w-w นำโดย นักท่องเที่ยวจีน 135,973 คน ตามด้วย มาเลเซีย รัสเซีย เกาหลีใต้ และอินเดีย บ่งชี้ยังไม่เห็นผลกระทบนักท่องเที่ยวจีนตามที่เราสำรวจกับ บจ. ในกลุ่มท่องเที่ยว การบิน ขณะที่นักท่องเที่ยว YTD (12 ม.ค.) อยู่ที่ 1.32 ล้านคน หรือเฉลี่ย 1.1 แสนคน เติบโต 19.9%y-y การเติบโต y-y ดังกล่าว หากมีความต่อเนื่อง เป้าหมายนักท่องเที่ยวปี 2025F ที่ Krungsri Research ประเมิน 40 ล้านคน (+12.7%y-y) อาจจะเริ่มพอคาดหวัง Upside ได้
เชิงกลยุทธ์ ราคาหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวทยอยตอบรับภาพจิตวิทยาลบกรณีความกังวลผลกระทบนักท่องเที่ยวจีนไปแล้ว เชื่อว่าสัญญาณนักท่องเที่ยวที่ยังออกมาในทางบวก โดยเฉพาสัปดาห์ล่าสุดที่ยังนำโดยนักท่องเที่ยวจีน +36%w-w ผสาน ความคืบหน้าโครงการ Entertainment Complex ที่ ครม. เดินหน้าวานนี้ เชื่อว่ามีโอกาสค่อยๆหนุนหุ้นในกลุ่มมีโมเมนตัมฟื้นตัวได้ต่อ แนะนำทยอยสะสม AOT BJC BTS
(+) Entertainment Complex : กระทรวงการคลัง และ น.พ. พรหมมินทร์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ โครงการ Entertainment Complex เพิ่มขึ้น โดยส่วนที่น่าสนใจ มีดังนี้
- กรอบเวลาโครงการหลัก คือ คาดว่ากฎหมายจะประกาศใช้ต้นปี 2026, ปี2026-27 ศึกษาพื้นที่+เปิดประมูล, ปี 27 เริ่มก่อสร้าง และใช้เวลา 3-4 ปีหลังจากนั้นก่อนเปิดให้บริการ
- รูปแบบการลงทุนเบื้องต้นจะเปิดประมูลโดยให้ผู้เข้าประมูลเป็นกิจการค้าร่วม (Consortium) ที่มีทั้งบริษัทไทยและต่างชาติ ทุนจดทะเบียน 1.0 หมื่นล้านบาท
- การลงทุนต้องเป็นการลงทุนใหม่ทั้งโครงการขั้นต่ำแห่งละ 1.0 แสนล้านบาท โดยผู้เข้าประมูลต้องมีประสบการณ์ในธุรกิจดังกล่าวด้วย
- พื้นที่ที่จะต้องลงทุน ต้องมีองค์ประกอบ ดังนี้ 1.) พื้นที่ที่มีโครงสร้างพื้นฐานเหมาะสม 2.) พื้นที่แหล่งท่องเที่ยว และ 3.) พื้นที่ของรัฐฯ เพื่อช่วยให้รัฐฯได้ประโยชน์จากค่าเช่าที่ดิน
- กาสิโนจะมีสัดส่วนราว 5% ของพื้นที่ทั้งหมด ที่เหลือประกอบด้วย โรงแรม 4-5 ดาว รวมกันไม่ต่ำกว่า 4,000-5,000 ห้อง รวมทั้งมีศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติ สนามกีฬาในร่มความจุ 1.0-1.6 หมื่นที่นั่ง คอนเสิร์ตฮอล์มาตรฐานระดับโลก ศูนย์การค้า ร้านค้าปลอดภาษี สวนสนุก พื้นที่จัดแสดงศิลปะและวัฒนธรรม ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ และสถานที่จัดกิจกรรมพิเศษ
- ปัจจุบันมียักษ์ใหญ่ 6 ราย แสดงความสนใจลงทุน 1.) Las Vegas Sands 2.) Wynn Resorts 3.) Ceasra Entertainment 4.) MGM China Holding Limited 5. Hard Rick Café 6.) Melco Resorts & Entertainment
โดยรวม KSS ประเมินพัฒนาการดังกล่าวเป็นบวกหุ้นในธีม Entertainment Complex อาทิ AOT BTS VGI (เก็งกำไร) BJC BA MBK
(*/+) TH CCI : ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน ธ.ค. 24 ปรับเพิ่มขึ้นติดต่อเป็นเดือนที่ 3 อยู่ที่ 57.9 จุด สูงสุดในรอบ 6 เดือน vs prev. 56.9 จุด มองชี้นำภาพบวกแนวโน้มยอดขายกลุ่มค้าปลีกระยะ3-6 เดือนข้างหน้า เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก CPALL , CRC , BJC , HMPRO
(*/+) Digital Wallet Ph II : รมว. คลัง เปิดเผยว่า ในเบื้องต้นวันที่ 27 ม.ค. 2568 นี้ รัฐบาลจะมีการดำเนินการโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ผ่านโครงการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น "ทางรัฐ" และได้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว ประเมินจิตวิทยาบวกหุ้นค้าปลีกอิงฐานราก อาทิ CPALL CPAXT BJC และกลุ่มเช่าซื้อที่รอบก่อนเห็นผลบวกการเก็บหนี้ดีขึ้น อาทิ KTC JMT (ตั้งรับ)
(*) To monitor: ปัจจัยกายในสัปดาห์นี้ติดตาม
1.) กลุ่มธนาคารเริ่มรายงานกำไร 4Q24F หลังจาก TISCO รายงานไปแล้ว จากนี้ คือในวันที่ 17 ม.ค. จะเป็นฝั่ง KKP ธนาคารที่เหลือคาดทยอยรายงานสัปดาห์ถัดไปช่วง 20-21 ม.ค. ทั้งนี้ สำหรับกลุ่มธนาคารที่เราศึกษา ประเมิน กำไรสุทธิ 4Q24F ที่ 4.90 หมื่นลบ. กำไรเพิ่มขึ้น +15% y-y เพราะ i) การเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ ii) การลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ขณะที่กำไรลดลง -11% q-q เพราะ i) การลดลงของ yield on loan ii) การลดลงของเงินลงทุน(FVTPL) iii) การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายตามฤดูกาล โดยทางพื้นฐานเราชื่นชอบ KBANK และ KTB มากสุด
2.) 16 ม.ค. นโยบาย Easy E-Receipt เริ่มมีผล คาดหนุนภาพบริโภคคึกคักขึ้น
3.) 17 ม.ค. นายกฯ เตรียมเปิดตัว "บ้านเพื่อคนไทย"
Daily Strategy : GULF, CRC, HMPRO
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Rebound" ตลาดหุ้นไทยวานนี้ผันผวนจาก 1.) US Bond Yield ยังแกว่งสูง คาดวันนี้มีโอกาสเงินเฟ้อ CPI มีโอกาสออกมาใกล้เคียง/ต่ำกว่าตลาดประเมินเช่นเดียวกับ PPI (Correlation PPI และ CPI อยู่ที่ 0.56) ขณะที่แนะนำติดตามความคืบหน้ากรณีที่คณะทำงานคุณ Trump กำลังหารือแผนปรับเพิ่มภาษีนำเข้าค่อยเป็นค่อยไป หากชัดเจนขึ้น คาดช่วยแรงกดดัน US Bond Yield ค่อยๆคลายตัวลง 2.) DELTA แกว่งผันผวนจากการขาย Big Lot ต่ำกว่าราคากระดาน หนุนตลาดมีโอกาส Rebound โดยมีหุ้นนำ คือ กลุ่มค้าปลีกที่มีกระแสบวก Easy E-Receipt และ Digital Wallet เฟส 2 ใกล้มีผล หุ้นภาคบริการ (นักท่องเที่ยวจีนสัปดาห์ที่ 2 ของปี +36%w-w vs ตลาดกังวลผลกระทบช่วงก่อนหน้า, นักลงทุนแสดงความสนใจโครงการ Entertainment Complex 6 ราย) และ Dividend Plays (ธนาคาร สื่อสาร)
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
•Jan 2025 Stock Picks : ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, BTS, GULF, MALEE
• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
Strategy Update: ซินเจีย ยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ 2025 ปีมะเส็ง
ใกล้เข้าสู่เทศกาลตรุษจีนปี 2025 (วันขึ้นปีใหม่ของจีน) ปีนี้ตรงกับวันที่ 29 ม.ค.2025 โดยเป็นเทศกาลที่จะเกิด 1.)ความคึกคักการจับจ่ายเนื้อสัตว์, อาหารและผลไม้เพื่อไหว้บรรพบุรุษ 2.) วันหยุดยาวของผู้ที่มีเชื้อสายจีน (จีน, ไต้หวัน, ฮ่องกง) ออกไปท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ และการรับประทานอาหารร่วมกันในครอบครัว ฯลฯ คาดจะเป็นปัจจัยหนุนการใช้บริการในไทยทั้งทางด่วน, ปั๊มน้ำมัน, ห้างสรรพสินค้า, สายการบิน, โรงแรม รวมถึงการซื้อสินค้า อาทิ เสื้อผ้า ฯลฯ 3.)เทศกาลการแจกเงินและ ทอง ในธรรมเนียมคนจีน ถือว่าเป็นการเสริมสิริมงคลสำหรับผู้ให้และผู้รับ ฯลฯ โดยรวมหากอิง ม. หอการค้าไทย ประเมินการจับจ่ายในช่วง "ตรุษจีน"ปีนี้ เม็ดเงินสะพัด 3.2%y-y อยู่ที่ 109,313 ล้านบาท (ยังไม่ได้รวมกันใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เข้ามาราว 8 แสน - 1 ล้านคน)
KSS ประเมินกระแสการเก็งกำไรหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเทศกาลตรุษจีน ปี 2025 ที่มีความน่าสนใจ โดย KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นไทยในช่วงตรุษจีนย้อนหลัง 6 ปี (ปี 2019-2024) พบว่า ก่อนเทศกาลตรุษจีน 2 และ 1 สัปดาห์ SET Index +0.81% และ +0.23% ตามลำดับ Sector ที่ได้ประโยชน์กับเทศกาลตรุษจีนปรับขึ้นในทางเดียวกัน และกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นสุดหากซื้อก่อน 2 สัปดาห์ และความเป็นไปได้ที่จะให้ผลตอบแทนบวกเกิน 50% คือ กลุ่มการเงิน +2.73% กลุ่มขนส่ง +1.59% กลุ่มเกษตร +1.4% กลุ่มสื่อสาร +1.33% กลุ่มอาหาร +1.21% กลุ่มค้าปลีก +1.03%
กลยุทธ์การลงทุน KSS แนะนำเก็งหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเทศกาลตรุษจีน เน้น กลุ่มการเงิน AEONTS (TP-140), KTC (TP-55) กลุ่มขนส่ง AOT (TP-64.5) กลุ่มเกษตร CPF(TP-30) GFPT (TP-14.5) กลุ่มสื่อสาร ADVANC (TP-305) และกลุ่มค้าปลีก CPALL (TP-70)
Strategy Update: คาด Global Minimum Tax กระทบจำกัดกว่าตลาดกังวล โอกาสลงทุนหุ้น Infra Tech
จากกรณี ครม. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.ก. ภาษีขั้นต่ำ หรือ Global Minimum Tax 15% สำหรับ บ. ข้ามชาติที่มีรายได้มากกว่า 750 ล้านยูโรต่อปี และ ร่าง พ.ร.ก. กองทุนส่งเสริมการแข่งขัน เป็นกองทุนสนับสนุนเงินที่ บ.ข้ามชาติที่ต้องเสียภาษีเพิ่ม เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 ม.ค. 2025 ที่ผ่านมา ฝ่ายวิจัย KSS จึงได้ประเมินผลกระทบเบื้องต้นจากมาตรการดังกล่าวที่มีต่อบริษัทที่อาจจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติม โดยเราใช้เกณฑ์ 1) รายได้ปี 2023 สูงกว่าระดับ 2.6 หมื่นล้านบาท และ 2) อัตราภาษี Effective Tax Rate ประเมินโดย Bloomberg ต่ำกว่าระดับ 15.0% หากใช้สมมติฐานกรณีเลวร้าย คือ ให้ทุกบริษัทเสียภาษีเพิ่มเป็น 15% โดยไม่ได้รับผลชดเชยด้านอื่น พบว่า กำไรปี 2025F ของบริษัทที่จะถูกกระทบจากมาตรการดังกล่าวอย่างมีนัยยะ ได้แก่ EA (คาดกำไรปี 2025F จะลดลง -11.96%) GULF (-11.82%) HANA (-10.37%) AH (-10.09%) DELTA (-9.5%) TU (-3.28%) ขณะที่หากรวมเป็นผลกระทบต่อคาดการณ์กำไรตลาดจะอยู่ราว -8.6 พันล้านบาท หรือ -0.7% ของกำไรตลาดปี 2025F ที่เราประเมิน 96 บาท
ในเชิงกลยุทธ์ เราประเมินหุ้นที่มีความเสี่ยงกระทบส่วนใหญ่ทยอยปรับตัวลงสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว EA (YTD2025 Return +0.5%) GULF (-6.3%) HANA (+0.4%) AH (-3.07%) CK (-4.69%) DELTA (-4.92%) TU (-3.08%) แต่หากอิงโอกาสที่รัฐฯน่าจะต้องหาช่องทางสนับสนุนเงินคืนเพื่อลดผลกระทบ รวมถึงการบริหารภาษีภายในบริษัทต่างๆ คาดผลกระทบจะจำกัดกว่าที่ประเมินข้างต้น เชิงกลยุทธ์แนะนำตั้งรับหุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่เป็น New S Curve ของไทยระยะถัดไป หากราคาปรับลงมา ได้แก่ โรงไฟฟ้า ที่อยู่ในธีม Infra Tech เน้น GULF GPSC
Strategy Update : Dividend Plays 2H24
ช่วงปลายเดือน ก.พ. - พ.ค. 2025 จะเข้าสู่เทศกาลจ่ายปันผลประจำปี 2024 ของบริษัทจดทะเบียน ทีมกลยุทธ์ KSS จึงได้รวบรวมหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง) จากคาดการณ์ของ KSS และ Consensus เพื่อนำมาคัดสรรหุ้นปันผลสูง (High Dividend) คือ Dividend Yield มากกว่า 3.5% สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะ 1 - 2 เดือนแรกของปี ใน "Theme Dividend Play"
Key Ideas : KSS มีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นปันผลในช่วงต้นปีเนื่องจาก
o KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นปันผล(SETHD) ย้อนหลัง 10 ปี พบว่า SETHD ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. ของทุกปี ผลตอบแทนมักเป็นบวก เดือน ม.ค. ผลตอบแทนบวก 6 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.7%, เดือน ก.พ. บวก 7 ใน 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +0.67%
o SETHD ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของทุกปี (งวด 1Q) ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.85%)
กลยุทธ์ : ในเชิงกลยุทธ์ KSS แนะนำซื้อหุ้นปันผลสูงก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD 2 สัปดาห์แล้วขายวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD (dividend capture) มักจะให้ผลตอบแทนที่ดี ทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการคัดกรองหุ้นปันผลเด่น ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ คือ
1.) เป็นหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผล ช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง)
2.) เป็นหุ้นพื้นฐานที่มีแนวโน้มการเติบโต/กระแสเงินสดมั่นคง /อยู่ใน Theme การลงทุนหลักของ KSS ปี 2025 อาทิ Theme เศรษฐกิจไทยปี 2025F เติบโต อาทิ กลุ่มธนาคาร หรือ อยู่ในอุตสาหกรรม Up Cycle อาทิ Sector ICT หรือ หุ้นที่อยู่ในกลุ่มได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มอสังหา กลุ่มการเงิน ฯลฯ โดยเรียงตามอัตราตอบแทนเงินปันผลจากสูงไปต่ำ
พบว่ามีหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลเด่น 9 บริษัท คือ
หุ้น Big Cap ได้แก่ SCB (TP Max Con 135.0, Yield 2H24F 8.6%), TTB (TP25-2.2,Yield 2H24F 7.2%) HMPRO (TP25-13.5,Yield 2H24F 4.3%) INTUCH (TP25-108,Yield 2H24F 4.2%), ADVANC (TP25-305, Yield 2H24F 3.7%),
หุ้น Mid Cap ได้แก่ AP (TP25-11.8., Yield 2H24F 7.65%), TISCO (TP25-97.0, Yield 2H24F 5.84%), SC (TP25-3.2, Yield 2H24F 5.52%), JMT (TP25-22.8, Yield 2H24F 2.3%),
หุ้นปันผลสูงครึ่งหลังปี 2024 ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, HMPRO,JMT AP, SC, TISCO
โดยทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการศึกษาสถิติหุ้นปันผลเด่น 9 บริษัทดังกล่าวข้างต้น ย้อนหลัง 8 ปี พบว่าหากลงทุนซื้อหุ้นก่อน 2 สัปดาห์และขายวันที่ขึ้น XD พบว่า ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ Return มากที่สุด คือ JMT +5.36%, TTB +4.16%, ADVANC +3.05%, ส่วน SCB, HMPRO, INTUCH, AP, SC, TISCO ผลตอบแทน (Capital Gain) เฉลี่ยอยู่ราว 1% เท่ากับว่า การลงทุนหุ้นกลุ่ม High Dividend ในช่วงเวลาดังกล่าว หลาย ๆ ครั้งนักลงทุนจะมักจะได้รับเงินปันผลฟรี
• AU (Buy, TP25F-12.5): We maintain a BUY rating with a target price of Bt12.50 for AU, premised on: (i) Expect robust earnings growth in 4Q driven by still-positive SSSG, a larger OEM customer base, and improving margins; (ii) We project earnings to grow yoy and qoq in 1Q25F, with maintain our FY25F net profit forecast at Bt351m (+19% yoy) given solid brand positioning, positive SSSG from continue launch new menu, and channel expansion. Currently, AU is trading at only 22x PER for FY25F, which is -1 SD of its historical average.
• CHG (Buy, TP25F-3.0): เราปรับคำแนะนำเป็น Buy สำหรับ CHG เนื่องจากคาดว่าปี 25F กำไรปี 25F (+12%y-y) กลับมาเติบโตดีขึ้นตามทิศทางรายได้ และมีความชัดเจนค่ารักษาประกันสังคม ทั้งนี้ราคาหุ้นซื้อขายเทียบเท่า Forward PE ปี 25F ที่ 22 เท่า ต่ำกว่าระดับ Mean PE ที่ 32 เท่า มองว่าตอบรับแนวโน้ม 4Q24F และการปรับกำไรปี 24F-26F ลง -3%-5% แล้ว รวมทั้งมองว่า CHG ควรถูก Re-rated PE ขึ้นสะท้อนการกลับมาเติบโตของกำไรในปี 25F
• SCGP (Neutral, TP25F-20): มอง Negative ต่อแนวโน้มกำไรสุทธิ 4Q24F ของ SCGP ที่ลดลงทั้ง y-y q-q และต่ำกว่าที่เคยประเมินจากอัตรากำไรต่ำคาดทั้งฝั่ง Packaging paper และ Fibrous chain โดยเฉพาะฝั่ง Packaing paper ที่คาดผลกระทบมีต่อเนื่อง จากเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้นในภูมิภาคทำให้ต้องปรับลดราคาขายใน 4Q24F และปรับขึ้นราคาได้น้อยใน 2025-26F เพื่อรักษา/เพิ่มยอดขาย ทั้งนี้เราปรับลดกำไรลง 19-29% สะท้อนปริมาณขายและอัตรากำไรที่แย่กว่าคาด และปรับ TP25F ลงเป็น 20.0 บาท คงคำแนะนำ Neutral รอการนำเข้าจีนฟื้นก่อนได้
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI