Today’s NEWS FEED

News Feed

บล. เอเซีย พลัส : Market Talk

580

 

พระเอก (การปรับลดดอกเบี้ย) ยังไม่มา
เงินเฟ้อเดือน ธ.ค.67 ออกมาที่ 1.23% YOY ต่ำกว่าคาดที่ 1.4% แต่ก็ถือเป็นตัวเลขที่อยู่ในกรอบเป้าหมาย (1-3%) และเมื่อพิจารณาควบคู่ไปกับ GDP GROWTH ที่คาดว่าจะเห็นการเติบโตในอัตราที่เหนือ 3% ในงวด 4Q67 และมีMOMENTUM ต่อในงวด 1Q68 ตามแรงอัดฉีดของนโยบายการคลัง เชื่อว่าน่าจะทำให้ กนง. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่2.25% ไปอีกราว 2 ไตรมาส โดยล่าสุด ธปท. ก็แสดงจุดยืนในทิศทางด้งกล่าวชัดเจนขึ้น ส่วนการเดินนโยบายการคลัง วันนี้ ครม.จะพิจารณากรอบงบประมาณปี 2569 โดยกำหนดกรอบวงเงินไว้ที่ 3.78 ล้านล้านบาท เป็นงบขาดดุล 8.6 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะต่อ GDPปรับขึ้นไปที่ 67.3% ณ สิ้นปีงบประมาณ ถือว่าเหลือพื้นที่ทางการคลังที่แคบ ภาพรวมทั้ง 2 เรื่องยังไม่มีน้ำหนักในการขับเคลื่อน SET INDEXปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐาน ยังไม่มีน้ำหนักในการขับเคลื่อน SET INDEXขณะที่มูลค่าการซื้อขายยังเบาบาง แนวรับอยู่ที่บริเวณ 1360-1365 จุดแนวต้าน 1380 จุด TOP PICK เลือก BJC, DOHOME และ TISCO

 

ธปท. ส่งสัญญาณเก็บกระสุนตุนไว้รับมือ SHOCKS ใน 2H68
วานนี้ กระทรวงพาณิชย์รายงานเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือน ธ.ค. 67 +1.23%YOY(ต่ำกว่าคาด 1.4%) โดยราคาสินค้าที่ปรับตัวสูง อาทิ น้ำมัน ผลไม้สด เครื่องประกอบอาหาร ส่งผลให้เงินเฟ้อไทยปี 2567 +0.4%YOY ส่วน CORE CPI ล่าสุด+0.79%YOY ทรงตัวจากเดือนก่อนที่ 0.8% ส่งผลให้เฟ้อพื้นฐานไทยในปี 2567+0.56%YOYขณะที่คาดการณ์เงินเฟ้อไทย 1Q68 มีแนวโน้มปรับตัวสูงกว่า 1% โดยเงินเฟ้อในเดือนม.ค. 68 คาดมีค่ากลางอยู่ที่ 1.25% ส่วนเงินเฟ้อในปี 2568 ก.พาณิชย์คาด +0.8%,ธปท. คาด +1.1% โดยมีปัจจัยหนุนเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อาทิ โครงการแจกเงิน 10,000 บาท,ลดหย่อนภาษี EASY E-RECEIPT

 

ในมุมของนโยบายการเงินบ้านเรา ธปท. มีจุดยืนที่ชัดเจนว่า ต้องยืดหยุ่น พร้อมรองรับทุกสถานการณ์ (ROBUST POLICY) โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบาย2.25% อยู่ในระดับที่เป็นกลาง (NEUTRAL RATE) สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจเงินเฟ้อ และการรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน ซึ่งการเลือก “คง” ดอกเบี้ยไว้ในวันนี้จะดีกว่าการปรับลดดอกเบี้ยที่เร็วเกินไป เนื่องจาก

• กรณีปกติ (BASELINE) : การคงดอกเบี้ยในวันนี้ จุดยืนดอกเบี้ย 2.25% ยังสอดคล้องกับเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะสั้นและยาว ขณะที่การ
ปรับลดดอกเบี้ยในวันนี้ จะมีต้นทุนที่สูงเสีย POLICY SPACE

• กรณีมีความไม่แน่นอนสูงจนเกิด SHOCKS ใน 2H68 : การคงดอกเบี้ยในวันนี้ จะไม่ปิดโอกาสปรับเปลี่ยนนโยบายในอนาคต ขณะที่การปรับลด
ดอกเบี้ยในวันนี้ อาจทำให้ประสิทธิภาพของนโยบายการเงินถูกลดทอนลงท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยังไม่คลี่คลาย


สำหรับฝ่ายวิจัยฯ ยังเชื่อว่า กนง. จะพิจาณาคงดอกเบี้ยไว้ที่ 2.25% ในการประชุมรอบ ก.พ. 68 แต่ระยะยาวยังต้องระวังความเสี่ยงนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และความตึงตัวของสินเชื่อ ที่จะเปิดช่องว่างให้ กนง. ลดดอกเบี้ยได้การคลังในช่วงต้นปี 68 เป็นอย่างไร

ขณะที่ฝั่งนโยบายการคลังเตรียมจับตา ประชุม ครม.นัดแรกปี 2568 คาดจะเคาะกรอบงบประมาณปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านขาดดุล 8.6 แสนล้านบาท ซึ่งหากอิงจากระดับหนี้สาธารณะในปัจจุบันที่ 67.3%ของ GDP จะทำให้รัฐบาลอาจกู้ได้อีกแค่ 1.1ล้านล้านบาท เท่านั้น ภายใต้กรอบเพดานหนี้ 70% ของ GDP

สรุป นโยบายการเงิน-การคลังในช่วงต้นปี 68 ดูแล้วอาจจะไม่ได้มากระตุ้นตลาดทุนมากนัก จะคาดว่า SET INDEX ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นแรงได้ในช่วงสั้น โดยวันนี้คาดกรอบการเคลื่อนไหว 1360/1365-1380 จุด

มุมมอง ASPS ต่อกระแสโรค HMPV
สำหรับสถานการณ์การระบาดของไวรัส HMPV (HUMAN METAPNEUMOVIRUS)ในจีน ซึ่งก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ ตามที่ปรากฎในข่าวนั้น จากการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นไม่ใช่โรคใหม่และส่วนใหญ่ระบาดช่วงฤดูหนาว อาการไม่แตกต่างกับไวรัสตัวอื่น (รักษาตามอาการ) พบได้มากในเด็ก โดยรวมประเมินไม่ส่งผลต่อการเดินทางระหว่างประเทศเหมือนโรคระบาดที่เคยเกิดขึ้นในอดีตขณะที่หุ้นกลุ่มท่องเที่ยววานนี้ ส่วนใหญ่ปรับตัวลง มองมีส่วนจากการรับSENTIMENT ลบตามเหตุข้างต้น ประกอบกับแนวโน้มตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยรายสัปดาห์ที่กำลังจะประกาศ (30 ธ.ค. 67 –5 ม.ค. 68) ยังไม่เด่นเทียบ WOW หลังผ่านช่วงปีใหม่ (+ YOY อิงจากอัตราการขยายตัวของผู้โดยสารระหว่างประเทศของAOT วันที่ 1 –4 ม.ค. 68 เพิ่มขึ้น 23%YOY) แต่คาดตัวเลขนักท่องเที่ยวฯ สัปดาห์ที่ 2– 3 ของ ม.ค. 68 ทยอยฟื้นตัวเชิง WOW ตามฤดูกาลและเตรียมเข้าสู่ช่วงตรุษจีน (29ม.ค. 68) ส่วนนักท่องเที่ยวฯ ทั้งปี คาดการณ์ไว้ 38.6 ล้านคน เติบโต 9% YOY (ธปท.คาดที่ 39.5 ล้านคน)คำแนะนำการลงทุนหุ้นในกลุ่มฯ เตรียมหาจุดเข้าลงทุนหุ้นในกลุ่มฯ เก็งกระแสตรุษจีน
ช่วงปลาย ม.ค. ชอบ AOT(FV@B69), CENTEL(FV@B48) > MINT(FV@B37) >ERW(FV@B4.5)

กระแสลดค่าไฟเหลือ 3.70 บาท กระทบต่อหุ้นเกี่ยวข้องอย่างไรกรณีรัฐบาลเตรียมหารือพิจารณาหาแนวทางลดค่าไฟ โดยเบื้องต้นมี 4 แนวทางประกอบด้วย
1) ไม่ต่อสัญญาซื้อขายไฟ ADDER ปี 2568 ที่จะหมดอายุของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
2) ขยายเวลาจ่ายคืนค่า FT ที่นำไปคืนหนี้ให้แก่ กฟผ.
3)ขยายเวลาชำระคืนค่าก๊าซฯ ให้แก่ ปตท. และ กฟผ.
4) ขอให้ผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนทั้ง IPP และ SPP ลดอัตรากำไรลง


ประเด็นดังกล่าว หากพิจารณาในส่วนของโครงสร้างค่าไฟฟ้าปัจจุบันที่มีการเรียกเก็บราว 4.15 บาท/หน่วย จะพบว่ามีต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่าย ADDER อยู่ราว 0.15บาท/หน่วย ดังนั้น กรณีไม่ต่อซื้อขายไฟ ADDER ปี 2568 ที่จะหมดอายุ ฝ่ายวิจัยมองว่า จะสามารถลดค่าไฟลงได้สูงสุด 0.15 บาท/หน่วย แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสัญญาADDER จะไม่ได้หมดอายุพร้อมกันทุกโครงการในปี 2568 จึงคาดต้นทุนค่าไฟฟ้าจากส่วนนี้จะค่อยๆทยอยปรับตัวลดลงตามลับดับ

นอกจากนี้ ในส่วนของค่าภาระหนี้คงค้าง กฟผ. ปัจจุบันมีการเรียกเก็บที่สัดส่วนราว0.20 บาท/หน่วย และยังไม่มีการเรียกเก็บต้นทุนก๊าซฯคงค้างคืนให้แก่ ทปต. ดังนั้นแม้จะไม่มีการเก็บเงินชดเชยคืนหนี้ดังกล่าว คาดจะทำให้ค่าไฟลดลงจากงวดปัจจุบันที่4.15 บาท มาอยู่เพียง 3.95 บาท/หน่วย ซึ่งก็ยังไม่ถึงระดับ 3.70 บาท/หน่วยดังนั้นการหาแนวทางปรับโครงสร้างค่าไฟ อาจจะต้องรอพิจารณาอีกครั้งว่ารัฐบาลจะพิจารณาปรับจากส่วนไหน เบื้องต้นกรณีที่เลวร้ายสุด โดยหากลดค่าไฟฟ้าลง 0.45บาทต่อหน่วย จากปัจจุบัน 4.15 บาท/หน่วย มาอยู่ที่ 3.70 บาท/หน่วย โดยกำหนดให้สมมติฐานให้ค่าไฟฟ้าฐาน และต้นทุนก๊าซฯธรรมชาติคงที่ คาดจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า SPP อาทิ BGRIM , GPSC, และ GULF ให้กำไรลดลงราว ราว1.8 พันล้านบาท, 630 ล้านบาท, และ 600 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนกำไรปกติทั้งปี2568 ที่ 30%, 27% และ 3% ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงคงต้องพิจารณาสถานการณ์ในหลายองค์ประกอบ ณ ช่วงเวลานั้นๆ เช่น ราคาก๊าซฯ หรือแนวทางการบริหารต้นทุนในแต่ละบริษัท เป็นต้น

นอกจากนี้ หากภาครัฐหาแนวทางลดค่าไฟด้วยการปรับลดราคาก๊าซลงได้ ส่วนที่เป็นการลดลงของราคาก๊าซฯ ไม่น่าจะกระทบต่อ MARGIN ของผู้ประการโรงไฟฟ้า SPPอย่างมีนัยฯ หรือหากเป็นกรณีช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300หน่วย เหมือนที่เคยมีนโยบายในช่วงก่อนหน้า คาดผู้ประกอบการ SPP จะไม่ได้รับผลกระทบเช่นกัน ในขณะที่หากเป็นกรณีที่เป็นการปรับปรุงตัวแปรอื่นๆในโครงสร้างค่าไฟฟ้าฐาน อาจต้องมาพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งฝ่ายที่มีโอกาสได้รับผลกระทบ คาดจะเป็นไปได้ทั้งฝั่งภาครัฐฯ, กฟผ., และภาคเอกชน ดังนั้นจึงถือเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตาม ช่วงสั้นถือเป็น SENTIMENT เชิงลบกดดันต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า จากความไม่ชัดเจนของแนวทางภาครัฐฯในปัจจุบัน


ตลาดหุ้นไทยถูก แต่ระยะสั้นผันผวน
วานนี้ SET ปรับตัวลงแรง -12.11 จุด เหลือ 1372 จุด โดยถูกกกดันจากปัจจัยเฉพาะหลักๆ 2 เรื่อง คือ การลดค่าไฟเหลือ 3.7 บาท/หน่วย กดดันหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าลงแรงอาทิ GPSC -8%, BGRIM -7.9%, GULF -2.2% ประเด็นไข้หวัด HMPV ยังไม่มีวัคซีนรักษา กดดันหุ้นท่องเที่ยว ERW -1.6%, CENTEL -1.5% เป็นต้น กลับทางกันหุ้นถุงมือ/การแพทย์ขึ้นได้ดี อย่าง STGT +6%, TMAN +4%, SNPS 5.5%, MEGA+1%แม้ระยะสั้นตลาดหุ้นไทยยังซึ่มๆ ไม่ได้มีปัจจัยใหม่ๆ เด่นๆ เข้ามาหนุน แต่ภาพรวมฝ่ายวิจัยประเมิน ตลาดหุ้นไทยยังถือว่าถูกในเชิงเปรียบเทียบกับการเติบโตของเศรษฐกิจตาม BUFFETT INDICATOR สะท้อนได้จาก MARKET CAP ของ SET/GDP เคยเฉลี่ยสูง 1.04 เท่า แต่ปัจจุบันเหลือ 0.94 เท่า (MARKET CAP 17.2 ล้านล้านบาท,GDP25F 18.3 ล้านล้านบาท) แต่ถ้าคิด MARKET CAP ของ SET EX DELTA/GDPเหลือแค่ 0.84 เท่า (MARKET CAP SET EX DELTA 15.4 ล้านล้านบาท) เท่านั้น


สรุป SET INDEX ผันผวนในช่วงนี้ แต่ภาพรวมถือว่าไม่แพง หากคำนวนจากBUFFETT INDICATOR ไม่ถึง 1 เท่า แนะนำช่วงนี้หลบความผันผวนกับ หุ้นปันผลสูงอย่าง AP LH TISCO KTB BBL หุ้น TRUMP TRADE อย่าง RCL WHA AMATATTA และเก็งกำไรหุ้นเกระป้องกัน HMPV อย่าง STGT, TMAN, MEGA

 


Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้