Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เมย์แบงก์ : AT THE OPEN

392

 

AT THE OPEN (#ATO)
SET Index แกว่งออกข้าง
เลือกหุ้นที่แนวโน้มที่มีปัจจัยเฉพาะตัวหนุน

 

 

Market Strategy
SET Index คาดแกว่งออกข้างตามกรอบ 1390-1410 จุด ตามสภาพแวดล้อมตลาดหุ้นต่างประเทศที่ยังเปิดในภาวะพักตัว ท่ามกลาง U.S. Bond Yield 10 ปี ที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบเกือบ 7 เดือน ด้านในประเทศยังไม่ได้มีแรงขับเคลื่อนใหม่เข้าหนุนประกอบกับมูลค่าการซื้อขายที่ยังเบาบางจากอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างวันหยุด วันนี้เราเลือกหุ้น CK และ TLI

แรงขายของ LTF ปีนี้สามารถไถ่ถอนได้ทั้งหมด ณ 27 ธ.ค.67 มี NAV ที่ 2.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นเม็ดเงินใหม่ที่คาดไถ่ถอนได้ในปี 68 ที่ 6.34 หมื่นล้านบาท และเงินที่ไถ่ถอนได้ตั้งแต่ปีก่อนๆ ที่ 1.57 แสนล้านบาท หากอิงเม็ดเงินของ LTF ที่ไหลออกช่วงปี 65-67 พบว่าไหลออกเฉลี่ย 51% ของเม็ดเงินที่เริ่มไถ่ถอนในแต่ละปี ส่วนการไหลออกเดือน ม.ค.จะเป็นเดือนที่สูงสุดที่ 29% ของเม็ดเงินที่ไหลออกในแต่ละปี หากอิงสมมติฐานดังกล่าวจึงคาด LTF ไหลออกปีนี้ที่ 3.24 หมื่นล้านบาท และเม็ดเงินไหลออก ม.ค.68 ที่ 9.4 พันล้านบาท แต่เราเชื่อว่าเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ที่ยังมีสภาพคล่องไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาทจะตัวช่วยลดผลกระทบแรงขาย LTF เกิดขึ้น

ตลาดหุ้นไทยปี 68 เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ SET Index โดยมีเป้าหมาย ณ สิ้นปีอยู่ที่ 1,590 จุด ซึ่งอิงจาก PER เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 16.9 เท่า และคาดการณ์ EPS68 ที่ 94 บาท/หุ้น คิดเป็นการเติบโต 8.4% YoY แรงขับเคลื่อนมาจากมาตรการกระตุ้นจากรัฐ การเติบโตของการส่งออกและท่องเที่ยวที่ดีขึ้น สำหรับการกลับมารับตำแหน่งประธานาธิบดีทรัมป์สมัยที่ 2 จะเป็นปัจจัยบวกต่อไทยในระยะยาวซึ่งอาจส่งผลให้มีเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เข้ามาเร็วขึ้น แต่ระยะสั้นอาจมีความผันผวนจากตลาดรอความชัดเจนนโยบายของคุณทรัมป์ โดยหุ้นเด่นของเราชอบ 1) หุ้นได้ประโยชน์จากมาตรการรัฐฯ CK TASCO SKY 2) หุ้นทีได้ประโยชน์จากนโยบาย Trump 2.0 CCET AAV TLI

 


Market Summary
SET Index ปิด -1.25 จุด มายืนที่ 1400 จุด ทำให้ปี 67 -1.1%YTD กลุ่มที่ Outperform กลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ปรับขึ้น 65% จาก DELTA +73% CCET +386% ตามด้วยกลุ่ม ICT ปรับขึ้น 32% จาก TRUE ที่ +120% จากผลของการควบรวมและ INTUCH +36% จากถูกนำไปควบรวมกับ GULF ส่วนกลุ่มที่ Underperform คือ กลุ่มบรรจุภัณฑ์ -35% จาก SCGP -46% กลุ่มวัสุก่อสร้าง -34% จาก SCC -45% จากผลประกอบการที่ฟื้นช้ากว่าตลาดคาด

 


ATO Daily Stock Picks
แนะนำ CK TLI


TLI
ได้ประโยชน์จาก U.S. Bond Yield
ที่ทรงตัวระดับสูง
Bond Yield 10 ปี สหรัฐฯ ที่ยังทรงตัวสูงที่ระดับ4.6% ตอบรับมุมมองของ FED ลดดอกเบี้ยฯที่ช้าลงและการอาจเกิดภาวะ Reflation จากนโยบายของ Trump 2.0 ซึ่ง Bond Yield 10 มี สหรัฐฯมี Correlation กับ Bond Yield 10 ไทยสูงถึง 76% จึงอาจเกิดภาวะ Yield Curve Steepening กับ Yield Curve ของบ้านเรา (ส่วนต่างระหว่าง Bond Yield ระยะสั้นกับระยะยาวเพิ่มขึ้น)
TLI ได้ประโยชน์จากภาวะ Yield Curve Steepening ดังกล่าว เนื่องจากระยะเวลาหนี้สินยาวกว่าสินทรัพย์ ทำให้มูลค่าหนี้สินลดลงเร็วกว่าสินทรัพย์เมื่ออัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงไปสู่มาตรฐานการบัญชี IFRS17 คาดว่าจะส่งผลดีต่อกำไรของ TLI โดยสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรของผลิตภัณฑ์ที่เพิ่งขายไปได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

 

CK
การลงทุนภาครัฐ
เป็นตัวขับเคลื่อนกำไรและราคาหุ้น
คาดกำไรปี 68E จะเติบโต 15% ดีกว่า SET Index ที่คาดขยายตัว 8.4% ขณะที่ปี 69E เราคาดขยายตัวต่อ 24% ทำกำไรสถิติสูงสุดใหม่ที่ 2,711 ล้านบาท
ปัจจุบันมี Backlog 2.2 แสนล้านบาท ซึ่งเรายังคาดหวังจะได้งานเพิ่มจากบริษัทลูก BEM ในปี 68 คือ 1) โครงการรถไฟฟ้า สายสีม่วงใต้ เตาปูน - ราษฎร์บูรณะ งาน M&E มูลค่า 2.7 หมื่นล้านบาท 2) โครงการทางด่วนสองชั้นมูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท คาดได้ข้อสรุปและเสนอให้ ครม. ได้ภายในต้นปี 2568 และ จะทำให้มีงานเพิ่มเป็น 2.8 แสนล้าน หนุนรายได้ 4-5 หมื่นล้านบาท ช่วง 5-6 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้เราเชื่อว่า Downside ของราคาหุ้นจะถูกจำกัด จากบริษัทอยู่ในช่วงซื้อหุ้นคืน(ได้สูงสุดที่ 130 ล้านหุ้นคิดเป็นสัดส่วน 7.67% ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว วงเงิน 3 พันล้านบาท) ซึ่งมีผลไปจนถึงวันที่ 1 มิ.ย.68


KEY FACTOR
ปัจจัยสำคัญในระยะสัปดาห์นี้ที่เหลืออีกสองวันทำการ และต่อเนื่องในสัปดาห์หน้า น่าจะให้น้ำหนักไปที่การรายงานข้อมูลเศรษฐกิจประจำเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ทั้งที่รายงานไปแล้ว ประกอบด้วย 1) ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีน เดือน ธ.ค. (รายงาน 31 ธ.ค.) อยู่ที่ระดับ 50.1 ประคองตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้า 2) ภาคบริการ เร่งตัวดีกว่าคาดที่ 52.5 สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะภาคการผลิตที่ยืนเหนือ 50 ได้เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน
ต่อด้วยที่จะทยอยรายงานในสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย 1) Caixin PMI ภาคการผลิต ซึ่ง Consensus คาดที่ 51.7 2) ISM ภาคการผลิตสหรัฐฯ Consensus คาดที่ 48.2 ทรงตัวใกล้เคียงเดือนก่อนหน้า
นอกจากนี้ตลาดน่าจะเริ่มต้นปีด้วยการจับตามองการปรับเปลี่ยนนโยบายของสหรัฐฯ ในช่วงการเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการของ Donald Trump ที่อาจนำไปสู่การยกระดับสงครามการค้า และการกระตุ้นด้านการคลัง ซึ่งสะท้อนในตลาดการเงินโลกช่วงปลายปีที่ผ่านมา ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เร่งตัว และยืนสูงระดับ 4.57%


EYES ON
31 ธ.ค. PMI ภาคการผลิตและบริการจีน เดือน ธ.ค.
1 ม.ค. ไทยปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
2 ม.ค. HCOB PMI ภาคการผลิต Eurozone
3 ม.ค. ISM ภาคการผลิตสหรัฐฯ

 


นักกลยุทธ์ : ธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์, ชาญชัย พันทาธนากิจ

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้