
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (30 ธันวาคม 2567 )-------ปีเก่า 2567 กำลังจะผ่านพ้นไป ปีใหม่ ปี2568 หรือตรงกับปีนักษัตรปีมะเส็งหรือปีงูเล็ก กำลังจะล่วงเข้ามาทุกขณะ เหล่าบริษัทจดทะเบียน(บจ.) จะมียุทธศาสตร์ มีแผนกลยุทธ์ รวมถึงตั้งรับกับปัจจัยต่างๆ ที่ท้าท้าย ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า สหรัฐ-จีน รอบใหม่ ความขัดแย้งระหว่างทางภูมิรัฐศาสตร์โลก ทิศทางดอกเบี้ย เงินเฟ้อ อย่างไร? ทีมข่าวหุ้นอินไซด์รวมเด็ดบจ.เปิดแผนปีมะเส็งมาให้คุณผู้อ่านทุกท่าน ที่นี่ทีเดียวไปติดตามกันเลยค่ะ....
MONO เผยปี68 MONO29 และ MONOMAX มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในตลาดสตรีมมิ่งและทีวีไทย โดยตั้งเป้าหมายสมาชิกถึง 3 ล้านบัญชี
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์----บริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ "MONO" ผู้นำด้านธุรกิจสื่อและความบันเทิงครบวงจร เปิดตัวโปรเจกต์ใหม่ในงาน "MONO OPEN HOUSE 2025" ภายใต้แนวคิด "THE WORLD EXPERIENCE IS HERE" โดยเน้นการขยายธุรกิจผ่านแพลตฟอร์มหลัก 2 แพลตฟอร์ม ได้แก่ สถานีโทรทัศน์ช่อง MONO29 ที่มีความนิยมอันดับต้นๆ ในประเทศไทย และแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่ง MONOMAX ซึ่งมีฐานผู้ใช้งานแข็งแกร่งกว่า 1.5 ล้านราย ในการผลิตคอนเทนต์คุณภาพจาก "MONO ORIGINAL" ที่รวมซีรีส์และภาพยนตร์ระดับพรีเมี่ยม เพื่อเสิร์ฟความบันเทิงแบบเอ็กซ์คูซีฟให้กลุ่มลูกค้าผ่านทางช่อง MONO29 และ MONOMAX
โดยเฉพาะในงาน "MONO OPEN HOUSE 2025" ได้รับเกียรติ ดร.โสรัชย์ อัศวะประภา ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (รักษาการ) บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS, คุณนวมินทร์ ประสพเนตร ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (รักษาการ) บริษัท โมโนเน็กซ์ จำกัด (มหาชน), คุณธัญญา วชิรบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายรายการและผู้อำนวยสถานีโทรทัศน์ช่อง MONO29 บริษัท โมโนเน็กซ์ จำกัด (มหาชน), คุณบรรณสิทธิ์ รักวงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฎิบัติการ บริษัท โมโนเน็กซ์ จำกัด (มหาชน), คุณหทัยทิพย์ หมัดจุ้ย ผู้อำนวยการธุรกิจดูหนังออนไลน์ บริษัท โมโน สตรีมมิ่ง จำกัด ร่วมงาน
สำหรับปี 2025 นี้ "MONO ORIGINAL" ได้ระดมผู้จัด ผู้กำกับ และนักแสดง ร่วมส่งคอนเทนต์ใหม่ที่มีคุณภาพถึง 25 เรื่อง ประกอบด้วยซีรีส์ 19 เรื่อง และภาพยนตร์ 6 เรื่อง รวมถึงซีรีส์แนวใหม่ที่ได้รับการจับตามอง เช่น "คมเดือน" ซีรีส์วายเรื่องแรกที่สร้างโดยทีมงานของ หมูอาซาวา (พลพัฒน์ อัศวะประภา) นักออกแบบเสื้อผ้าและนักธุรกิจชื่อดัง รวมถึงภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ "ครุฑา นาคี" เรื่องราวความรักระหว่าง ครุฑ และ พญานาค พร้อมด้วยความแค้นที่มีมาอย่างยาวนาน ที่เตรียมเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ เร็ว ๆ นี้ โดยมีซีรีส์และภาพยนตร์ ในแนวแอ็คชั่น 7 เรื่อง, ดราม่า 8 เรื่อง, แนวโรแมนติกคอมเมดี้ 10 เรื่อง ซึ่งเป็นแนวซีรีส์และภาพยนตร์ที่น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของคนไทย รวมไปถึงสามารถส่งต่อขยายกลุ่มคนดูในระดับโลกต่อไป
นอกจากคอนเทนต์ซีรีส์และภาพยนตร์ไทยโดย "MONO ORIGINAL" ที่น่าจับตา ผู้บริหาร MONOMAX ยังให้ข้อมูลถึงการยกระดับการบริการด้วยความร่วมมือกับ PARAMOUNT+ เพื่อให้สมาชิกได้รับชมคอนเทนต์ระดับโลกทั้งภาพยนตร์ฮอลลีวูดและซีรีส์ฮิตจากต่างประเทศโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งยังได้ขยายการให้บริการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ โดยเป็นพันธมิตรหลักกับบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในประเทศไทย กัมพูชา และลาว รวมถึงจะเริ่มถ่ายทอดสดตั้งแต่ฤดูกาล 2025/26 ในวันที่ 16 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ระยะเวลารวม 6 ปี หรือ 6 ฤดูกาล คิดเป็นมูลค่าลิขสิทธิ์ทั้งหมด 559,980,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 19,167,723,414 บาท
ซึ่งการที่ JAS ได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด "Premier League” (พรีเมียร์ลีก) ลีกฟุตบอลที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในโลกมาครอบครองได้สำเร็จ เป็นความมุ่งมั่นที่ต้องการถ่ายทอดคอนเทนต์ให้เข้าถึงมากกว่า 25 ล้านครัวเรือนใน 3 ประเทศ ซึ่งตั้งเป้าสมาชิก 3 ล้านบัญชี จากจำนวนคนทั้งสิ้น 96 ล้านคน โดยการรับชมต้อง streaming ผ่าน Monomax เป็นหลัก
การเติบโตในปี 2025 ของ MONO29 และ MONOMAX มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในตลาดสตรีมมิ่งและทีวีไทย โดยตั้งเป้าหมายสมาชิกถึง 3 ล้านบัญชี ซึ่งคาดว่าจะสร้างการเติบโตที่มั่นคงให้กับอุตสาหกรรมบันเทิงในประเทศไทย และเป็นการตอกย้ำความแข็งแกร่งในระดับสากล โดยสามารถติดตามคอนเทนต์ทั้งฟุตบอลและความบันเทิงจากต่างประเทศได้ในราคาไม่เกิน 400 บาทต่อเดือน
KTC เผยแผนยุทธศาสตร์ปี 2568 ยกระดับทั้งองค์กรสู่ดิจิทัลอย่างยั่งยืน วางเป้าพอร์ตสินเชื่อขยายตัว 4-5% คุม NPLไม่เกิน 2%
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์----เคทีซีเผยแผนยุทธศาสตร์ปี 2568 ยกระดับทั้งองค์กรสู่ดิจิทัลอย่างยั่งยืน “Building a Sustainable Future Through Digital Transformation” เตรียมพร้อมระบบไอทีและแผนการพัฒนาโครงสร้างการทำงานเชิงลึก ผลักดันบุคลากรทุกฝ่ายติดอาวุธความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี เสริมประสิทธิภาพการทำงาน ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อสร้างประสบการณ์สมาชิกแบบครบวงจร พร้อมขยายฐานสมาชิกให้เติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่การบริหารพอร์ตสินเชื่อคุณภาพ
นางพิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผย “เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐ จะช่วยเพิ่มรายได้ในภาคประชาชนและสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกกับธุรกิจบริการสินเชื่อผู้บริโภค สำหรับทิศทางธุรกิจเคทีซีในปี 2568 เราได้เตรียมการเพื่อก้าวสู่องค์กรดิจิทัลอย่างยั่งยืน ด้วยกลยุทธ์ “Building a Sustainable Future Through Digital Transformation” บน 4 แนวทางหลัก ประกอบด้วย
1. Reach Better: ใช้ช่องทางดิจิทัลในการขยายฐานสมาชิกกลุ่มใหม่ที่นิยมทำรายการด้วยตนเองตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการด้วยการพัฒนา E-Application ที่ง่าย ไร้รอยต่อ และปลอดภัย สามารถรู้ผลการสมัครได้รวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมพัฒนาและทดสอบเครื่องมือในการประเมินคุณภาพสินเชื่อ (Credit Scoring Model) ใหม่ๆ เพื่อแสวงหาโอกาสของการขยายฐานสมาชิกที่ยังอยู่ในระดับความเสี่ยงที่รับได้
2. Grow Healthier: การบริหารฐานข้อมูลสมาชิกอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมพัฒนาบริการใหม่ๆ บน แอป KTC Mobile ที่ทำให้สมาชิกสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของเคทีซีได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิก และสร้างความมั่นใจในการใช้จ่าย
3. Bond Tighter: เพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของบริการรวมถึงการสื่อสารบนช่องทางออนไลน์ ทั้งผ่านแอป “KTC Mobile” Line Connect, Facebook และเว็บไซต์ www.ktc.co.th เพื่อให้สมาชิกใช้งานง่าย สะดวกและมั่นใจมากขึ้น รวมถึงเครื่องมือที่ช่วยให้ทีมงานคอนแทคเซ็นเตอร์ (Contact Center) สามารถให้บริการตอบคำถามได้รวดเร็วและถูกต้องแม่นยำ เพื่อให้สมาชิกได้รับความพึงพอใจมากที่สุด
4. Work Smarter: เตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือ กระบวนการและการพัฒนาทักษะ (Upskill) ด้าน ไอทีให้กับบุคลากรเคทีซีทั้งองค์กร ส่งเสริมการคิดริเริ่มและปรับปรุงกระบวนการทำงาน โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพงาน ลดค่าใช้จ่าย และพัฒนาทักษะของพนักงานให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
สำหรับเป้าหมายการทำธุรกิจในปี 2568 เคทีซีคาดว่าพอร์ตสินเชื่อรวมจะขยายตัวที่ 4-5% และ คุมอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL Ratio) รวมให้อยู่ในระดับไม่เกิน 2% และมีแผนระดมเงินกู้ยืมระยะยาวประมาณ 15,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อ ลงทุนด้านเทคโนโลยี รวมถึงรองรับหุ้นกู้และเงินกู้ยืมระยะยาวที่จะครบกำหนดประมาณ 13,000 ล้านบาท ในส่วนของยอดการใช้จ่ายผ่าน บัตรเครดิตปี 2568 คาดการเติบโตที่ประมาณ 10-12% ด้วยยอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ไม่ต่ำกว่า 320,000 ล้านบาท เพิ่มจำนวนสมาชิกใหม่ 250,000 บัตร เน้นกลุ่มผู้มีรายได้ 50,000 บาทขึ้นไป รวมถึงกลุ่มคนเริ่มทำงาน (First Jobber) สร้างความแตกต่างในด้านการทำกิจกรรมทางการตลาดและส่งเสริมการขายโดยใช้จุดแข็งด้านคะแนนสะสม KTC FOREVER ในการเพิ่มมูลค่าให้สมาชิกโดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทุกหมวดสำคัญ เช่น หมวดอาหาร ช้อปปิ้ง เติมน้ำมัน และท่องเที่ยว เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สมาชิกทุกกลุ่มเซ็กเมนต์
สำหรับธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล บัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ตั้งเป้าเติบโตที่ 3% เน้นขยายฐานสมาชิกใหม่ผ่านพันธมิตรธุรกิจต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงสินเชื่อผ่านช่องทางสมัครสินเชื่อออนไลน์ E-Application ที่ลูกค้าสามารถทำรายการได้ด้วยตนเอง รู้ผลอนุมัติพร้อมรับเงินโอนเข้าบัญชีภายใน 30นาที พร้อมสร้างประสบการณ์การใช้งานให้กับสมาชิกผ่านฟังก์ชัน “รูด โอน กด ผ่อน” ครบจบในบัตรเดียว และสานต่อโครงการ “เคลียร์หนี้” เพื่อเสริมวินัยทางการเงินแก่สมาชิก ส่วนสินเชื่อ "เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน" ตั้งเป้าการเติบโตที่ 3,000 ล้านบาท เน้นขยายพอร์ตสินเชื่อคุณภาพผ่านสาขาธนาคารกรุงไทยตัวแทนจำหน่าย และพันธมิตรธุรกิจต่างๆ เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ประจำและเจ้าของกิจการขนาดเล็กที่เป็นเจ้าของรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ และกำลังมองหาสินเชื่อ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ง่ายและปลอดภัย พร้อมรับวงเงินใหญ่สูงสุด 100% ของราคาประเมิน อนุมัติไวภายใน 1 ชั่วโมง รับเงินทันที โดยไม่ต้องมีคนค้ำประกัน
เคทีซีพร้อมพัฒนาองค์กรด้วยกลยุทธ์ที่ยั่งยืน ในการสร้างนวัตกรรมทางการเงินที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการอย่างมีประสิทธิภาพและรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินอย่างยั่งยืน และธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต”
PJW ปี 68 ปักธงรายได้ส่อแวว โต 15% ธุรกิจ New S-curve หนุนรายได้เข้าพอร์ตเพิ่ม 25%
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์--- บมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก หรือ PJW เดินเกมรุก ปั้นธุรกิจ New S-curve อาทิ งานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม และ วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ สร้างรายได้เพิ่ม 25% - มาร์จิ้นสูง หนุนอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 20-23% พร้อมวางเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่เพิ่มเป็น 1 ใน 3 ของพอร์ต พร้อมปักธงรายได้ปี 68 โต 15%
นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ มองหาธุรกิจที่เป็น New S-curve ใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจทำให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีธุรกิจ 3 กลุ่ม ได้แก่1.กลุ่มบรรจุภัณฑ์ 2.กลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ และ 3.กลุ่มธุรกิจ Healthcare
และด้วยธุรกิจ New S-curve ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ ประเมินภาพรวมการดำเนินงานในปี 2568 มีทิศทางเติบโตดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ คาดการอัตราการเติบโตของรายได้รวมเพิ่มขึ้น 15% เป็นผลมาจากกลุ่มธุรกิจใหม่ (New S-curve) อย่างกลุ่มธุรกิจ Healthcare ประกอบด้วย 2 กลุ่มธุรกิจที่บริษัทฯ ได้มีการลงทุนในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ 1.กลุ่มงานบริการซักผ้าอุตสาหกรรมและ 2.กลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ โดยทั้ง 2 กลุ่มธุรกิจดังกล่าว เริ่มสร้างรายได้ให้บริษัทฯ ผลักดันผลการดำเนินงานในปี 2568 เติบโตแบบก้าวกระโดด และคาดว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2569 ดังนั้นในอนาคตสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจใหม่จะเติบโตย่างมีนัยยะสำคัญ ประกอบกับกลุ่มธุรกิจดังกล่าวเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูง ซึ่งจะผลักดันให้ภาพรวมของอัตรากำไรของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้น
จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ในปี 2568 PJW จะมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจ Healthcare อยู่ที่ระดับ 25% และในปี 2569จะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของรายได้รวม เนื่องจาก บริษัทฯ จะมีรายได้จากการจำหน่วยวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ อย่าง ถุงน้ำยาล้างไตผ่านหน้าท้อง ซึ่งคาดว่าสร้างยอดขายประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี
สำหรับกลุ่มงานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าหลักมาจากโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, โรงพยาบาลพระราม 9, โรงพยาบาลบีเอ็นเอช (BNH) และโรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น ทำให้ปัจจุบัน บริษัทฯ มี Backlog ในมือแล้ว 360 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2567 ต่อเนื่องถึงปี 2568 ส่งผลให้บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ในกลุ่มธุรกิจดังกล่าวในปี 2568 ที่ระดับ 600 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ ในปี 2572 จะเห็นสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจ Healthcare เพิ่มเป็น 50% ของพอร์ต จากการจำหน่ายวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์เพิ่มขึ้น 3 ผลิตภัณฑ์ 1).เครื่องให้ความชื้นหัวเตียง (Oxygen Humidifier) โดย บริษัทฯ จะเป็นผู้ผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า และมีคุณสมบัติที่จะส่งออกไปในภูมิภาคอาเซียน โดยในปี 2568 บริษัทฯ มีการทำตลาดในประเทศไทย และคาดว่าจะทยอยส่งออก เพื่อเจาะตลาดต่างประเทศในปี 2569 2).สายยางสำหรับผู้ป่วยฟอกไต คาดว่าจะทำตลาดในปี 2568 และ 3).ถุงน้ำยาล้างไตผ่านหน้าท้อง คาดปี 2569 จะสามารถจำหน่ายได้
"ในปี 2567 บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้จากกลุ่มงานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม ประมาณ 360 ล้านบาท และในปี 2568 รายได้จะเพิ่มขึ้นเกือบ 600 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้จากกลุ่ม Healthcare แตะระดับ 700-800 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนรายได้ 60-70% มาจากกลุ่มงานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม ขณะที่รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ อยู่ที่ 30-40% โดยจะมีอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่ม Healthcare อยู่ในระดับที่สูงกว่ากลุ่มธุรกิจเดิม (กลุ่มบรรจุภัณฑ์ และกลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์) หรืออยู่ที่ระดับ 22-25% (จากอัตรากำไรขั้นต้นรวมของบริษัทฯอยู่ที่ระดับ 18-20%)"
ในปี 2568 PJW มีแผนปรับ Portfolio โดยพอร์ตของธุรกิจใหม่จาก New S-curve จะมีสัดส่วนรายได้เข้ามาเป็น 25% ขณะเดียวกันอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ จะเติบโต จากเดิมที่เคยทำได้ระดับ 18-20% เพิ่มเป็น 20-23% ขณะที่รายได้ของบริษัทฯ จะมีความมั่นคงมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มธุรกิจ Healthcare จะเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้แบบคงที่ นอกจากนี้ ในปี 2569 บริษัทฯ เตรียมนำสินค้ากลุ่ม Healthcare เจาะตลาดต่างประเทศ
สำหรับกลุ่มบรรจุภัณฑ์ เป็นธุรกิจ Cash cow (กลุ่มที่ยังทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ) มีการเติบโตต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2567 มีการชะลอตัว แต่ในปี 2568 ยอดขายจากกลุ่มยานยนต์ของ PJW จะกลับมาดีขึ้น โดยเฉพาะในปี 2569 จะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจาก backlog ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยล่าสุดบริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำแม่พิมพ์เพิ่ม
PLUS ตั้งธงรายได้ปี 68 ยอดขายโตเท่าตัว เพิ่มกำลังผลิตเต็มสูบ หลังดีมานด์น้ำมะพร้าวพุ่ง
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์----"บมจ.โรแยล พลัส" หรือ PLUS ตั้งธงรายได้ปี 2568 ยอดขายโตเท่าตัว เผยน้ำมะพร้าวในตลาดสหรัฐอเมริกาขายดี ตามด้วยตลาดจีนความต้องการเครื่องดื่มน้ำมะพร้าวสูงขึ้นต่อเนื่อง "พลแสง แซ่เบ๊" แม่ทัพใหญ่ เผยต้นปีหน้าเดินเครื่องผลิตเต็มกำลัง 350 ล้านขวดต่อปี รับออเดอร์ลูกค้ารายใหญ่ พร้อมเดินหน้าเต็มกำลังการผลิต พร้อมเน้นเครื่องดื่มขวด PET ที่เข้าถึงช่องทางการขายต่างๆ ได้มากขึ้นในทุกภูมิสภาพพื้นที่ทั่วโลก
นายพลแสง แซ่เบ๊ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท โรแยล พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ PLUS ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำมะพร้าวและน้ำผลไม้เติมเนื้อส่งออกทั่วโลก เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทในปี 2568 มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี คาดว่ายอดขายจะขยายตัวเพิ่มอีก 1 เท่าตัว จากปี 2567 จากความนิยมสินค้าน้ำมะพร้าวที่ขยายตัวทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกา ที่มีสัดส่วนรายได้หลักราว 40% ของบริษัท ขณะที่ตลาดประเทศจีนที่มีประชากรสูงปัจจุบันสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 20% มีความต้องการเครื่องดื่มน้ำมะพร้าวสูงขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน
โดยล่าสุดบริษัทได้วางจำหน่ายสินค้าแบรนด์ Coco Royal ในร้าน Lawson และร้าน 7-Eleven ที่ประเทศจีนไปแล้วรวมราว 5 พันสาขาคิดเป็น 50% ของสาขาทั้งหมด และอยู่ระหว่างการเจรจานำเข้าไปจำหน่ายในร้าน Family Mart เพิ่มเติม นอกจากนี้สินค้าของ PLUS ขายในภูมิภาคตะวันออกกลาง 12% และยุโรปราว 6% ด้วย
"ปี 2568 การขยายตลาดในประเทศจีนสดใส คาดยอดขายจะโต 1 เท่าตัว โดยจีนนำเข้าน้ำมะพร้าวจากนอกประเทศและมีมุมมองให้คุณค่าน้ำมะพร้าวจากไทยเป็นของมีคุณภาพระดับสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ประกอบกับภาพลักษณ์ที่ดีจึงทำให้ลูกค้าจีนในวงกว้างเชื่อถือนิยมสินค้าที่ผลิตจากประเทศไทย ส่วนตลาดสหรัฐอเมริกา PLUS มีวางขายช่องทางเพิ่มเติมห้าง Walmart, 7-Eleven, Sysco Food Service, Save a lot และที่ประเทศเม็กซิโกใน Walmart กับ Sam's Club โดยเครื่องดื่มน้ำมะพร้าว 100% ภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ "Coco Royal" ได้รับกระแสตอบรับดีเกินคาดโดยเฉพาะในประเทศจีน มีคำสั่งซื้อเข้ามาต่อเนื่อง และน้ำผลไม้ผสมวุ้นมะพร้าว ภายใต้แบรนด์ "MABU COCO" ซึ่งปัจจุบัน สินค้าใหม่ทั้ง 2 ตัว ส่งออกไปแล้ว 26 ประเทศโดยใช้ระยะเวลาไม่ถึงปี" นายพลแสง กล่าว
โดยในปี 2568 นับแต่ต้นปีบริษัทจะเดินกำลังผลิตเครื่องจักรเต็มอัตรารองรับกำลังซื้อจากจีนที่มีเข้ามาล่วงหน้าจำนวนมาก แต่จะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่เพิ่มเติมจากปีนี้ ยกเว้นในส่วนของการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเครื่องดื่มบรรจุขวดแก้วที่จะลดอัตราการใช้กำลังคน โดยขณะนี้กำลังการผลิตของบริษัทอยู่ที่ 350 ล้านขวด ซึ่งจะรองรับการเติบโตได้ระยะ 3 ปี จากเดิมเคยอยู่ที่ 250 ล้านขวดต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทได้เพิ่มการผลิตสินค้าเครื่องดื่มผ่านการบรรจุขวด PET จากเดิมที่สินค้าเครื่องดื่มบริษัทจะบรรจุด้วยขวดแก้ว ทั้งนี้ ขวด PET มีจุดเด่นเรื่องน้ำหนักขนส่งที่เบากว่า สะดวกกว่า จึงเข้าถึงช่องทางขายต่างๆ ได้มากขึ้นในทุกภูมิสภาพพื้นที่ทั่วโลก
"บริษัทฯ ยังคงเดินหน้ารุกตลาดและหาพันธมิตรลูกค้าใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดรับออเดอร์จากลูกค้ารายใหญ่เรียบร้อยแล้ว ด้วยคำสั่งซื้อสูงถึง 8 ล้านขวดต่อเดือน พร้อมเดินหน้าลุยเต็มกำลังการผลิตซึ่งจะช่วยผลักดันยอดขายในปี 2568 ให้เติบโตอย่างมีนัยยะ" นายพลแสง กล่าว
PRM เปิดแผนปี 68 ลั่นผลงานโตต่อเนื่อง ปิดดีลคว้าลูกค้าใหม่ “บริษัทน้ำมันแห่งชาติอาบูดาบี” รับรู้รายได้ทันทีต้นปี 68
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์------------PRM ลั่นปี 67 ผลงานเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมเปิดแผนปี 68 ปัจจัยสนันสนุนจำนวนเรือเพิ่มขึ้น แถมเรือ Crew Boat ฮอต! เซ็นสัญญากับลูกค้ารายใหม่ บริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดใน UAE จำนวน 2 ลำ เร่งลุยต่อ Crew Boat ใหม่เพิ่มอีก 2 ลำ ให้บริการ PTTEP พร้อมทุ่มงบซื้อเรือ FSU เก็บดีมานด์ตลาดปี 68 ทุกเซ็กเมนต์ คาดผลงานเติบโตโดดเด่น
นางสาวสุธาสินี หมื่นละม้าย รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายพาณิชย์และการลงทุน บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM เปิดเผยถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2567 คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งตามแผนที่วางไว้ และถือเป็นปีที่ดีของบริษัท เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้ของกองเรือใหม่ที่เข้ามาตั้งแต่ต้นปี 67 พร้อมกับการฟื้นตัวของธุรกิจ FSU
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2568 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากจำนวนเรือให้บริการที่เพิ่มขึ้น โดยล่าสุดบริษัทได้เซ็นสัญญากับลูกค้ารายใหม่ บริษัทน้ำมันแห่งชาติอาบูดาบี หรือ ADNOC ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดใน UAE เพื่อให้บริการเรือ Hybrid Crew Boat จำนวน 2 ลำ ภายใต้สัญญาระยะยาว โดยเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นการเปิดตลาด และขยายการให้บริการไปยังลูกค้ากลุ่มใหม่ ที่มีศักยภาพและมีขนาดใหญ่ เพื่อต่อยอดการเติบโตในอนาคต
อีกทั้ง ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเข้างานของเรือ Aframax ที่นำไปดัดแปลงเป็นเรือสนับสนุนการผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (Floating Storage and Offloading Vessel หรือ FSO) โดยจะเริ่มให้บริการบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ตั้งแต่กลางเดือนมกราคม 2568 เป็นต้นไป ภายใต้สัญญาระยะยาว ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้ที่แน่นอน นอกจากนี้ยังมีการต่อเรือใหม่ เป็นเรือ Crew boat อีก 2 ลำ คาดว่าจะรับรู้รายได้ในเดือนกุมภาพันธ์ และมิถุนายน 2568 เพื่อให้บริการกับ PTTEP ภายใต้สัญญาระยะยาวเช่นกัน
ขณะเดียวกัน บริษัทได้ลงทุนซื้อเรือกักเก็บและผสมน้ำมันกลางทะเล (Floating Storage Unit หรือ FSU) ลำใหม่เพิ่มเติม ขนาด 306,352 DWT ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการปรับปรุงเรือก่อนเข้าให้บริการ โดยจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 1 ปี 2568 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ในปี 2568 จะยังสามารถเห็นรายได้ของธุรกิจตัวแทนสายเดินเรือและออกของได้ชัดเจนขึ้น จากการรับรู้รายได้จาก บจก. วี.ซี.ชิปปิ้ง แอนด์ เซอร์วิส แบบเต็มปี หลังการเข้าซื้อกิจการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยบริษัทดังกล่าว เป็นบริษัทชั้นนำในด้านธุรกิจ Shipping ของสินค้าในกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมี จึงเป็นโอกาสสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงให้กับธุรกิจในอนาคต
“ภาพรวมแนวโน้มการดำเนินงานในปี 2567 มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากจำนวนเรือ FSU ที่เพิ่มขึ้น และเรือ FSO กลับเข้ามาให้บริการ รวมทั้งกลุ่มเรือ Crew boat ที่เพิ่มขึ้นอีก 4 ลำ ทั้งหมดล้วนผลักดันให้ผลประกอบการปี 2568 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และมั่นคงในระยะยาว” นางสาวสุธาสินี กล่าว
///จบ///