"Domestic Plays"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1405/1410 จุด รับ 1390/1386 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐเปิดซึมก่อนกลับมาปิดทรงๆได้ ดัชนี S&P500 -0.04% หนุนจากรายงานเศรษฐกิจยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ใกล้เคียงตลาด ทรงๆบริเวณ 2.2 แสนตำแหน่ง +/- (vs กรณีเศรษฐกิจถดถอย 4.0 แสนตำแหน่ง) อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องที่ระดับ 1.91 ล้านตำแหน่ง สูงสุดตั้งแต่ 13 พ.ย. 21 อาจเป็นสัญญาณเศรษฐกิจ Soft Landing US Bond Yield 10 ปี สลับชะลอแกว่งลงเล็กๆ -1 bps มาปิดที่ 4.58% Dollar Index อ่อนค่า 108 +/- จุด เงินบาทแข็งค่า 34.14 +/- บาท คาดช่วยให้ภาพสลับซื้อหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติยังคาดหวังได้ ผสาน เม็ดเงินลงทุนภายในระยะยาวปลายปี ประเมิน SET แกว่งขึ้นได้ หุ้นนำ คือ หุ้นที่เป็นเป้าหมายเม็ดเงินลงทุนระยะยาวในประเทศที่มีประเด็นบวกแวดล้อม เช่น กลุ่ม Domestic อาทิ ค้าปลีก ท่องเที่ยว ธนาคาร สื่อสาร ไฟฟ้า ได้ประโยชน์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ, ท่องเที่ยวคึกคัก, เงินบาทแข็ง และรัฐฯเริ่มผลักดันแผนไทยเป็น Financial Hub ผ่านการเปิดรับฟังความเห็นร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ศูนย์กลางทางการเงิน ระหว่าง 25 ธ.ค. 24 ไปจนถึง 9 ม.ค. 25 วันนี้แนะนำ ADVANC, GULF, SCB
Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1405/1410 จุด รับ 1390/1386 จุด
What happened around the world?
(*)US Stock : ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัว อิงดัชนี Dow jones +0.07% ดัชนี S&P500 -0.04% และดัชนี Nasdaq -0.05% โดย Sector ทุกกลุ่มปรับขึ้นในทางเดียวกัน โดยกลุ่มที่เคลื่อนไหวเด่น คือกลุ่ม Financial , Health care, Real estate, IT ฯลฯ ส่วน Sector ที่ปรับลงและกดดัชนี คือ Consumer discretionary, ICT ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ Broadcom +2.3% Microstrategy -4.7% ลงตามราคาเหรียญ Crypto โดยเฉพาะ Bitcoin -3.7% ลงมาบริเวณ 9.5 หมื่น$
(*) US Retail sales : ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ (Retail Sales) + 3.8%y-y ในช่วงเทศกาลวันหยุด อิงข้อมูลจาก Mastercard Inc SpendingPulse เผนยข้อมูลคือความต้องการของผู้บริโภคจากยอดขายในร้านค้าและออนไลน์ในการชําระเงินทุกประเภท บ่งชี้ความแข็งแกร่ง คือยอดขายออนไลน์เพิ่มขึ้น 6.7%y-y แซงการซื้อผ่านร้านค้า + 2.9% โดยสินค้าเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์โดดเด่น โดยรวมยังสะท้อนภาคการบริโภคสหรัฐแข็งแกร่ง เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐ
(*) US Econ : ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาในโทนย้ำภาพเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง อิง 1.) ยอดขอรับสวัสดิการว่างงาน (Initial Jobless Claims) -1 พันรายจากสัปดาห์ก่อน ที่ 2.19 แสนราย ต่ำกว่าตลาดคาดเล็กน้อย (MUFG ทำการศึกษา initial jobless claims ที่เพิ่มขึ้นเกิน 5 หมื่นราย มักเป็นสัญญาณของเศรษกิจถดถอย และจากการศึกษาความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง)
(*) To monitor : ฝั่งญี่ปุ่น 27 ธ.ค. ติดตามอัตราการว่างงาน พ.ย. คาด 2.5% เท่าเดือนก่อน, ดัชนีค้าปลีก พ.ย. คาด +1.7%y-y vs prev. +1.6%y-y ฝั่งจีน27 ธ.ค. ติดตามการรายงานกำไรภาคอุตสาหกรรม พ.ย. คาด -5.0%y-y vs prev. -4.3%y-y
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐแกว่งตัว อิง อายุ 2 ปี ปรับลง 1 bps อยู่ที่ 4.33% และอายุ 10 ปีปรับลง -1 bps อยู่ที่ 4.58%ทำจุดสูงสุดในรอบราว 5 เดือน (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ส่วน Dollar Index แกว่งตัวอ่อนค่าลงมาบริเวณ 107.8 จุด
(*/-)Oil : ราคาน้ำมันดิบแกว่งตัวลงต่ออิง น้ำมันดิบ Brent -0.45%d-d ปิดที่ USD 73.25/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.68%d-d ปิดที่ USD 69.62/barrel แม้จะมีสถาการณ์ความตึงเครียดรัสเซีย - ยูเครนในช่วงกลางสัปดาห์ และ Dollar index เริ่มอ่อนค่า โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มที่มีต้นทุนจากราคาน้ำมันดิบ อาทิ กลุ่มสายการบิน อาทิ AAV กลุ่ม Anticomodity
(-) Natural Gas : ก๊าซธรรมชาติ NYMEX -5.85%d-d ปิดที่ USD3.715/MMBtu ประเมินเป็นจิตวิทยาระยะสั้นต่อบริษัทที่มีรายได้จากก๊าซธรรมชาติ อาทิ BANPU
(*) Sugar Price : ราคาน้ำตาล -1.43%d-d, -9%mtd ปิดที่ 19.26Cent/lb เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นในกลุ่มที่มีต้นทุนเจากน้ำตาล อาทิ กลุ่มเครื่องดื่ม อาทิ CBG SAPPE MALEE เน้น MALEE
What happened in Thailand?
(*) SET : SET Index วันทำการล่าสุดแกว่งตัวก่อนปิดปรับตัวลดลง -3.05 จุด หรือ -0.27% ปิดที่ 1397.8 จุด กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มพลังงาน (GULF, GPSC) ปัจจัยกดดัน บอร์ด กพช." มีมติชะลอรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เฟส 2 ตามแผนการเพิ่มการผลิตสำหรับปี 2565-2573 ปริมาณรวม 3,668.5 เมกะวัตต์ เพื่อรอตรวจสอบความถูกต้อง กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPAXT) ซึมลงตั้งแต่ AIMC มีข้อสรุปให้นักลงทุนสถาบันพิจารณาลงทุนระมัดระวัง กลุ่มหนุน คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA, CCET) จิตวิทยาหุ้นเทคฯสหรัฐฯ เด่นกว่าภาพรวม หนุนฟื้นตัวหลังถูกขายทำกำไรช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE, INTUCH) ประเมินหุ้นอยู่ในเป้าหมายเม็ดเงินลงทุนระยะยาวในประเทศที่เร่งขึ้นในช่วงปลายปี
(*/+) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลเข้า ซื้อหุ้น +12.7 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -43.5 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Short -3,033 สัญญา เงินบาทแข็งค่าทรงตัว 34.14+/- บาท
(+) Santa's Rally: เข้าสู่ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2024 เราประเมินองค์ประกอบหลายด้านสนับสนุนมีโอกาสเกิด Santa's Rally ดังเช่น 5 ปีย้อนหลังมักเกิด Santa' Rally ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี โดยมีความเป็นไปได้ที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวก 100% และให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +1.5%นำโดย 1.) ตลาดหุ้นปรับฐานลงมาต่อเนื่อง จนล่าสุดอยู่ในโซนลงทุนระยะกลาง-ยาว คือ มี Current Equity Risk Premium 3.92% ขณะที่มี Forward Equity Premium ที่ 4.64% vs ระดับค่าเฉลี่ย AVG + 1 S.D. ที่ 4.05% ซึ่งมักเป็นจุดกลับตัวของตลาดกรณีไม่มีภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ 2.) คาดเม็ดเงินลงทุนระยะยาวในประเทศ กองทุน ThaiESG น่าจะเร่งขึ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี ทั้งนี้ ล่าสุดเริ่มเห็นนักลงทุนสถาบันกลับมาซื้อหุ้น 4 วันต่อเนื่อง ขณะที่อิงสถิติช่วง 5 ปีย้อนหลัง เราพบว่า ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี (23-30 ธ.ค.) นักลงทุนสถาบันมักเป็นกลุ่มที่เร่งซื้อ (ยกเว้นปี 2021 ที่มีประเด็น COVID สายพันธุ์โอมิครอนที่ซื้อสลับขาย) 3.) เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว คาด GDP งวด 4Q24 ขึ้นทำจุดสูงสุดของปี 2024 +4.0% หนุนทั้งปีเติบโต 2.7% และเติบโตต่อเนื่องอีก 2.9% ในปี 2025F
(*/+) Retail & Infra Tech: Google Cloud เปิดเผยว่า ในปี 25F วงการค้าปลีกจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยจะนำเอไอที่สามารถสร้างเนื้อหาและโต้ตอบกับลูกค้าได้ (Generative AI) มาใช้ในทุกส่วนของธุรกิจอย่างจริงจัง ซึ่งพัฒนาต่อจากปี 24 ที่หลายร้านค้าเพิ่งเริ่มทดลองใช้ เราประเมินสัญญาณดังกล่าวเป็นภาพบวกระยะกลาง-ยาวต่อธุรกิจค้าปลีกที่เป็นธุรกิจที่มียอดขายสูง แต่ Net Margin ต่ำ โดยหากประสิทธิภาพช่วยเพิ่ม Margin ได้ จะหนุนเกิด S Curve การเติบโตครั้งใหม่ ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นค้าปลีกในตลาดส่วนใหญ่ที่มีความพร้อมลงทุนอยู่แล้ว โดยเฉพาะกลุ่มที่มีธุรกิจในเครือเชื่อมโยงเทคโนโลยี อาทิ CPALL, CPAXT นอกจากนี้ ประเมินเป็นโอกาสกลุ่ม Digital Tech อาทิ BE8, BBIK และกลุ่มสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลสำหรับสถาบันการเงิน อาทิ GULF, INSET, ADVANC, TRUE
(*/+) Financial Hub: กระทรวงการคลังเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. .... (ร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางทางการเงิน) ตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค. 24 ไปจนถึง 9 ม.ค. 25 ทั้งนี้ ถือเป็นการสนับสนุนแผนการผลักดันไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Financial Hub คาดสร้างประโยชน์ การเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินและด้านอื่น ๆ ที่จะก่อให้เกิดการลงทุนและ การจ้างงาน และผลักดันให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ อาทิ KBANK, SCB, BBL, KTB และกลุ่มสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลสำหรับสถาบันการเงิน อาทิ GULF, INSET, ADVANC, TRUE
(*) TFEX Rollover: วันนี้เป็นวันเทรดวันสุดท้ายของสัญญา TFEX Series Z24 และตลาดจะเปลี่ยนไปเทรดใน Series H25 โดยสำหรับ Equity Index หรือ S50Z24 เราคาดว่าวันนี้ความผันผวนช่วง Rollover จะค่อนข้างต่ำ เนื่องจากเห็นสัญญาการ Rollover ไปแล้วบางส่วน และวอลุ่มตลาดที่ค่อนข้างเบาบางตลอดสัปดาห์ ทั้งนี้ สถานะล่าสุดของนักลงทุนแต่ละกลุ่มในช่วง 30 ก.ย. – 26 ธ.ค. เป็นดังนี้
นักลงทุนต่างชาติ -67,751 สัญญา
นักลงทุนสถาบัน -14,826 สัญญา
นักลงทุนทั่วไปในประเทศ +82,577 สัญญา
และ S50Z24 มีสถานะคงค้าง OI ณ สิ้นวันที่ 26 ธ.ค. อยู่ที่ 157,895 สัญญา (vs การ Rollover รอบปกติจะสูงเกินกว่า 2.0 แสนสัญญา)
(*) To Monitor: สัปดาห์หน้าปัจจัยภายใน ติดตาม
1.) การ Rebalance ดัชนี SET50/100 มีผลราคาปิด 30 ธ.ค. ทั้งนี้
• หุ้นที่เข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU SAWAD COM7 และ CCET
• หุ้นที่หลุดออกจาก SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ CENTEL BCP TIDLOR และ EA
• หุ้นที่เข้า SET100 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ JTS, CCET, PR9, COCOCO
• หุ้นที่หลุดออก SET100 รอบนี้ 4 บริษัท คือ MBK, RBF, TIPH, TOA
2.) 2 ม.ค. PMI ภาคผลิต ธ.ค. 24 ไม่มีคาด vs prev. 50.2 จุด
3.) การไถ่ถอนกองทุน LTF ครบกำหนด ทั้งนี้ เราประเมิน LTF ในปี 2019 ที่จะเริ่มขายได้ในปี 2025 เราประเมินยอดซื้อในปีนั้นราวๆ 6.8 หมื่นล้านบาท ซื้อทุนเฉลี่ยที่ดัชนี SET Index ระดับ 1642 จุด (คิดจากราคา Mid price และยอดซื้อ LTF ในแต่ละเดือน) ดังนั้น
1.) หากประเมินจากระดับดัชนีปัจจุบัน เราคาดว่าแรงขายจะมีน้อยในช่วงเดือนม.ค. เนื่องจากนักลงทุนที่ลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีผลขาดทุนอยู่ และมีโอกาสที่นักลงทุนจะรอไปขายในช่วงปลายปีมากกว่า (รอให้ขาดทุนน้อยลง + รอขายออกมาเพื่อสลับไปซื้อกอง TESG วนลดหย่อนภาษี)
2.) ส่วนหากประเมินจากค่าเฉลี่ยย้อนหลังพบว่าแรงขาย LTF ส่วนใหญ่จะขายหนักในเดือนม.ค. และค่อยๆ ขายในเดือนที่เหลือ โดยค่าเฉลี่ย 3 ปี ของปี 2017-2019 แรงขาย LTF ในเดือนม.ค. ที่ประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท และทั้งปีเฉลี่ย 4.7 หมื่นล้านบาท
Daily Strategy : ADVANC, GULF, SCB เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Sideways/Up" ประเมินตลาดหุ้นวันนี้กลับมาแกว่งขึ้นได้ เศรษฐกิจสหรัฐฯมีสัญญาณ Soft Landing US Bond Yield 10 ปี สลับชะลอแกว่งลงเล็กๆ -1 bps มาปิดที่ 4.58% Dollar Index อ่อนค่า 108 +/- จุด เงินบาทแข็งค่า 34.14 +/- บาท คาดช่วยให้ภาพสลับซื้อหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติยังคาดหวังได้ ผสาน เม็ดเงินลงทุนภายในระยะยาวปลายปี อิง ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี ในช่วง 5 ปีล่าสุด ซื้อ 20 จาก 29 วัน ทำให้มองหุ้นนำ หุ้นที่เป็นเป้าหมายเม็ดเงินลงทุนระยะยาวในประเทศที่มีประเด็นบวกแวดล้อม เช่น กลุ่ม Domestic อาทิ ค้าปลีก ท่องเที่ยว ธนาคาร สื่อสาร ไฟฟ้า ได้ประโยชน์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ, ท่องเที่ยวคึกคัก, เงินบาทแข็ง และรัฐฯเริ่มผลักดันแผนไทยเป็น Financial Hub ผ่านการเปิดรับฟังความเห็นร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ศูนย์กลางทางการเงิน ระหว่าง 25 ธ.ค. 24 ไปจนถึง 9 ม.ค. 2
หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT
กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
• DEC24 Best Picks : ADVANC, BJC, BTS, GULF, AOT, IVL, MALEE
• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
KSS Strategist Comment: SET UPDATE ตลาดหุ้นเริ่มฟื้นตัวจากแนวรับทางเทคนิคบริเวณ 1360-65 จุด สอดคล้องมุมมองเราประเมินความผันผวนอยู่ในช่วงปลายแล้ว อิงระดับ Current Equity Risk Premium ใกล้ AVG + 1S.D. เชิงกลยุทธ์ แนะนำให้เริ่มทยอยสะสมรอการฟื้นตัวรอบใหม่ ส่วนระยะสั้นหากเน้นเก็งกำไรเราประเมินสัปดาห์หน้า SET มีโอกาสฟื้นตัว จากแรงหนุน
1.) ครม. เตรียมพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Easy E-Receipt และ Digital Wallet เฟส 2 ลุ้นเปิด Upside ของ GDP ปี 2025F
2.) อิงสถิติ 5 ปีย้อนหลัง มักเกิด Santa' Rally ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี โดยมีความเป็นไปได้ที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวก 100% และให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +1.5% โดยรอบนี้เรามองมีโอกาสเกิดเช่นกัน จากตลาดที่อยู่ในโซนลงทุน และคาดเม็ดเงินลงทุนภายในลดหย่อนภาษีระยะกลาง-ยาวจะเร่งขึ้นส่งท้ายปี
3.) Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.0% +/- ใกล้ AVG + 1S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวในภาวะปกติ สอดคล้องสัญญาณ Fund Inflows เริ่มกลับมาเป็นบวก วานนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทย ขณะที่วันนี้ซื้อพันธบัตรต่ออีก 1.89 พันล้านบาท
Strategy: เราคงมุมมองตลาดหุ้นปัจจุบันประเมินความผันผวนช่วงปลายแล้ว และปัจจุบันอยู่ใน Value Zone (1345-1370 จุด) เชิงกลยุทธ์แนะนำเริ่มทยอยสะสมหุ้นเพื่อลงทุนระยะกลาง-ยาว ส่วนการลงทุนระยะสั้น เราประเมิน SET มีโอกาสฟื้นตัวจากปัจจัยบวกที่รอในสัปดาห์หน้า โดยเน้นหุ้นในธีม Domestic
o กลุ่มธนาคาร KBANK, KTB,
o กลุ่ม ICT ADVANC, TRUE
o กลุ่มขนส่ง BTS,
o กลุ่มค้าปลีก BJC, CPALL, HMPRO, CRC
o กลุ่มท่องเที่ยว AWC
o กลุ่มปิโตรเคมี IVL
• SET50/100 Rebalance Update: ตลาดประกาศผลการ Rebalance ดัชนี SET50/100 รอบ 1H25 คาดการ Rebalance มีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025
• หุ้นที่เข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU SAWAD COM7 และ CCET
• หุ้นที่หลุดออกจาก SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ CENTEL BCP TIDLOR และ EA
• หุ้นที่เข้า SET100 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ JTS, CCET, PR9, COCOCO
• หุ้นที่หลุดออก SET100 รอบนี้ 4 บริษัท คือ MBK, RBF, TIPH, TOA
กลยุทธ์ แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET50-SET100 เนื่องจากมีความเสี่ยงในการลดน้ำหนักจาก Index Fund ขณะที่แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้เราแนะนำ SAWAD และ BANPU เด่น
• Strategy Update : กองทุนลดหย่อนภาษีเด่นปลายปี 2024 ที่ไม่ควรพลาด
ทีมกลยุทธ์ชวนวางแผนลดหย่อนภาษีช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี SSF, RMF และ TESG โดยอิงจากน้ำหนักการลงทุน KSS Rating ที่ทีมกลยุทธ์ให้ไว้ในบทวิเคราะห์ Cross Asset Strategy ตามตาราง Exhibit 1 เราเลือกการลงทุนสินทรัพย์ประเภท Fixed Income (ทั่วโลก), Equities (ไทย จีน เอเชีย) เป็น Top pick สำหรับการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีในปี 2024 นี้ และกองทุน Top pick ได้แก่ UGIS-SSF/UGISRMF, KFACHINSSF/KFACHINRMF, K-TNZ-ThaiESG, KFTHAIESGA
สำหรับผู้ที่มีเงินได้ในปี 2024 และต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และต้องการลงทุนระยะยาว สามารถเลือกลงทุนได้ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษีในทุกประเภท ทั้ง SSF, RMF และ TESG โดยกองทุน RMF และ SSF สามารถลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ โดยกองทุนทั้ง 2 ประเภท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ แล้วต้องไม่เกิน 5 แสนบาท ส่วนกองทุน TESG สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ และสูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท รายละเอียดเพิ่มเติมแสดงไว้ใน Exhibit 2
สำหรับผู้มีเงินได้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และใส่ใจในระยะเวลาถือครอง แนะนำสำรวจช่วงอายุของนักลงทุน โดยสำหรับนักลงทุนที่อายุต่ำกว่า 51 ปี กองทุน TESG
กลยุทธ์ Tax Allowance Fund Strategy:
กองทุน SSF และ RMF (ลดหย่อนได้ประเภทละ 30% แต่ SSF ไม่เกิน 200,000 บาท และรวมกันกับ RMF และกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ) แนะนำ UGIS-SSF/UGISRMF (GlobalBond), KFACHINSSF/KFACHINRMF (China)
กองทุน TESG (ลดหย่อนได้ 30% หรือสูงสุด 300,000 บาท) แนะนำ KFTHAIESGA และ K-TNZ-ThaiESG
• AIMIRT (Buy, TP-11.8): AIMIRT is an independent REIT in Thailand that managed by AIM REIT who has a freedom in selecting assets to investment. It currently invests in 204 freehold and leasehold (68:32) assets which well diversified in term of assets type, locations, revenue mix and tenant profile. We estimate stable DPU of Bt0.86 each for FY24F-FY26F, attractive yield of 8.3%, premised on new asset acquisition in June 2024, improved occupancy rate and rent hike (25bps p.a.). We value it at Bt11.80/unit offering good return of 22% and IRR of 9.2%. We initiate coverage with a BUY rating.
• Aviation (Bullish): เรามอง Positive ต่อกลุ่มการบิน ปริมาณผู้โดยสารช่วง High season มีแนวโน้มฟื้นแกร่งต่อเนื่องตามคาด โดย AOT คาดปริมาณผู้โดยสารวันที่ 27 ธ.ค. จะทำสถิติสูงสุดในรอบปี 2024F เรายังเลือก AAV (Buy, TP 3.9 บาท) เป็นหุ้น Top pick กลุ่มฯ จากการได้ประโยชน์จาก High season ใน 4Q24F มากที่สุดในกลุ่มฯ
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI