"Domestic Plays"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1405/1410 จุด รับ 1387/1380 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับขึ้นต่อในวัน Christmas eve (เปิดครึ่งวัน ก่อนปิดวันนี้) ดัชนี S&P500 +1.1% อยู่ในภาวะ Santa's Rally หุ้นเทคโนโลยีนำตลาดต่อ US Bond Yield 10 ปี แม้ขึ้นแตะ 4.62% แต่พักตัวลงปิด 4.59% ชะลอการแข็งค่า US Dollar Index แกว่ง 108 +/- จุด เป็นจิตวิทยาทางบวกต่อตลาดหุ้น Emerging (EM) ขณะที่เอเชียน่าจะเด่นขึ้น หลังจีนเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนการบริโภค 3 ล้านล้านหยวน (2.4% ของ GDP) คาดส่งผลให้ตลาดคาดหวังทางบวกต่อโอกาสฟื้นตัวเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันบวกเฉลี่ย +1.28% เช่นเดียวกับไทย ครม. วานนี้ที่อนุมัติโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 7 หมื่นล้านบาท (0.4% ของ GDP) เงินบาทเช้านี้เคลื่อนไหวแข็งค่า 34.16 บาท ผสาน โมเมนตัมกองทุนในประเทศเริ่มเร่งขึ้น และปีปกติมักเร่งซื้อสัปดาห์สุดท้ายของปี คาดวันนี้ SET ยังมีโมเมนตัมแกว่งขึ้นต่อ หุ้นนำ คือ หุ้น China Plays หุ้น Domestic ที่เป็นเป้าหมายกองทุนภายในระยะยาวที่ได้ประโยชน์มาตรการรัฐ+ท่องเที่ยวเด่น+เงินบาทแข็งค่า และเก็งกำไรหุ้นส่งออกที่คาดยอดส่งออก (วันนี้) ยังออกมาดีจากการเร่งนำเข้าก่อนคุณ Trump รับตำแหน่ง วันนี้แนะนำ ADVANC, AOT, OKJ
Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1405/1410 จุด รับ 1387/1380 จุด
What happened around the world?
(*/+)US Stock : ตลาดหุ้นสหรัฐเปิดทำการครึ่งวัน แต่ Nasdaq ปรับขึ้นติดต่อเป็นวันที่ 4 Santa Claus Rally)"นำ อิงดัชนี Dow jones +0.91% ดัชนี S&P500 +1.1% และดัชนี Nasdaq 1.35% โดย Sector ทุกกลุ่มปรับขึ้นในทางเดียวกัน โดยกลุ่มที่เคลื่อนไหวเด่น คือ กลุ่ม Consume Discretionary Financials ICT, ITEnergy ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ (Tesla) +7.4% Amazon + 1.7% Meta Platforms +1.5% Apple+1.1% Microsoft +0.94%
US Econ 1.) GDPNow 4Q24 +3.1%q-q
(*) China Stimulus : จีนเตรียมออกพันธบัตรรัฐบาลพิเศษมูลค่า 3 ล้านล้านหยวนในปี 2568 ซึ่งถือเป็นมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและรับมือผลกระทบจากภาษีนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐฯ การออกพันธบัตรนี้คิดเป็น 2.4% ของ GDP ปี 2566 ของจีน KSS มองข่าวดังกล่าวมีความเป็นไปได้สูงเนื่องจากสอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจที่ทาง Politburo และ CEWC ได้วางแนวทางไว้ในช่วงก่อนหน้า โดยเรายังคาดหวังจะเห็นแผนนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นในระยะถัดไป มองน่าสะสมหุ้น China Play นำโดย SCC IVL PTTGC
(*) Russia – Ukraine War : กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดสงครามรัสเซีย-ยูเครน แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ 1.)สถานการณ์พื้นฐาน (Base Case) คาดว่าสงครามจะสิ้นสุดภายในปลายปี 2025 และ 2.) สถานการณ์เลวร้าย(Worst Case) คาดว่าสงครามจะดำเนินต่อไปจนถึงกลางปี 2026 KSS ประเมินเป็นสัญญาณบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง แต่ในทางตรงข้ามเป้นจิตวิทยาลบต่อทองคำ และราคาพลังงาน ทั้งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ มีแนวโน้มเป็นขาลงระยะกลาง - ยาว มองบวกต่อหุ้นกลุ่ม Anti commodity อาทิ กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF กลุ่มวัดุก่อสร้าง
(*) To monitor : ฝั่งญี่ปุ่น 27 ธ.ค. ติดตามอัตราการว่างงาน พ.ย. คาด 2.5% เท่าเดือนก่อน, ดัชนีค้าปลีก พ.ย. คาด +1.7%y-y vs prev. +1.6%y-y ฝั่งจีน27 ธ.ค. ติดตามการรายงานกำไรภาคอุตสาหกรรม พ.ย. คาด -5.0%y-y vs prev. -4.3%y-y
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐแกว่งตัวขึ้น อิง อายุ 2 ปี ปรับขึ้น 1 bps อยู่ที่ 4.34% และอายุ 10 ปีปรับขึ้น +1 bps อยู่ที่ 4.59%ทำจุดสูงสุดในรอบราว 5 เดือน (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มประกันชีวิต TLI, BLA. กลุ่มธนาคาร KBANK SCB KTB ส่วน Dollar Index แกว่งตัวบริเวณ 108.0 จุด
(*)Oil : น้ำมันดิบ Brent +1.31%d-d ปิดที่ USD 73.58/barrel น้ำมันดิบ West Texas +1.24%d-d ปิดที่ USD 70.1/barrel มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP
(*/+)Natural Gas : ก๊าซธรรมชาติ NYMEX +7.93%d-d ปิดที่ USD3.946/MMBtu เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่มีรายได้ก๊าซธรรมชาติ อาทิ BANPU
What happened in Thailand?
(+) SET : SET Index วันทำการล่าสุดปิดปรับเพิ่มขึ้น +7.76 จุด หรือ +0.54% ปิดที่ 1394.67 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPAXT) ตอบรับ ครม. อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่วานนี้ กลุ่มพลังงาน (PTT, TOP) หนุนหลักๆ จาก TOP ที่รีบาวน์ฟื้นตัวกลับขึ้นมา หลังปรับฐานแรงตั้งแต่ประกาศใส่เงินเพิ่มเติมเพื่อเดินหน้าโครงการ CFP กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA, CCET) ประเมินถูกขายทำกำไรเปลี่ยนกลุ่มเล่น หลังปรับขึ้นมามาก และ กลุ่มสื่อสาร (TRUE)
(*/+) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ขายหุ้น -34.9 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร 19.5 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long 2,746 สัญญา เงินบาทแข็งค่าสู่ 34.16+/- บาท
(+) Santa's Rally: เข้าสู่ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2024 เราประเมินองค์ประกอบหลายด้านสนับสนุนมีโอกาสเกิด Santa's Rally ดังเช่น 5 ปีย้อนหลังมักเกิด Santa' Rally ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี โดยมีความเป็นไปได้ที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวก 100% และให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +1.5%นำโดย 1.) ตลาดหุ้นปรับฐานลงมาต่อเนื่อง จนล่าสุดอยู่ในโซนลงทุนระยะกลาง-ยาว คือ มี Current Equity Risk Premium 3.94% ขณะที่มี Forward Equity Premium ที่ 4.66% vs ระดับค่าเฉลี่ย AVG + 1 S.D. ที่ 4.05% ซึ่งมักเป็นจุดกลับตัวของตลาดกรณีไม่มีภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ 2.) คาดเม็ดเงินลงทุนระยะยาวในประเทศ กองทุน ThaiESG น่าจะเร่งขึ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี ทั้งนี้ ล่าสุดเริ่มเห็นนักลงทุนสถาบันกลับมาซื้อหุ้น 3 วันต่อเนื่อง และเร่งขึ้นทุกวันทำการ ขณะที่อิงสถิติช่วง 5 ปีย้อนหลัง เราพบว่า ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี (23-30 ธ.ค.) นักลงทุนสถาบันมักเป็นกลุ่มที่เร่งซื้อ (ยกเว้นปี 2021 ที่มีประเด็น COVID สายพันธุ์โอมิครอนที่ซื้อสลับขาย) 3.) เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว คาด GDP งวด 4Q24 ขึ้นทำจุดสูงสุดของปี 2024 +4.0% หนุนทั้งปีเติบโต 2.7% และเติบโตต่อเนื่องอีก 2.9% ในปี 2025F
(+) Cabinet: ประเด็นสำคัญจากที่ประชุม ครม. นัดสุดท้ายของปีวานนี้ ได้แก่
1.) อนุมัติโครงการ Easy e-receipt ลดหย่อนภาษีสูงสุด 5 หมื่นบาท มีผล 15 ม.ค. 25 -28 ก.พ. 25 แบ่งวงเงิน 3 หมื่นสำหรับช้อปสินค้า-ท่องเที่ยว และ 2 หมื่นสำหรับสินค้าชุมชน-OTOP เราคงมุมมองเม็ดเงินกระจายทั่วถึงขึ้น ทั้งกลุ่มค้าปลีก เน้นกลุ่มที่มียอดขายต่อบิลสูง CRC, HMPRO, COM7 บัตรเครดิต KTC ท่องเที่ยว เน้น AWC, ERW และกลุ่มธนาคารที่มีฐานสินเชื่อ SME ต่อสินเชื่อรวมสูง เน้น KBANK, SCB, BBL
2.) อนุมัติโครงการ Digital Wallet เฟส 2 ให้เงินสนับสนุนผู้สูงอายุ คาดส่งผลบวกหุ้นอิงกลุ่มลูกค้าฐานราก ค้าปลีก CPALL, CPAXT, BJC กลุ่มเช่าซื้อที่การแจกรอบก่อนเห็นผลบวกชัดเจนจากการนำเงินไปคืนหนี้ เน้น SAWAD, JMT
นอกจากนี้ ในส่วนดังกล่าวเรื่องใหม่ คือ กระทรวงการคลังคาดเฟสถัดไปจะออกมาเพิ่มเติมช่วง 2Q25 เพื่อสร้างโมเมนตัม ประเมินยิ่งช่วยเปิด Upside หุ้นกลุ่มดังกล่าวมากขึ้น
3.) ขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิตเหลือ 5% จากอัตราปกติ 10% "ผับ บาร์ ไนต์คลับ" อีก 1 ปี จิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่จำหน่ายสินค้าเชื่อมโยงเครื่องดื่มในสถานที่ดังกล่าว อาทิ BJC, CBG
4.) รับทราบปรับขึ้นค่าจ้าง 400 บาทนำร่อง 4 จังหวัดเริ่ม 1 ม.ค. 25 สอดคล้องมติที่ประชุมคณะกรรมการไตรภาคี เราคาดการปรับขึ้นค่อยเป็นค่อยไปสอดคล้องกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจปัจจุบันและไม่สร้างภาระผู้ประกอบการมากเกินไป แต่แรงงานยังมีรายได้เข้ามาเพิ่ม บวกต่อกลุ่มค้าปลีกฐานราก CPALL, BJC เช่าซื้อ SAWAD, JMT และเครื่องดื่มชูกำลัง OSP, CBG
5.) อนุมัติกรอบโครงการก่อสร้างโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 5 สายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต-บางปะอิน ของกรมทางหลวง หรือ M5 มูลค่า 7.9 หมื่นล้านบาท ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นรับเหมา CK, STECON, PYLON ระยะสั้นเน้น PYLON ที่ Backlog มีสัญญาณฟื้นตัว
(*/+) TH Tourism: สัญญาณภาคท่องเที่ยวไทยเป็นบวก
1.)นักท่องเที่ยวต่างชาติ 16-22 ธ.ค. อยู่ที่ 8.87 แสนคน +14%w-w หรือเฉลี่ยวันละ 1.26 แสนคน หนุน YTD (22 ธ.ค.) นักท่องเที่ยวต่างชาติสูง 34.37 ล้านคน โดยเราคาดนักท่องเที่ยวช่วงที่เหลือของปีคาดเร่งสู่ 1.3-1.5 แสนคนต่อวัน ประเมินนักท่องเที่ยวปี 24F ใกล้ตลาดประเมินที่ 35.5-36 ล้านคน และเพิ่มสู่ระดับ Pre-COVID ปี 2025 ที่ 40 ล้านคน โดยเชื่อว่าแรงหนุนนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นชาติหลักเดียวที่ยังต่ำกว่า Pre-COVID จะเร่งขึ้น อิงสัญญาณเที่ยวบินจากจีนมาไทยสัปดาห์ล่าสุด
2.) สัญญาณนักท่องเที่ยวจีนสัปดาห์ล่าสุดเป็นบวก กำลังให้บริการเที่ยวบินจีนมาไทย +36%y-y, 5%w-w (vs ภาพรวม +23%y-y, +1%w-w)
3.) ระยะกลาง-ยาว ภาคบริการไทยยังมีแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อ คือ การเดินหน้าโครงการ Entertainment Complex ของรัฐฯที่คาดมีความคืบหน้าตลอดทั้งปี 2025
เชิงกลยุทธ์ ระยะสั้นเราประเมินเป็นภาพบวกต่อหุ้นอิงภาคบริการ ท่องเที่ยว ค้าปลีก อาทิ AOT CPALL BJC ERW AWC ระยะสั้น เน้น AOT CPALL AWC
(*/+) TH Export :วันนี้ (25 ธ.ค.) ติดตามยอดส่งออก - นำเข้า พ.ย. 24 ตลาดคาด +7.0%y-y , 1.2%y-y vs prev. 14.6%y-y, +15.9%y-y เราประเมินมีโอกาสออกมาในทิศทางประเมิน อิงยอดส่งออก Non-oil สิงคโปร์ล่าสุดที่พลิกจากหดตัว y-y กลับมาขยายตัว y-y สะท้อนภาพการเร่งนำเข้าของหลายประเทศก่อนคุณ Trump เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ทั้งนี้ สินค้าที่คาดยังมีโมเมนตัมบวก คือ ไก่ ทูน่ากระป๋อง ยาง และอาหารสัตว์เลี้ยง นักลงทุนสามารถวางกลยุทธ์เก็งกำไรระยะสั้นในกลุ่มที่ยังมียอดส่งออกดีได้ อาทิ CPF, ITC, AAI, STA
Daily Strategy : ADVANC, AOT, OKJ เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Sideways/Up" ประเมินตลาดหุ้นวันนี้แกว่งขึ้นได้ต่อจิตวิทยาบวก Santa's Rally ผสาน จีนเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.4% ของ GDP ขณะที่ไทยจะมีแรงหนุนสำคัญจากการเร่งซื้อ นักลงทุนสถาบันในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี คาดหุ้นนำวันนี้ ได้แก่อ หุ้น China Plays หุ้น Domestic ที่เป็นเป้าหมายกองทุนภายในระยะยาวที่ได้ประโยชน์มาตรการรัฐ+ท่องเที่ยวเด่น+เงินบาทแข็งค่า และเก็งกำไรหุ้นส่งออกที่คาดยอดส่งออก (วันนี้) ยังออกมาดีจากการเร่งนำเข้าก่อนคุณ Trump รับตำแหน่ง
หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT
กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
• DEC24 Best Picks : ADVANC, BJC, BTS, GULF, AOT, IVL, MALEE
• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
KSS Strategist Comment: SET UPDATE ตลาดหุ้นเริ่มฟื้นตัวจากแนวรับทางเทคนิคบริเวณ 1360-65 จุด สอดคล้องมุมมองเราประเมินความผันผวนอยู่ในช่วงปลายแล้ว อิงระดับ Current Equity Risk Premium ใกล้ AVG + 1S.D. เชิงกลยุทธ์ แนะนำให้เริ่มทยอยสะสมรอการฟื้นตัวรอบใหม่ ส่วนระยะสั้นหากเน้นเก็งกำไรเราประเมินสัปดาห์หน้า SET มีโอกาสฟื้นตัว จากแรงหนุน
1.) ครม. เตรียมพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Easy E-Receipt และ Digital Wallet เฟส 2 ลุ้นเปิด Upside ของ GDP ปี 2025F
2.) อิงสถิติ 5 ปีย้อนหลัง มักเกิด Santa' Rally ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี โดยมีความเป็นไปได้ที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวก 100% และให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +1.5% โดยรอบนี้เรามองมีโอกาสเกิดเช่นกัน จากตลาดที่อยู่ในโซนลงทุน และคาดเม็ดเงินลงทุนภายในลดหย่อนภาษีระยะกลาง-ยาวจะเร่งขึ้นส่งท้ายปี
3.) Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.0% +/- ใกล้ AVG + 1S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวในภาวะปกติ สอดคล้องสัญญาณ Fund Inflows เริ่มกลับมาเป็นบวก วานนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทย ขณะที่วันนี้ซื้อพันธบัตรต่ออีก 1.89 พันล้านบาท
Strategy: เราคงมุมมองตลาดหุ้นปัจจุบันประเมินความผันผวนช่วงปลายแล้ว และปัจจุบันอยู่ใน Value Zone (1345-1370 จุด) เชิงกลยุทธ์แนะนำเริ่มทยอยสะสมหุ้นเพื่อลงทุนระยะกลาง-ยาว ส่วนการลงทุนระยะสั้น เราประเมิน SET มีโอกาสฟื้นตัวจากปัจจัยบวกที่รอในสัปดาห์หน้า โดยเน้นหุ้นในธีม Domestic
o กลุ่มธนาคาร KBANK, KTB,
o กลุ่ม ICT ADVANC, TRUE
o กลุ่มขนส่ง BTS,
o กลุ่มค้าปลีก BJC, CPALL, HMPRO, CRC
o กลุ่มท่องเที่ยว AWC
o กลุ่มปิโตรเคมี IVL
• SET50/100 Rebalance Update: ตลาดประกาศผลการ Rebalance ดัชนี SET50/100 รอบ 1H25 คาดการ Rebalance มีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025
• หุ้นที่เข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU SAWAD COM7 และ CCET
• หุ้นที่หลุดออกจาก SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ CENTEL BCP TIDLOR และ EA
• หุ้นที่เข้า SET100 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ JTS, CCET, PR9, COCOCO
• หุ้นที่หลุดออก SET100 รอบนี้ 4 บริษัท คือ MBK, RBF, TIPH, TOA
กลยุทธ์ แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET50-SET100 เนื่องจากมีความเสี่ยงในการลดน้ำหนักจาก Index Fund ขณะที่แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้เราแนะนำ SAWAD และ BANPU เด่น
• Strategy Update : กองทุนลดหย่อนภาษีเด่นปลายปี 2024 ที่ไม่ควรพลาด
ทีมกลยุทธ์ชวนวางแผนลดหย่อนภาษีช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี SSF, RMF และ TESG โดยอิงจากน้ำหนักการลงทุน KSS Rating ที่ทีมกลยุทธ์ให้ไว้ในบทวิเคราะห์ Cross Asset Strategy ตามตาราง Exhibit 1 เราเลือกการลงทุนสินทรัพย์ประเภท Fixed Income (ทั่วโลก), Equities (ไทย จีน เอเชีย) เป็น Top pick สำหรับการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีในปี 2024 นี้ และกองทุน Top pick ได้แก่ UGIS-SSF/UGISRMF, KFACHINSSF/KFACHINRMF, K-TNZ-ThaiESG, KFTHAIESGA
สำหรับผู้ที่มีเงินได้ในปี 2024 และต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และต้องการลงทุนระยะยาว สามารถเลือกลงทุนได้ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษีในทุกประเภท ทั้ง SSF, RMF และ TESG โดยกองทุน RMF และ SSF สามารถลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ โดยกองทุนทั้ง 2 ประเภท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ แล้วต้องไม่เกิน 5 แสนบาท ส่วนกองทุน TESG สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ และสูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท รายละเอียดเพิ่มเติมแสดงไว้ใน Exhibit 2
สำหรับผู้มีเงินได้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และใส่ใจในระยะเวลาถือครอง แนะนำสำรวจช่วงอายุของนักลงทุน โดยสำหรับนักลงทุนที่อายุต่ำกว่า 51 ปี กองทุน TESG
กลยุทธ์ Tax Allowance Fund Strategy:
กองทุน SSF และ RMF (ลดหย่อนได้ประเภทละ 30% แต่ SSF ไม่เกิน 200,000 บาท และรวมกันกับ RMF และกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ) แนะนำ UGIS-SSF/UGISRMF (GlobalBond), KFACHINSSF/KFACHINRMF (China)
กองทุน TESG (ลดหย่อนได้ 30% หรือสูงสุด 300,000 บาท) แนะนำ KFTHAIESGA และ K-TNZ-ThaiESG
• OKJ (Buy, TP-17.0): OKJ, a leading Thai organic food and beverage company, leverages its expertise and robust supply chain to fuel growth through aggressive store expansion (Ohkajhu), newer brands (Oh! Juice, Ohkajhu Wrap & Roll), and exploring new channels. We project 25% CAGR earnings growth (2025-27F) driven by 19% revenue growth supported by positive SSSG, store expansion, brand diversification, and margin improvement. Currently trading at 25x PER 2025F, we expect this to decline to 19x P/E 2026F as earnings visibility strengthens. We initiate coverage on OKJ with a BUY rating and a Bt17 target price, recognizing its high-quality growth prospects.
• Healthcare (Bullish): ธุรกิจประกันเสนอสำนักงาน คปภ กำหนดเกณฑ์ให้มีค่าใช้จ่ายร่วม (Co payment) กรณีผู้เอาประกันเคลมด้วยกลุ่มโรคป่วยเล็กน้อย (Simple Diseases) ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป และมีอัตราการเครมตั้งแต่ 200% ของเบี้ยประกันภัยในปีต่ออายุ คาดว่าจะเริ่มใช้เดือน มี.ค.25 ทั้งนี้ภาพรวมการให้บริการรักษาโรคเล็กน้อยไม่ใช่บริการหลักของกลุ่ม รพ.ที่ศึกษาของเรา ในเบื้องต้นเราประเมิน Sensitivity รายได้จากโรคเล็กน้อยมีสัดส่วนระหว่าง 5%-20% ของรายได้ประกัน โดยกรณีแย่สุด ภายใต้สมมติฐานรายได้จากกลุ่มโรคเล็กน้อยมีสัดส่วน 20% ของรายได้ประกัน และมีผลกระทบจาก Copayment คาดมีผลกระทบจำกัดต่อรายได้และกำไรปกติปี 25F ราว 2%-6% และ 3%-8% ตามลำดับ สำหรับรพ.ที่คาดว่าจะมีผลกระทบมากสุดคือ THG ส่วน BH คาดกระทบน้อยสุด
• Aviation (Bullish): เรามอง Positive ยอด นทท.สัปดาห์ที่ 51/24 ทำสถิติสูงสุดในรอบปีที่ 0.89 ล้านคน (+11%yy +15%ww) เทียบเท่าช่วง Pre-COVID เราคงน้ำหนัก Bullish หุ้นกลุ่มการบิน คาดกำไร 4Q24F เด่นตามปริมาณผู้โดยสารโต ราคาตั๋วโดยสารสูง และราคาน้ำมันต่ำ และเรายังเลือก AAV (Buy, TP 3.9) เป็นหุ้น Top pick กลุ่มฯ จากโอกาสได้ประโยชน์จาก High season และราคาน้ำมันต่ำมากสุดในกลุ่มฯ
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI