"Domestic Plays"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "Rebound" ต้าน 1375/1380 จุด รับ 1360/1352 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัว ดัชนี S&P500 +1.09% หนุนจากรายงานเงินเฟ้อ PCE พ.ย. 24 ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่ำกว่าตลาดคาด +2.4%y-y, +0.1%m-m บรรเทาความกังวล Fed ให้สัญญาณเข้มงวดวงจรดอกเบี้ยล่าสุด ผสาน สภาสหรัฐผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวทันก่อนสหรัฐต้อง Shutdown โดยรวมช่วยให้ US Bond Yield อายุ 10 ปีชะลอการขึ้น คือ ปรับลง -4 bps ปิดที่ 4.52 % Dollar Index กลับมาอ่อนค่า 107.8 จุด คาดบวกต่อจิตวิทยาลงทุนตลาดหุ้น Emerging Markets (EM) ที่เผชิญแรงกดดันดังกล่าวตลอดสัปดาห์ก่อน รวมถึง SET ที่เงินบาทกลับมาแข็งค่าสู่ 34.28 +/- บาท ขณะที่สัปดาห์นี้แรงขับเคลื่อนหลักจะมาจากภายใน โดยเฉพาะการอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เม็ดเงินลงทุนระยะยาวเข้ามามากขึ้น หลัง SET ปรับลงมาอยู่ในโซนลงทุน Current และ Forward Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.09% และ 4.82% > AVG. + 1 S.D. ที่ 4.05% ที่มักเป็นจุดกลับตัวกรณีไม่มีวิกฤติ ผสาน จิตวิทยาต่างประเทศเป็นบวก วันนี้คาด SET Rebound ได้ หุ้นนำ คือ กลุ่มที่แรงกดดัน Yield ลดลง (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield) หุ้น Domestic (ค้าปลีก ท่องเที่ยว) และหุ้นในธีม Entertainment Complex วันนี้แนะนำ GULF, ADVANC, CRC
Daily outlook: "Rebound" ต้าน 1375/1380 จุด รับ 1360/1352 จุด
What happened around the world?
(*/+) US Stock Market : : ตลาดหุ้นสหรัฐพลิกขึ้นรับตัวเลขเงินเฟ้อ PCE ต่ำกว่าตลาดคาด อิงดัชนี Dow jones +1.18% ดัชนี S&P500 +1.09% และดัชนี Nasdaq +1.03% โดย Sector หุ้นปรับขึ้นทุก Sector โดยกลุ่มที่เคลื่อนไหวเด่น คือ กลุ่ม Real estate, IT, Utilities, Financials, Materials ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ NVDIA +3.08%, Broadcom +1.88% , MicroStrategy +11.56% Tesla – 3.46% Meta Platforms -1.73%ฯลฯ
(*/+) US Econ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมายังหนุนมุมมองดอกเบี้ยสหรัฐเป็นขาลง โดยเป็นตัวเลขที่ธนาคารกลางสหรัฐให้น้ำหนัก อาทิ 1.) Headline PCE เดือน พ.ย. +2.4%y-y ดีกว่าตลาดคาด +2.5%y-y เร่งขึ้นจาก 2.3% ในเดือน ต.ค. และ Core PCE ทรงตัวจากเดือนก่อนที่ 2.8%y-y ดีกว่าตลาดคาด +2.9%y-y และที่สำคัญคือ +0.1%m-m ต่ำกว่าตลาดคาด +0.2% prev. +0.3% 2.)การใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐเดือน พ.ย. +0.4% ต่ำกว่าตลาดคาด 0.5%
(*/+)US Government shutdown วันศุกร์สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวฉบับใหม่ โดยรวมจะช่วยหลีกเลี่ยงการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ เป็นไปตามที่คาด ทำให้มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐวันจันทร์
(*)Asean Interest rate : เมื่อวันศุกร์ผู้ว่าการธนาคารกลางฟิลิปปินส์(BSP) เผยว่าธนาคารกลางพร้อมที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในการประชุมนโยบายการเงินครั้งแรกของปีหน้า (ล่าสุด ฟิลิปปินส์ลดดอกเบี้ย 25 bps อยู่ที่ 6.0% โดยปีนี้ลดดอกเบี้ยรวม 2 ครั้ง) สะท้อนมุมมองดอกเบี้ยในฝั่งเอเชียยังมีแนวโน้มขาลง
(*) China Central bank Meeting : ธนาคารกลางจีน(PBOC) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี(LPR) ประเภท 1 ปี เอาไว้ที่ระดับ 3.1% และคงอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปี ที่ 3.6%
(*)US – EU Tradewar : Donald Trump ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรป (EU) หากประเทศสมาชิก EU ไม่เพิ่มการซื้อน้ำมันและก๊าซจากสหรัฐฯ หนุนกระแสการย้ายฐานการผลิตในระยะกลาง - ยาว มองบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม WHA, AMATA
(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 23 ธ.ค. ติดตามรายงานดัชนีความเชื่อมั่น Conference Board ธ.ค. คาด 113.0 จุด vs prev. 111.7 จุด, 24 ธ.ค. ติดตามยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน พ.ย. คาด -0.3%m-m vs prev. +0.3%m-mยอดขายบ้านใหม่ พ.ย. คาด 6.63 แสนหลัง vs prev. 6.1 แสนหลัง ฝั่งญี่ปุ่น 27 ธ.ค. ติดตามอัตราการว่างงาน พ.ย. คาด 2.5% เท่าเดือนก่อน, ดัชนีค้าปลีก พ.ย. คาด +1.7%y-y vs prev. +1.6%y-y ฝั่งจีน27 ธ.ค. ติดตามการรายงานกำไรภาคอุตสาหกรรม พ.ย. คาด -5.0%y-y vs prev. -4.3%y-y
(*/+) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐปรับลง อายุ 2 ปี ปรับลง -1 bps อยู่ที่ 4.32% และอายุ 10 ปีชะลอการขึ้น -4 bps อยู่ที่ 4.52% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ส่วน Dollar Index พลิกอ่อนค่าแรง 107.8 จุด(vs แนวต้านสำคัญคือ 107.5 จุด) มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อ Fund Flow ในเอเชีย
(*/+) Oil : น้ำมันดิบ Brent +0.08% ปิดที่ USD 72.94/barrel น้ำมัน WTI +0.12%d-d ปิดที่ USD 69.46/barrel แ
What happened in Thailand?
(*/-) SET : SET Index วันทำการล่าสุดปิดปรับตัวลดลง -12.5 จุด มาที่ 1365.07 จุด กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มพลังงาน (PTT, TOP, GPSC) เป็นกลุ่มที่มความเกี่ยวโยงจากผลกระทบ TOP ใส่เงินลงทุนเพิ่มในโครงการ CFP กลุ่มขนส่ง (BEM, BTS) ประเมินแรงกดันจาก BEM ที่มี Overhang การเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้า 20 บาท ส่วน BTS ได้รับจิตวิทยาลบจากที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งที่มีโอกาสได้ประโยชน์ ประเมินโอกาสะสม กลุ่มประคอง คือ กลุ่ม ร.พ. (BDMS, BH) ในฐานะหุ้น Defensive ช่วงตลาดเคลื่อนไหวผันผวน
(*) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ขายหุ้น -61.5 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +59.1 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long 3,415 สัญญา เงินบาทอ่อนค่า 34.28 +/- บาท
(+) Santa's Rally: เข้าสู่ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2024 เราประเมินองค์ประกอบหลายด้านสนับสนุนมีโอกาสเกิด Santa's Rally ดังเช่น 5 ปีย้อนหลังมักเกิด Santa' Rally ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี โดยมีความเป็นไปได้ที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวก 100% และให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +1.5%นำโดย 1.) ตลาดหุ้นปรับฐานลงมาต่อเนื่อง จนล่าสุดอยู่ในโซนลงทุนระยะกลาง-ยาว คือ มี Current Equity Risk Premium 4.09% ขณะที่มี Forward Equity Premium ที่ 4.82% vs ระดับค่าเฉลี่ย AVG + 1 S.D. ที่มักเป็นจุดกลับตัวของตลาดกรณีไม่มีภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ 2.) คาดเม็ดเงินลงทุนระยะยาวในประเทศ กองทุน ThaiESG น่าจะเร่งขึ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี และ 3.) เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว คาด GDP งวด 4Q24 ขึ้นทำจุดสูงสุดของปี 2024 +4.0% หนุนทั้งปีเติบโต 2.7% และเติบโตต่อเนื่องอีก 2.9% ในปี 2025F โดยยังไม่รวม Upside เพิ่มเติมมาตรการกระตุ้นบริโภคที่รัฐฯจะอนุมัติเพิ่มเติมสัปดาห์นี้
(*/+) Easy E-Receipt:รมช.คลัง ชงครม. สัปดาห์นี้ ออกมาตรการ Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษี 5 หมื่น เริ่ม 15 ม.ค. – 28 ก.พ. 25 เพิ่มสิทธิใช้จ่ายการท่องเที่ยว คาดเงินหมุนเวียนในระบบ 7 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ในวงเงิน 50,000 บาทนั้น แบ่งการใช้จ่ายเป็น 2 ส่วน ได้แก่
1.) การใช้สำหรับสินค้าอุปโภคและบริโภค วงเงิน 30,000 บาท และเพิ่มเติมสามารถในแพ็คเกจการท่องเที่ยวได้ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเดินทาง การใช้จ่ายการท่องเที่ยว เช่น แพ็คเกจทัวร์ และการจองโรงโรม เป็นต้น
2.) การใช้จ่ายผ่านกลุ่มวิสาหกิจชุมชุน และโอท็อป วงเงิน 20,000 บาท เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในกลุ่มเอสเอ็มอี และชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีความเข็งแข็งขึ้น
อิงหลักเกณฑ์ใหม่ เราประเมินผลบวกมาตรการทั่วถึงมากขึ้น ทั้งกลุ่มค้าปลีก เน้นกลุ่มที่มียอดขายต่อบิลสูง CRC, HMPRO, BJC, COM7 บัตรเครดิต KTC ท่องเที่ยว เน้น AWC, CENTEL และกลุ่มธนาคารที่มีฐานสินเชื่อ SME ต่อสินเชื่อรวมสูง เน้น KBANK, SCB, BBL
(+) Entertainment Complex: รมช. คลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) คาดว่า กระทรวงการคลังจะเสนอ ครม. ราวต้นปี 2025 เราประเมินความคืบหน้าดังกล่าวจะหนุนตลาดเริ่มเชื่อมั่นต่อโอกาสเติบโตภาคบริการระยะกลางเพิ่มขึ้น ประเมินหุ้นเด่นในธีมเด่นดังกล่าว AWC, BTS, VGI, AOT, BA, MBK ระยะสั้นเน้น BTS ที่กำลังเข้าสู่ช่วง Turnaround เป็นอีกแรงเสริม และ AWC
(*/+) TH Tourism: ข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พบว่า นักท่องเที่ยวช่วงปลายปีเร่งขึ้น 19 ธ.ค. อยู่ที่ 1.25 แสนคน vs ช่วง 1-15 ธ.ค. 24 เฉลี่ยอยู่ที่ 1.05 แสนคน ขณะที่หนุน YTD (1 ม.ค. -19 ธ.ค. 24) อยู่ที่ 33.96 ล้านคน หากช่วงที่เหลือของปียังอยู่ในโมเมนตัมดังกล่าว นักท่องเที่ยวทั้งปีคาดอยู่ในกรอบตลาดประเมิน 35.5-36 ล้านคน ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นท่องเที่ยว หุ้นอิงภาคบริการ อาทิ AOT AWC BJC CPALL
(*/+) Government Policy Direction: ในงาน "ISANNEXT" วันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลขึ้นกล่าวหลายท่าน มีประเด็นน่าสนใจที่บ่งชี้ถึงทิศทางนโยบายรัฐบาลที่น่าสนใจ ดังนี้
วางแผนผลักดันประสิทธิภาพการเกษตรผ่านเทคโนโลยี ระบบ AI โดยใช้เครือข่ายมหาวิทยาลัยเพิ่มความรู้ ขณะที่เลือกการทำเกษตรที่มีความต้องการของตลาด ผสาน แผนการลดการผูกขาด อาทิ ระบบนายหน้าต่างๆ เช่นการขายข้าวผ่านสมาคมผู้ส่งออกข้าว จะใช้ช่องทาง E-Commerce เข้ามาทดแทน นอกจากนี้ จะเพิ่มการพัฒนา Soft Power อาทิ OTOP สมัยใหม่ นางงามจากกอีสาน
การผลักดันรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูงผ่านพื้นที่ภาคอีสานเชื่อมโยงจีนเพื่อออกสู่ทะเล รวมถึงประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์
โดยรวมเราประเมินหากรัฐฯเดินหน้าแผนต่างๆ ได้ต่อเนื่อง คาดช่วยศักยภาพเศรษฐกิจภาคอีสานเพิ่มสูงขึ้น ระยะสั้นเราให้น้ำหนักการเร่งผลักโครงการ Mega Project น่าจะเกิดขึ้นนับจากปี 2025F โดยคาดจะเห็นการเสนอ ครม. อนุมัติและประมูลตามแผนกระทรวงคมนาคม หากเริ่มมีพัฒนาการจะเป็นบวกต่อกลุ่มรับเหมา อาทิ CK STECON PYLON ระยะสั้นเน้น PYLON ที่เริ่มมีสัญญาณ Backlog ฟื้นตัวแล้ว
(*/+) Debt Measures: Fitch Ratings มองโครงการ 'คุณสู้ เราช่วย' ไม่กระทบเครดิตภาคธนาคารไทยมากนัก เพราะในทางปฏิบัติลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์ส่วนใหญ่น่าจะมีสถานะเป็นลูกหนี้ค้างชำระ (Stage 2) หรือลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Stage 3) ซึ่งธนาคารน่าจะมีการตั้งค่าใช้จ่ายในการสำรองหนี้สูญไว้แล้วหรืออาจถูกตัดบัญชี (Write-off) ไปแล้ว ทำให้ประเมินบางธนาคารอาจได้รับประโยชน์ ทั้งนี้ ปัจจุบันมีลูกหนี้ที่ลงทะเบียนแล้ว 2.2 แสนบัญชี (จากทั้งหมดที่ BOT ประเมิน 1.9 ล้านบัญชีซึ่ลงทะเบียนได้ถึง 28 ก.พ.) เราประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นธนาคาร เน้นธนาคารทีมีสัดส่วนสินเชื่อเกี่ยวโยงสูง อาทิ SCB, KBANK
(*) To monitor: สัปดาห์หน้าปัจจัยภายใน ติดตาม 1.) 24 ธ.ค. ประชุม ครม. นัดสุดท้ายของปี คาดอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ Digital Wallet เฟส 2 และมาตรการ Easy E-Receipt นอกจากนี้ ติดตามรายงานนักท่องเที่ยวต่างชาติรายสัปดาห์ 2.) 25 ธ.ค. ติดตามยอดส่งออก - นำเข้า พ.ย. 24 ตลาดคาด +7.0%y-y , 1.2%y-y vs prev. 14.6%y-y, +15.9%y-y
Daily Strategy : GULF, ADVANC, CRC เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วง "Rebound" ประเมินตลาดหุ้นวันนี้ Rebound หลังจากรายงานเงินเฟ้อ PCE เพิ่มขึ้นต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ ส่งผลให้เงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่า 34.28 +/- บาท กลยุทธ์วันนี้ประเมินหุ้นเด่น คือ 1.) กลุ่มที่แรงกดดัน Yield ลดลง (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield) 2.) หุ้น Domestic ที่มีปัจจัยหนุน อาทิ ค้าปลีก คาดรัฐฯอนุมัติมาตรการกระตุ้นบริโภค ในส่วน Easy E-Receipt และ Digital Wallet เฟส 2 และ หุ้นท่องเที่ยว นักท่องเที่ยว 2 สัปดาห์สุดท้าย ธ.ค. 24 เร่งขึ้น และ 3.) หุ้นในธีม Entertainment Complex
หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT
กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
• DEC24 Best Picks : ADVANC, BJC, BTS, GULF, AOT, IVL, MALEE
• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
KSS Strategist Comment: SET UPDATE ตลาดหุ้นเริ่มฟื้นตัวจากแนวรับทางเทคนิคบริเวณ 1360-65 จุด สอดคล้องมุมมองเราประเมินความผันผวนอยู่ในช่วงปลายแล้ว อิงระดับ Current Equity Risk Premium ใกล้ AVG + 1S.D. เชิงกลยุทธ์ แนะนำให้เริ่มทยอยสะสมรอการฟื้นตัวรอบใหม่ ส่วนระยะสั้นหากเน้นเก็งกำไรเราประเมินสัปดาห์หน้า SET มีโอกาสฟื้นตัว จากแรงหนุน
1.) ครม. เตรียมพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Easy E-Receipt และ Digital Wallet เฟส 2 ลุ้นเปิด Upside ของ GDP ปี 2025F
2.) อิงสถิติ 5 ปีย้อนหลัง มักเกิด Santa' Rally ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี โดยมีความเป็นไปได้ที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวก 100% และให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +1.5% โดยรอบนี้เรามองมีโอกาสเกิดเช่นกัน จากตลาดที่อยู่ในโซนลงทุน และคาดเม็ดเงินลงทุนภายในลดหย่อนภาษีระยะกลาง-ยาวจะเร่งขึ้นส่งท้ายปี
3.) Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.0% +/- ใกล้ AVG + 1S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวในภาวะปกติ สอดคล้องสัญญาณ Fund Inflows เริ่มกลับมาเป็นบวก วานนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทย ขณะที่วันนี้ซื้อพันธบัตรต่ออีก 1.89 พันล้านบาท
Strategy: เราคงมุมมองตลาดหุ้นปัจจุบันประเมินความผันผวนช่วงปลายแล้ว และปัจจุบันอยู่ใน Value Zone (1345-1370 จุด) เชิงกลยุทธ์แนะนำเริ่มทยอยสะสมหุ้นเพื่อลงทุนระยะกลาง-ยาว ส่วนการลงทุนระยะสั้น เราประเมิน SET มีโอกาสฟื้นตัวจากปัจจัยบวกที่รอในสัปดาห์หน้า โดยเน้นหุ้นในธีม Domestic
o กลุ่มธนาคาร KBANK, KTB,
o กลุ่ม ICT ADVANC, TRUE
o กลุ่มขนส่ง BTS,
o กลุ่มค้าปลีก BJC, CPALL, HMPRO, CRC
o กลุ่มท่องเที่ยว AWC
o กลุ่มปิโตรเคมี IVL
• SET50/100 Rebalance Update: ตลาดประกาศผลการ Rebalance ดัชนี SET50/100 รอบ 1H25 คาดการ Rebalance มีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025
• หุ้นที่เข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU SAWAD COM7 และ CCET
• หุ้นที่หลุดออกจาก SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ CENTEL BCP TIDLOR และ EA
• หุ้นที่เข้า SET100 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ JTS, CCET, PR9, COCOCO
• หุ้นที่หลุดออก SET100 รอบนี้ 4 บริษัท คือ MBK, RBF, TIPH, TOA
กลยุทธ์ แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET50-SET100 เนื่องจากมีความเสี่ยงในการลดน้ำหนักจาก Index Fund ขณะที่แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้เราแนะนำ SAWAD และ BANPU เด่น
• Strategy Update : กองทุนลดหย่อนภาษีเด่นปลายปี 2024 ที่ไม่ควรพลาด
ทีมกลยุทธ์ชวนวางแผนลดหย่อนภาษีช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี SSF, RMF และ TESG โดยอิงจากน้ำหนักการลงทุน KSS Rating ที่ทีมกลยุทธ์ให้ไว้ในบทวิเคราะห์ Cross Asset Strategy ตามตาราง Exhibit 1 เราเลือกการลงทุนสินทรัพย์ประเภท Fixed Income (ทั่วโลก), Equities (ไทย จีน เอเชีย) เป็น Top pick สำหรับการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีในปี 2024 นี้ และกองทุน Top pick ได้แก่ UGIS-SSF/UGISRMF, KFACHINSSF/KFACHINRMF, K-TNZ-ThaiESG, KFTHAIESGA
สำหรับผู้ที่มีเงินได้ในปี 2024 และต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และต้องการลงทุนระยะยาว สามารถเลือกลงทุนได้ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษีในทุกประเภท ทั้ง SSF, RMF และ TESG โดยกองทุน RMF และ SSF สามารถลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ โดยกองทุนทั้ง 2 ประเภท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ แล้วต้องไม่เกิน 5 แสนบาท ส่วนกองทุน TESG สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ และสูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท รายละเอียดเพิ่มเติมแสดงไว้ใน Exhibit 2
สำหรับผู้มีเงินได้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และใส่ใจในระยะเวลาถือครอง แนะนำสำรวจช่วงอายุของนักลงทุน โดยสำหรับนักลงทุนที่อายุต่ำกว่า 51 ปี กองทุน TESG
กลยุทธ์ Tax Allowance Fund Strategy:
กองทุน SSF และ RMF (ลดหย่อนได้ประเภทละ 30% แต่ SSF ไม่เกิน 200,000 บาท และรวมกันกับ RMF และกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ) แนะนำ UGIS-SSF/UGISRMF (GlobalBond), KFACHINSSF/KFACHINRMF (China)
กองทุน TESG (ลดหย่อนได้ 30% หรือสูงสุด 300,000 บาท) แนะนำ KFTHAIESGA และ K-TNZ-ThaiESG
• FTREIT (Unrated) : FY24 ops improved slightly by 2.6% to core profit of Bt2.6b despite higher interest expenses (following interest rate hike trend) and DPU was stable at Bt0.748. We look for better FY25 premised on higher occupancy rate driven by strong demand, rent should increases (for RBF) and interest rate is heading south. Also, it plans to acquire new assets up to Bt4b and its debt refinancing plan will support its DPU accretive. At last close, it offer gross yield of 7.6% and attractive real yield of 6.5%. It is trading at undemanding valuation at 0.9x P/NAV. Its portfolio is also good with 72% freehold.
• Soft Commodity (Neutral) : สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำตาลลดลง -6.1%w-w เนื่องจากแนวโน้มอุปทานทั่วโลกดีขึ้น บราซิลเร่งผลิตน้ำตาลเพื่อส่งออกเพราะค่าเงินเรียล(BRL)อ่อนค่า อีกทั้งคาดการผลิตในไทยฤดูกาล 2024/25 เพิ่มขึ้น +18%y-y ราคาน้ำมันปาล์มลดลง -5.1%w-w จากปริมาณการส่งออกของมาเลเซียลดลง -10%m-m เพราะอุปสงค์ลดลงในหน้าหนาวและราคาน้ำมันถั่วเหลืองซึ่งเป็นสินค้าทดแทนราคาต่ำลง ราคายางพาราลดลง -3.7%w-w จากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ เริ่มคลี่คลาย ความกังวลด้านอุปทานลดลง ราคาถั่วเหลืองลดลง -2.8%w-w เนื่องจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกในบราซิล ขณะที่ความต้องการถั่วเหลืองสหรัฐฯจากจีนลดลง นอกจากนี้ภาพรวมของสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลงแรง คาดว่าส่วนหนึ่งมาจาก Dollar Index เพิ่มขึ้น ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าที่สุดในรอบ 2 ปีในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ราคาไก่ เพิ่มขึ้น +1.1%w-w อยู่ที่ 38.50 บาท (ต้นทุน 36-37 บาท) เพราะอุปสงค์เพิ่มขึ้นในฤดูกาลท่องเที่ยว ราคาสุกรทรงตัว w-w ที่ 73.50 บาท (ต้นทุน 66-67 บาท) ราคาสุกรจีนทรงตัว w-w ที่ 15.69 หยวน หรือ 73.60 บาท (ต้นทุนการเลี้ยง 15.50 หยวน) ราคาสุกรเวียดนามเพิ่มขึ้น +2.4%w-w ที่ 64,833 ดอง หรือ 87.16 บาท (ต้นทุนการเลี้ยง 45,000 ดอง) โดยเฉพาะราคาสุกรในภาคเหนือของเวียดนามที่เพิ่มขึ้นเป็น 65,000-67,000 ดอง คาดมาจากอุปทานลดลงเพราะโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) และความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นในช่วงสิ้นปี
เราให้น้ำหนักกลุ่มฯ NEUTRAL เรายังคงเลือก CPF (TP25F 30) เป็น Top pick ราคาเนื้อสัตว์เริ่มฟื้นตัว ขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ลดลงต่อเนื่อง
• PTTEP (Trading Buy, TP-140) : เราปรับลดราคาเป้าหมาย 25F ของ PTTEP ลงเป็น 140.0 บาท/หุ้น สะท้อนการเติบโตในระยะยาวที่ลดลงและต้นทุนแหล่งในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยคงคำแนะนำ Trading Buy มองราคาหุ้นที่ปรับลง YTD -21% น่าจะสะท้อนปัจจัยลบดังกล่าว และความกังวล oversupply น้ำมันดิบใน 2025F ไประดับหนึ่งแล้ว รอผ่านงบ 4Q24F เพื่อเก็งกำไร supply U.S. ที่ออกมาไม่เร็ว
• TOP (Trading Buy, TP-28) : เราปรับลดราคาเป้าหมาย 25F ของ TOP ลงเป็น 28.0 บาท/หุ้น และปรับคำแนะนำลงเป็น Neutral สะท้อนต้นทุนส่วนเพิ่มโครงการ CFP ที่เข้ามาฉุด กระแสเงินสด และ ROE ในระยะยาว พร้อมกับคำแนะนำลงเป็น Neutralมองช่วง 2025F ยังมี overhang จากการคัดเลือกผู้รับเหมาฯใหม่ ทั้งนี้ระดับ PBV หลังปรับต้นทุนส่วนเพิ่มออกที่ราว 0.6 เท่า ยังไม่ได้ discount กว่ากลุ่ม
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI